บทย่อ
งานแต่งที่เจ้าบ่าวควรเป็นคนที่เธอรัก...แต่พอเจอหน้าดันเป็นชายหน้าตาเคร่งขรึมที่ตนแสนจะเกรงกลัวไปซะได้...นี่มันผิดฝาผิดตัวไปหมดแล้ว!!
บทนำ
บทนำ
ลานหญ้ากว้างหน้าบ้านที่เคยโล่งเตียนกลับถูกแทนที่ด้วยปาร์ตี้ขนาดย่อม มีป้ายแสดงความยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ ลูกโป่งขนาดใหญ่ถูกรั้งไว้ด้วยหินพร้อมคำอวยพรที่เขียนด้วยตัวอักษรเด่นชัด ยังไม่รวมช่อดอกไม้ที่ถูกวางเรียงอย่างสวยงาม
นักดนตรีเพิ่งบรรเลงเพลงจบก่อนจะหยุดการแสดงเมื่อเจ้าของบ้านต้องการความเป็นส่วนตัว สาวน้อยเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบหกเซนติเมตรลุกจากเก้าอี้พลางมองรอบโต๊ะยาวที่มีแขกคุ้นเคยนั่งจับจองอยู่เต็มไปหมด
คนในครอบครัวที่หล่อนรักอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศต่างอบอวลไปด้วยความสุข ดวงตากลมไล่มองตั้งแต่คนที่นั่งหัวโต๊ะแล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกขอบคุณสุดซึ้ง
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่มางานฉลองรับปริญญาของหนู...ถึงจะช้าไปหนึ่งปีก็ตาม” ยกมือไหว้แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ความจริงแล้วเธอควรจะจบพร้อมเพื่อนคือปีที่แล้ว ทว่าหญิงสาวไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาหนึ่งปีทำให้เรียนช้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยช้ากว่าคนอื่น
ทว่าการจบช้าก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เมื่อหล่อนมีงานมารองรับตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ คือเข้าทำงานในธนาคารที่ครอบครัวถือครองหุ้นกว่าครึ่ง ทั้งยังมีบิดาเป็นประธานบริหารแม้เบื้องหลังจะมีคุณปู่คอยกำกับอยู่ก็ตาม
ครอบครัวเวศน์สุวรรณวงศ์เป็นเจ้าของธนาคารที่สร้างมากว่าแปดสิบปีตั้งแต่รุ่นทวด
รับสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยคุณปู่ณฐพงศ์ เวศน์สุวรรณวงศ์เพิ่งลงจากตำแหน่งประธานบริหารแล้วส่งต่อให้ลูกชายอย่างคุณทยุต เวศน์สุวรรณวงศ์ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งมีลูกชายคนโตกรวีร์ เวศน์สุวรรณวงศ์คอยช่วยงานเพื่อสักวันหนึ่งจะได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้เช่นเดียวกัน
“ขอบคุณคุณปู่คุณย่าสุดที่รักของหนูที่ส่งเด็กคนนี้เรียนจนจบ ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ตามใจหนูทุกอย่าง แล้วก็ของขวัญชิ้นใหญ่ ขอบคุณพี่กรพี่เตยคอยให้คำปรึกษาน้องสาวคนนี้มาตลอด...แล้วก็ขอบคุณพี่พุฒ...กำลังใจที่แสนสำคัญของหนู”
สาวน้อยร่ายยาวมาตั้งแต่คุณปู่กับคุณย่าที่เลี้ยงดูหลานสาวคนเล็กอย่างประคบประหงม ไม่เคยให้รับความลำบากกายหรือใจแม้เพียงเรื่องเดียว บิดามารดาซึ่งมอบความรักและเงินตราไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังให้เวลาแก่หล่อนจนไม่รู้สึกขาดสักนิด
พี่ชายพี่สาวแสนน่ารักที่เอื้อเอ็นดูน้องน้อย แม้จะอายุห่างกันก็ไม่เป็นปัญหา หล่อนสนิทกับทั้งพี่สาวและพี่ชาย แต่จะเอนเอียงไปทางพี่สาวที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องมากกว่า
มินทิรา เวศน์สุวรรณวงศ์จบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศ ในคณะอักษรศาสตร์ภาควิชาภาษาอังกฤษด้วยเกียรตินิยมเหรียญทองอันดับหนึ่ง สร้างความภาคภูมิใจแก่คนในครอบครัวเป็นอย่างมาก
แม้ว่าคุณทยุตจะอยากให้ลูกสาวเรียนบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยกิจการของครอบครัว แต่ไม่อาจขัดความต้องการของลูกสาวคนโปรดได้ ทั้งยังมีคุณปัทมวรรณ เวศน์สุวรรณวงศ์ผู้เป็นมารดาของเขาและคุณณหทัย เวศน์สุวรรณวงศ์ผู้เป็นภรรยาคอยให้ท้ายสาวน้อยอีกต่างหาก
“พูดแบบนี้พี่น้อยใจนะ พี่ไม่ใช่กำลังใจของหนูเหรอ” กรวีร์ถึงกับผิวปากแซวน้องสาวใจกล้าของตัวเองที่แสดงชัดเจนว่าหมายปองชายใด
บ้านเวศน์สุวรรณวงศ์มีความสนิทชิดเชื้อกับบ้านดณุสรเดชา เจ้าของธุรกิจส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ มีคุณชยันต์ ดณุสรเดชาเป็นประมุขของบ้าน แม้จะอายุแปดสิบสองปีท่านก็ยังคงแข็งแรง เป็นหัวเรือใหญ่แต่ก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งประธานบริษัทเพราะยกให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้ดูแลกิจการแทนตัวเอง
คุณวิศรุต ดณุสรเดชาจึงมาดูแลงานทุกอย่างแทนบิดา ซึ่งลูกชายเพียงคนเดียวของเขาอย่างพุฒ ดณุสรเดชากำลังเรียนรู้งาน เป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายการตลาด ต้องทำผลงานเพื่อไต่เต้าขึ้นมานั่งบอร์ดบริหาร
คุณปู่ของทั้งสองบ้านสนิทสนมกันมานาน ต่างพึ่งพาอาศัยกันทำให้รุ่นลูกกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยาย ไปมาหาสู่ค่อนข้างบ่อย
จนลูกสาวคนเล็กของบ้านเวศน์สุวรรณวงศ์มีใจให้ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านดณุสรเดชา
ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างรับรู้และคิดว่าสุดท้ายคนทั้งสองจะต้องตกล่องปล่องชิ้น สาวเจ้าแสดงออกชัดเจนขณะที่ฝ่ายชายกลับทำได้เพียงแค่ยิ้มในหน้าไม่ได้ตอบกลับสักคำ รู้สึกกระอักกระอวนพอสมควรแล้วเหลือบมองไปทางหญิงอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง ทำหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“โอ๋ๆ พี่กรก็เป็นกำลังใจเหมือนกัน” รีบเข้าไปโอบประคองพี่ชายที่ทำหน้าน้อยใจก่อนผละไปหาคุณป้าที่เอ็นดูหล่อนนักหนา พร้อมต้อนรับร่างบางมาเป็นลูกสะใภ้ เสียแต่บุตรชายของตนไม่ยอมมาพูดจาปราศรัยเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที
“ดีใจด้วยนะลูก เรียนจบแล้วจะเริ่มทำงานเลยไหม”
“ยังค่ะ หนูจะพักสักสองสามเดือนแล้วค่อยขอคุณพ่อทำงาน...ได้ไหมคะ” อ้อนบิดาอย่างรวดเร็ว แล้วมีหรือที่ท่านจะไม่ตอบตกลง จะพักนานแค่ไหนก็ได้เพราะตำแหน่งของมินทิราพร้อมสำหรับให้หล่อนเข้าทำงานเสมอ
“ได้สิ พักเป็นปีพ่อก็ไม่ว่า เดี๋ยวพ่อเลี้ยงเอง” ทุกคนที่ร่วมโต๊ะอาหารต่างพากันยิ้มแก้มปริ มองดูหญิงสาวที่โผเข้าไปกอดบุพการีพร้อมหอมแก้มท่านซ้ายขวา ไม่อายที่จะแสดงออกถึงความรักต่อหน้าธารกำนัล
“รักคุณพ่อ!” โดยไม่มีใครสนใจชายหญิงคู่หนึ่งที่แอบมองกันมาพักใหญ่ จนหล่อนไม่อาจทนไหวแอบลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
ฝ่ายชายเห็นโอกาสเหมาะจึงมองรอบโต๊ะ ไม่เห็นใครสนใจตนเองถึงได้ก้าวเท้าตามออกไปทันที เร่งความเร็วเพื่อให้ทันหล่อน มองซ้ายขวาเห็นว่าไม่มีใครจึงรีบคว้าแขนเรียวเอาไว้ ดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมรัดแน่นจนเธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนหวาดกลัว
“เตย ฟังพี่ก่อน” ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอ ความใกล้ชิดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าสนิทสนมกันมากเพียงใด ทั้งที่ต่อหน้าบุคคลที่สามแทบจะคุยกันนับคำได้ หล่อนรู้ดีว่าตนไม่ใช่คนที่ครอบครัวของอีกฝ่ายจะยอมรับเป็นสะใภ้
พรรณรมณ เวศน์สุวรรณ์วงศ์ ลูกคนกลางที่พยายามทำทุกอย่างให้ครอบครัวภูมิใจ เลือกเรียนบริหารธุรกิจทั้งที่ตัวเองอยากเข้านิเทศน์แล้วเรียกกำกับภาพยนตร์ ทว่าก็ต้องตัดใจจากความฝันเหล่านั้น ต่างจากน้องสาวที่สามารถเลือกได้ตามใจชอบ
มือบางพยายามแกะแขนแกร่งที่โอบรอบเอวตนออก ผินมองซ้ายขวากลัวคนจะมาเห็นแล้วเกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โต...
“พี่พุฒปล่อย...เดี๋ยวมีคนมาเห็น”
“พี่ไม่ปล่อย ทำไมพี่ต้องปล่อยแฟนพี่ด้วย” คำว่าแฟนที่เขาเอ่ยจากปากยิ่งทำให้หล่อนตระหนก เปล่งเสียงร้องดังแล้วแกะแขนเขาออกก่อนหันมาเผชิญหน้า
“พี่พุฒ!” เผลอตะโกนเสียงดังจึงรีบเม้มปากแน่นกลัวคนอื่นมาได้ยิน
“เราเป็นแฟนกันมันคือความจริง พี่ยอมตามใจปิดเป็นความลับมานานแล้ว ต่อจากนี้พี่จะไม่ยอมปิดอีก พี่รักเตย...ไม่ใช่มินนี่” ย้ำถึงความรู้สึกของตัวเองที่มอบให้ผู้หญิงตรงหน้า ก่อนดึงหล่อนเข้ามากอดให้สมรัก
เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเหตุใดพรรณรมณจึงให้ปิดเรื่องของเราเป็นความลับ แม้ตอนแรกจะไม่ชอบใจ แต่พอได้ลองสังเกตคนรอบข้างก็เข้าใจได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นบ้านของเขาหรือบ้านของเธอต่างไม่ได้สนับสนุนพวกเราในฐานะคู่รัก
แต่อยากให้เป็นแค่พี่น้อง...
ครอบครัวของเราสนิทสนมกันมานาน รู้จักกันตั้งแต่เด็กและเขารู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนที่มารดาหมายตา ทว่าหัวใจรักไม่เคยห้ามปรามได้ ผู้หญิงตรงหน้าดึงดูดสายตาของเขาอยู่ร่ำไป จนไม่อาจมอบหัวใจดวงนี้ให้คนอื่นได้อีก
เสียงบทสนทนาหน้าบ้านยังคงดังเหมือนเดิม ร่างสูงจึงได้คลายความกังวลไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเดินผ่าน อย่างไรตรงนี้ก็เป็นมุมอับ หากไม่สังเกตจริงๆ ก็คงไม่เห็นพวกเรา
ทว่าหญิงสาวที่เป็นเจ้าของงานพอไม่เห็นชายในดวงใจนั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก็รีบเดินตามหาจนได้ยินกับประโยคเมื่อครู่ที่ชายหนุ่มพูดกับพี่สาวของตน ทั้งยังภาพตรงหน้าซึ่งตระกองกอดกันอย่างแนบแน่น เห็นแล้วบาดตาบาดใจจนลมหายใจขาดห้วง จ้องอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการจะย้ำกับตัวเองว่ามันคือความจริง
ไม่ใช่ภาพลวงอย่างที่หล่อนหวัง...
“พี่พุฒว่ายังไงนะคะ พี่พุฒรักพี่เตยเหรอ มันหมายความว่ายังไงหนูไม่เข้าใจ ทำไมรักพี่เตยล่ะ พี่พุฒรักหนูไม่ใช่หรือไง” คนทั้งสองผละออกจากกันอย่างรวดเร็วเมื่อถูกจับได้ สาวน้อยที่เพิ่งเรียนจบนึกสับสนกับความจริงที่เพิ่งรู้และสิ่งที่ได้รับรู้มาโดยตลอด
มั่นใจว่าเราสองคนคิดเหมือนกัน พรรณรมณก็เป็นฝ่ายบอกว่าพุฒรักหล่อน แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ มันผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า
“พี่รักมินนี่แบบน้องสาว” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที หัวใจเจ็บปวดคล้ายถูกบีบรัดขณะที่มองมือหนาซึ่งเอื้อนไปจับมือพี่สาวของตนเอาไว้แน่น เพียงแค่นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าหัวใจของอีกฝ่ายมอบให้ใคร
เขากำลังปกป้องคนที่รัก...อย่างพรรณรมณ
“แบบน้องสาว...แล้วทำไมส่งข้อความมาหา ทักมาถาม ซื้อของขวัญให้ทุกวันสำคัญ ที่ ที่พี่บอกว่าชวนไปเที่ยวด้วยกันมันคืออะไร” ร่ายยาวพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้า มือบางกำกระโปรงของตัวเองเอาไว้แน่น
นึกทบทวนสิ่งที่ได้รับมาโดยตลอดระยะเวลาเกือบสามปี ของขวัญต่างๆ ของสำคัญที่ได้รับไม่เคยขาด ชายหนุ่มฝากพี่สาวเอามาให้เธอ พร้อมคำหวานที่แนบมาในจดหมาย จนหล่อนมอบหัวใจให้เขาทั้งดวง
ความเสียใจพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอกลับรู้สึกโกรธมากกว่า ผินมองพี่สาวที่ทำหน้านิ่งก็ยิ่งโมโหมากกว่า
เธอกำลังถูกคนที่รักทั้งสองทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจ...
“พี่ทำในฐานะพี่ชาย”
พี่ชายอย่างนั้นเหรอ...ใครอยากเป็นแค่น้องสาวกันล่ะ!
“ไม่จริง พี่รักหนู! พี่พุฒรักมินนี่ไม่ใช่พี่เตย ไม่ใช่ ไม่จริง!” แผดร้องเสียงดังแล้วตรงเข้ามาทุบตีชายหนุ่มอย่างคนน็อตหลุด เป็นครั้งแรกที่โดนขัดใจปฏิกิริยาจึงก้าวร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดหล่อนยังตกใจตัวเอง ทว่าไม่อาจหยุดยั้งการกระทำได้