๓ เจ้าบ่าวแสนเจ้าเล่ห์ (๒)
“มินนี่มานั่ง” คุณณหทัยบอกลูกสาวเสียงเข้ม เธอจำต้องเดินมานั่งลงข้างเขาพลางเหลียวไปมองพวกท่าน ไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวที่เป็นแบล็คกราวน์ด้านหลังยิ่งสับสนมากกว่าเดิม
มินทิรา...พริศ...
ทำไมถึงไม่ใช่ชื่อของพุฒ!
“คุณแม่ คุณย่า...” หมายจะให้ท่านช่วยไขความกระจ่าง ทว่าตอนนี้อาจจะไม่เหมาะเพราะได้เวลาที่ต้องเริ่มทำพิธีหมั้นช่วงเช้า ทั้งยังมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยท่าอีกมากมาย เสร็จแล้วยังต้องจดทะเบียนสมรสอีกต่างหาก
“ทำพิธีให้เสร็จแล้วค่อยพูดกัน”
“ค่ะ” หล่อนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้ พยายามยิ้มแย้มทั้งที่ในใจหวาดหวั่นมากเหลือเกิน ของหมั้นตรงหน้าไม่มีความหมายเลยเพราะชายที่แต่งงานด้วยไม่ใช่คนที่ตนรัก แต่กระนั้นก็อดมองชายหนุ่มที่นั่งเคียงกันไม่ได้
ยอมรับว่าวันนี้พริศหล่อเหลาในชุดไทยราชประแตน ดวงหน้าคมคายยามที่ผมถูกเซทเปิดหน้าผากได้รูป เครื่องหน้าของเขาชัดจนสามารถเป็นพระเอกละครได้ด้วยซ้ำ เผลอมองจนลืมว่าต้องสวมแหวนหมั้น รู้ตัวตอนที่ถูกเพื่อนสะกิดให้ยื่นมือไปรับแหวนจึงสะดุ้งเล็กน้อย
ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง มองแหวนที่ค่อยเลื่อนเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย เพชรเม็ดใหญ่ส่องแสงแวววาว ก่อนที่หล่อนจะเงยหน้ามองเขานิ่ง
ทั้งที่ควรมีภาพของพุฒทับซ้อน...แต่เธอกลับมองเห็นหน้าพริศชัดจนลบไม่ออก
“กราบพี่เขาสิลูก” มารดาเห็นบุตรสาวนิ่งจึงได้บอก หล่อนก้มลงกราบแทบตักแล้วเงยขึ้น ก่อนจะสวมแหวนหมั้นให้เขาบ้าง งานพิธีช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปด้วยคนทั้งสองเซ็นใบทะเบียนสมรสท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่
ลมหายใจของหล่อนขาดห้วงเมื่อมองชื่อของสามี ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นเขาไปได้...
เธอเคยแยกคนรักออกจากกัน เวรกรรมจึงติดจรวดเอาคืนเธอด้วยการมอบชายที่ไม่ได้รักให้เข้ามาในชีวิตหรือเปล่า
จบพิธีการช่วงเช้าก็ไม่รอช้ารีบพามารดาและคุณย่าเข้ามาในห้องนอนของตนทันที พร้อมกับกรวีร์ที่เดินตามน้องสาวมาทีหลัง ใบหน้าของหล่อนคล้ายคนใกล้จะระเบิดเต็มที เก็บความสงสัยเอาไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม สวมหน้ากากต้อนรับแขกระหว่างพิธีหมั้นจนทุกอย่างเสร็จสิ้น ถึงได้เข้ามาในที่ส่วนตัวเพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เจ้าบ่าวของเธอที่ควรเป็นพุฒ เหตุใดจึงเป็นพริศ!
“มันหมายความว่ายังไงคะคุณแม่คุณย่า ทำไมพี่พริศถึงเป็นเจ้าบ่าว แล้วพี่พุฒอยู่ไหน” ท่าทีร้อนใจทำเอาคนทั้งสองไม่กล้าพูดอะไร ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้จะให้ปิดก็คงไม่ได้ชัดกัน อย่างไรก็คงต้องบอกความจริงให้มินทิราทราบ ให้หลานสาวได้ตัดใจเป็นดีที่สุด
เพราะอย่างไรก็จดทะเบียนสมรสไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขเรื่องราวให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมนอกจากเดินหน้า
ในฐานะภรรยาของพริศ...
“พุฒหนีไปแล้ว” คุณปัทมวรรณบอกหลานสาวด้วยความจำใจ ดวงตากลมเบิกกว้างพร้อมถามย้ำอย่างตกใจ ไม่คิดว่าผู้ชายที่จัดการงานแต่งทุกอย่างจะหนีไปได้ เขาหลอกให้เธอตายใจแล้วใช้โอกาสนี้หักหลังกันอย่างเลือดเย็น เหมือนตอนที่รู้ว่าชายหนุ่มคบกับพรรณรมณ
“หนี! พี่พุฒหนีงานแต่งเหรอคะ” น้ำสีใสคลอเบ้าเมื่อมารดาพยักหน้า มือบางกำเข้าหากันแน่น โกรธแค้นชายหนุ่มเป็นอย่างมากที่ทิ้งตนเอาไว้ลำพัง
หากไม่ใช่พริศมาเข้าพิธีแทน งานแต่งคงล่มแล้วหล่อนก็กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ได้พูดถึงอย่างสนุกสนาน
“ใช่”
“แล้วทำไมถึงจับคนอื่นมาแทน” คาดคั้นถามไม่เลิกละ อยากรู้เหตุผลและที่สำคัญเขายอมได้อย่างไร
คนอย่างพริศที่แข็งกร้าวมีความคิดเป็นของตัวเอง คงไม่มีใครสามารถบังคับเรื่องสำคัญในชีวิตได้อย่างการแต่งงาน แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงยอม...เป็นคำถามที่เธอคงไม่ได้คำตอบเพราะไม่กล้าถามจากเจ้าตัว
หล่อนกลัวเขาอย่างกับอะไรดี แค่จะเข้าไปพูดคุยยังตัวสั่นงันงก แล้วหลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันคงไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ คิดถึงอนาคตก็มีแต่ความมืดมนจนอยากปล่อยโฮให้รู้แล้วรู้รอด
“หนูรู้ใช่ไหมว่างานหมั้นของหนูมันไม่ใช่แค่งานเล็กๆ เชิญคนสองสามคน แต่เราแจกการ์ดเชิญแขกหลายพันเพื่อเป็นหน้าเป็นตา แล้วจะให้บอกคนเหล่านั้นว่าเจ้าบ่าวหนีงานแต่งล่มหรือไง คนเสียชื่อเสียงก็มีแต่ลูก...เราต้องแก้ปัญหาไปก่อน”
เหมือนว่าคำอธิบายนั้นจะยังไม่ทำให้หล่อนพึงพอใจได้ หญิงสาวทำหน้างอไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไหร่
“ด้วยการจับหนูแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”
“แล้วพุฒรักเราหรือไง” กรสีร์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาบ้าง น้องสาวจึงตวัดสายตามองพี่แล้วตะโกนเรียกเสียงดังอย่างขัดใจ
“พี่กร!”
“มันก็ไม่เห็นจะต่างตรงไหน พุฒไม่รักยังตอบตกลงจะแต่งงาน ตอนนี้มาถึงคราวเธอบ้างจะได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้รักแต่โดนบังคับแต่งงานว่ามันเป็นยังไง” พี่ชายที่อัดอั้นมานานพูดบ้าง ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามค้านก็โดนคุณปู่สั่งห้ามเพราะอยากตามใจหลานสาว
ชายหนุ่มจึงเลือกจะประท้วงด้วยการไม่กลับบ้าน จนมาวันนี้ที่รู้ว่าเจ้าบ่าวหนีงานแต่ง แอบสมน้ำหน้าน้องสาวในใจแต่ก็สงสารเมื่อเห็นใบหน้าหวานคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ มินทิราควรตื่นจากฝันแสนหวานและการโอบอุ้มของทุกคนสักที
“พี่เตยล่ะคะ พี่เตยไปไหน” เกือบได้ทะเลาะกับพี่ชายหากไม่ใช่นึกบางอย่างออก มองไปรอบห้องเพื่อหาพี่สาวของตน กลับไม่พบแม้แต่เงาจนต้องถามหาเสียงหลง
“แม่ไม่รู้”
“พี่เตยหนีไปกับพี่พุฒ...” หลังพูดจบทำนบน้ำตาก็แตกเป็นเขื่อน คิดว่าอดกลั้นไว้ได้แล้วทว่าความจริงหล่อนทำไม่ได้สักนิด ยังคงเสียใจที่รู้ว่าคนทั้งสองหนีไปด้วยกันในวันแต่งงานที่ควรมีความสุขของเธอ ทรุดกายลงบนพื้นแล้วปล่อยโฮจนมารดารีบเข้ามากอดปลอบ
“ไม่ร้องนะคนดีของแม่”
หญิงสาวเจ็บแค้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คนในห้องกระวีกระวาดหากระดาษมาซับน้ำตากลัวใบหน้าหวานเปื้อน แม้ด้านพิธีการจะเสร็จแต่ยังคงต้องรับแขก เจ้าสาวจะมีใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาไม่ได้เด็ดขาด ช่วยกันปลอบประโลมจนเธอดีขึ้น เสียงเคาะประตูค่อยดัง...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“มีอะไรครับพี่พริศ” กรวีร์เดินไปเปิดประตูพบกับน้องเขยของตัวเอง อายุของพวกเขาห่างกันสี่ปีแต่คนตรงหน้าดูโตกว่าตนมาก
“แขกถามหาเจ้าสาวครับ ผมเลยจะพาเจ้าสาวลงไปพูดคุยสักหน่อย จะได้แก้ไขเรื่องเจ้าบ่าวตัวจริงด้วย” จ้องดวงหน้าหวานที่ขอบตายังแดงก่ำ รู้ทันทีว่าเธอคงผ่านการร้องไห้มา เขาปล่อยให้หญิงสาวจัดการตัวเองแล้วยืนนิ่งเพื่อรอ
“คุณแม่...” หันไปหาคนช่วยเพราะไม่อยากออกไปกับเขา
ตั้งแต่เสร็จพิธีก็ไม่ได้คุยกันเลยสักคำ เธอไม่กล้าจะเข้าใกล้เจ้าบ่าวสุดหล่อด้วยซ้ำ แค่คิดว่าต้องเดินเคียงกันเพื่อทักทายแขก ก็ส่ายหน้าอย่างขยาด เกาะติดคุณณหทัยอย่างรวดเร็ว แต่ก็โดนแกะมือออกพลางสั่งแกมขอร้อง
“ไปกับพี่เขาเถอะลูก” เมื่อบุพการีพูดแบบนี้หล่อนก็ขัดไม่ได้ มองตัวเองในกระจกแล้วเติบแป้งพร้อมกลบรอยเล็กน้อยโดยไม่ต้องง้อช่าง ค่อยเดินมาหาคนตัวสูงที่รออยู่หน้าห้อง เราสบกันก่อนที่เธอจะผินหลบ
ไม่เคยกล้าจะสบดวงตาคมที่ชวนให้ดำดิ่งได้เลยสักครั้ง เธอเดาความรู้สึกของเขาไม่ออกว่าคิดเช่นไรกับตน มองเป็นน้องสาวหรือรำคาญ...แต่สำหรับหล่อนความรู้สึกชัดเจนว่ากลัวชายผู้นี้
“ยิ้มด้วย อย่าทำหน้าบึ้งเด็ดขาด” รีบฉีกยิ้มกว้างตามคำสั่ง
เดินลงจากชั้นสองมาไหว้ผู้ใหญ่ที่กรุณาสละเวลามาร่วมพิธีช่วงเช้า ส่วนมากเป็นญาติสนิทและคนสำคัญของครอบครัวทั้งนั้น มือหนาจับแขนเธอไปคล้องแขนเขาเอาไว้ แล้วเดินมาหาคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังคุยกันอย่างออกรส
“สวัสดีครับคุณพจน์ คุณดารณี ขอบคุณมากนะครับที่มางานหมั้นของผมกับน้อง เย็นนี้อย่าลืมไปงานแต่งที่โรงแรมด้วยนะครับ” พริศเข้าสังคมเก่งเป็นที่หนึ่ง หน้าตาที่เคยเรียบเฉยก็เผยรอยยิ้มพร้อมสายตาเป็นมิตร สวมหน้ากากได้ในทันทีจนเธออดทึ่งไม่ได้ นั่นคือความสามารถพิเศษของคนเข้าสังคมบ่อยหรือเปล่า
“ไปแน่หลานชาย ยังไงก็ยินดีด้วยกับชีวิตคู่ที่กำลังจะเริ่ม” เขาค้อมศีรษะพลางยิ้มกว้าง เธอเองก็เช่นเดียวกัน
“ว่าแต่ตอนแรกในการ์ดเป็นชื่อของพุฒไม่ใช่เหรอจ๊ะ ทำไมเปลี่ยนล่ะ” คุณดารณีนึกสงสัยตั้งแต่เข้างานแล้วรูปหน้างานเป็นคนพี่ไม่ใช่คนน้อง ความสับสนเกิดขึ้นแต่ก็เงียบไว้ตามที่สามีปรามไม่ได้ถามไถ่ จนสุดท้ายไม่อาจอดใจไหว