๒ เจ้าบ่าวจำเป็น (๒)
พรรณรมณเข้ามานั่งในรถพลางพรูลมหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีคนเห็น เธอคงไม่ลงมาหาเขาหากชายหนุ่มไม่ขู่ว่าจะบุกห้องนอนของตน เร่งฝีเท้าแทบไม่ทันกลัวคนอื่นมาเห็น หล่อนไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนข้างกายอีกแล้ว
รีบพูดธุระให้จบดีกว่า...จะได้กลับไปนอนแล้วมายินดีกับการแต่งงานของคนทั้งสอง
“พี่พุฒมีอะไรจะคุยกับเตยคะ” ผินหน้ามองร่างสูงแต่เขากลับคว้าหล่อนเข้าไปกอดให้สมความคิดถึง สูดกลิ่นหอมที่มาจากกายแบบบาง คิดถึงหล่อนเหลือเกินจนแทบทนไม่ไหว ตระกองกอดให้แนบแน่นกว่าเดิม
“พรุ่งนี้พี่จะแต่งงานแล้ว” เมื่อกอดจนพอใจจึงยอมปล่อย กลับมามองใบหน้ามนพลางประคองดวงหน้าของหล่อนไว้ด้วยความรัก พูดในสิ่งที่แสนเจ็บปวดแล้วจ้องหล่อนอยู่อย่างนั้น ขยับหน้าเข้าไปหมายจะจุมพิตที่ริมฝีปากบางแต่เธอก็รีบหลบ
มันไม่ควรเกิดขึ้นเพราะชายตรงหน้ากำลังจะแต่งงานกับน้องสาวของตน...
“ยินดีด้วยค่ะ” บอกเสียงเรียบราวไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่เกิดขึ้น
“พี่อยากพาเตยไปที่ที่หนึ่ง...เพื่อเป็นการบอกลาความรักของเรา” เขาตั้งสติอีกครั้งแล้วเข้าเรื่องสำคัญ ท่าทีของหล่อนค่อนข้างห่างเหิน คงเกิดจากการที่เขาต้องแต่งงานกับคนอื่น คงไม่อาจบอกความจริงกับพรรณรมณได้
“ไม่ล่ะค่ะ ขอตัวนะคะ” เอื้อมไปจับประตูกำลังจะเปิดออกไป แขนเรียวถูกคว้าเอาไว้พลางจดจ้องเธอด้วยแววตาอ้อนวอน จนหล่อนไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ทำเพียงแค่มองนิ่งไม่พูดจา ค่อยถอนหายใจเสียงเบาเมื่อความคิดตีกันเอง
“เตย...”
“ขอร้อง...แล้วพี่จะไม่มาวุ่นวายกับเตยอีกเลย” คำพูดนั้นหนักแน่นจนหล่อนต้องชั่งใจ กลัวว่าหากไปกับเขาแล้วคนอื่นมาเห็นจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาไม่รู้จบ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว
จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด...
“นานไหม”
“สามสิบนาที” บอกเสียงหนักแน่นจนเธอเริ่มคล้อยตาม เสียดายไม่ได้เอาอะไรมาด้วยสักอย่าง โทรศัพท์ก็อยู่บนห้องคิดว่าจะคุยไม่นาน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเขาก็คงมาส่งเธอเองนั่นแหละ หญิงสาวไม่ได้คิดอะไรมาก สุดท้ายก็ตกลงปลงใจไปกับอดีตคนรักที่กำลังจะแต่งงานกับน้องสาวตน
“ก็ได้ค่ะ” รถยนต์สีเข้มเคลื่อนตัวออกจากซอยหลังบ้าน เขาเลือกใช้รถที่สีไม่เด่นสะดุดตา พลางตัวอย่างดีแล้วขับพาคนข้างกายไปสู่สถานที่ซึ่งจะมีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น
มุมปากยกยิ้มสมใจ...พึมพำในใจอำลาสถานะเจ้าบ่าวที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับหญิงที่ตนไม่ได้รัก
เช้าตรู่ของวันถัดมาคุณเพ็ญฉวี ดณุสรเดชาผู้เป็นมารดาเคาะประตูห้องของลูกชายแต่เช้าเพื่อจะได้เตรียมตัว ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับและเงียบผิดปกติ จึงเปิดประตูเข้าไปพบว่ากลอนไม่ได้ล็อค ทั้งที่ควรจะพบชายหนุ่มนอนบนเตียง แต่กลับว่างเปล่า!
ไม่มีร่องรอยของการใช้ห้องแต่อย่างใด ใจของนางหล่นไปอยู่ตามตุ่ม กระวีกระวาดเรียกแม่บ้านไปตามหาตัวบุตรชาย คนทั้งบ้านรวมตัวกันทันทีที่ห้องโถงใหญ่ พริศกลับมานอนบ้านในรอบหลายเดือน ดวงหน้าคมคงไว้ซึ่งความแข็งกร้าว คิ้วขมวดตลอดเวลาเหมือนเครียดเรื่องน้องชายหายตัวไปกะทันหันในวันแต่งงาน
“ว่าไงนะ! พุฒหายไป” แม่บ้านและผู้รักษาความปลอดภัยไปดูที่โรงรถก่อนมาตรวจตราที่กล้องวงจรปิด พบว่าพุฒขับรถออกไปข้างนอกยามวิกาล แล้วไม่ได้ขับกลับเข้ามาอีกเลย คนฟังแทบลมจับจนสามีต้องประคองเอาใจ
“ค่ะคุณผู้หญิง เมื่อคืนคุณพุฒขับรถออกไปข้างนอกแล้ววันนี้ก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย” ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะคุณชยันต์ที่คิดว่ามันแปลกตั้งแต่หลานชายยอมตกลงแต่งงานโดยง่ายแล้ว ทั้งที่ความจริงน่าจะเล่นแง่นานกว่านี้สักหน่อย
ประมุขของบ้านผ่อนลมหายใจร้อน หงุดหงิดวุ่นวายใจไม่ต่างกันเพียงแค่ไม่แสดงออกให้คนอื่นเห็นก็เท่านั้น พยายามคิดว่าอีกฝ่ายจะไปได้ไกลสักแค่ไหน ก่อนผินหน้ามองหลานชายอีกคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างกัน
“พริศโทรหาน้อง” คนที่ใกล้จะเป็นลมพยายามลุกนั่งตัวตรง หันไปหาหลานชายที่เปรียบเสมือนลูกอีกคนของตัวเอง สั่งเสียงเฉียบคิดว่าพุฒต้องยอมรับสายพี่ชายอย่างแน่นอน
“ครับคุณน้า” รับคำเสียงหนักแน่นก่อนโทรหาน้องชาย ทุกคนฝากความหวังไว้ที่เขาแต่กลายเป็นว่าต้องผิดหวังเมื่อเห็นท่าทีของพริศ
“สายก่อนไม่รับ...ตอนนี้ปิดเครื่องไปแล้ว” ความหวังของทุกคนพังลงทันที คุณวิศรุตจากที่ปลอบภรรยาก็กลายเป็นโมโห
“นี่มันอะไรกัน! ตาพุฒคิดจะทำอะไรของเขา หนีงานแต่งอย่างนั้นเหรอ” โวยวายจนบิดาต้องหันมาปรามจึงเงียบเสียงลง แต่คนที่เริ่มสติแตกคือคุณเพ็ญฉวี ไม่อยากเชื่อว่าลูกชายสุดที่รักจะกล้าหนีงานแต่ง คล้ายต้องการจะฉีกหน้าพ่อแม่ต่อหน้าธารกำนัล
มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง!
“คุณ จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าพุฒหนีงานแต่งจริง บ้านเวศน์สุวรรณวงศ์ไม่เอาเราไว้แน่ ไม่ใช่เขาจะคิดดอกเบี้ยเราสูงขึ้นเหรอ แย่ แย่แล้ว...” คิดถึงเรื่องบริษัทก็ยิ่งร้อนรนมากกว่าเดิม คุณปู่ที่นั่งเงียบไม่อาจทนฟังสะใภ้คร่ำครวญไหว จึงรีบตัดบทแล้วหันไปทางหลานรักอีกคน
“มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เรากังวลก็ได้ อย่าตีตนไปก่อนไข้หน่อยเลย...พริศ โทรหาน้องจนกว่าจะรับ” แล้วเขาจะโทรได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวปิดเครื่องไปแล้ว แต่บอกไปคนแก่ก็คงไม่ฟังหรอก ชายหนุ่มเลือกเดินออกจากห้องรับแขกเพื่อไปจัดการธุระทุกอย่าง
“ครับคุณปู่” ทุกคนกำลังสติแตกคงคิดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มดูเหมือนจะพึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว
เขาไม่เพียงแต่โทรหาน้องชาย เลือกจะโทรตามบ้านพักตากอากาศแต่ละแห่งเพื่อหาว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่ไหน เสียงพูดคุยของพริศดังมาแว่วๆ คนในห้องก็พยายามทำใจเย็น ขณะที่คุณวิศรุตโอบประคองคู่ชีวิตของตนเอาไว้
ทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี ท่านเชื่อว่าลูกชายอาจกลับมาทันงานแต่งแน่นอน...
“ใจเย็นนะคุณ มันคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
“พุฒนะพุฒ จะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง อายุก็ไม่ใช่น้อยจะสามสิบอยู่รอมร่อ คุณก็รู้ว่าบ้านเวศน์สุวรรณวงศ์มีอิทธิพลทางการเงินมากแค่ไหน แล้วโครงการใหม่ที่กำลังจะ...” ยิ่งคิดถึงเรื่องบริษัทก็ทำให้คุณผู้หญิงของบ้านแทบทรุด
เพิ่งสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ยังได้เงินไม่พอคืนทุน แต่บุตรชายก็สร้างเรื่องจนได้ นางร้องไห้จนสามีต้องปลอบประโลม ขณะที่คุณชยันต์ไม่อาจฟังคำพูดต่างๆ ของสะใภ้ได้อีกต่อไป จึงบอกเสียงเรียบแล้วปรายตามองเป็นการยับยั้งความคิดของอีกฝ่าย
“หยุดคร่ำครวญได้ไหม เรื่องมันยังไม่เกิดจะรีบคิดไปทำไม” ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่าจะพาหลานกลับมาทันงานหมั้น
ไม่อาจจะให้งานล่มได้ สานสัมพันธ์ที่มีมานานต้องขาดสะบั้นลงแน่ แค่คิดก็ปวดหัวจนต้องเอนกายพิงพนักพลางหลับตานิ่ง คล้ายว่าความดันจะขึ้นเมื่อเจอเรื่องราวหนักหนา
“ค่ะคุณพ่อ”
ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องเพื่อเผชิญหน้ากับทุกคนอีกครั้ง ทุกสายตาจ้องเขาเป็นตาเดียวราวกับฝากความหวังเอาไว้ ทว่าชายหนุ่มคงต้องทำให้คนในครอบครัวผิดหวังเสียแล้ว เพราะไม่อาจตามตัวน้องชายกลับมาได้
“ผมให้คนโทรไปถามที่บ้านพักตากอากาศ เมื่อคืนพุฒแวะไปบ้านที่หัวหินครับ เพิ่งออกเรือไปเมื่อเช้า...ไม่รู้ว่าไปเกาะไหน” ความหวังทั้งหมดถูกทำลายลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชยันต์กำมือแน่นพลางพึมพำเสียงเบา
“ไปเกาะทั้งที่เป็นวันแต่งงาน...”
รู้แล้วว่าหลานชายคงวางแผนหนีงานแต่งเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้จึงว่านอนสอนง่ายบอกให้ทำอะไรก็ยอมทำตามหมดทุกอย่าง คงรอวันนี้ที่จะทำร้ายคนในครอบครัวสินะ...
เจ้าหลานคนนี้มันน่าตัดออกจากกองมรดกเสียจริง
“คุณศรุต...ฉันจะเป็นลม” เขารีบเรียกแม่บ้านพาภรรยาไปพักผ่อนทันที ดูท่าว่านางคงไม่อาจรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ ทั้งห้องจึงเหลือเพียงชายต่างวัยสามคนที่นั่งคิดถึงวิธีการขายผ้าเอาหน้ารอด หากงานแต่งล่มเดือดร้อนกันหมดแน่
คุณณฐพงศ์รักหน้าตาของตัวเองอย่างกับอะไร ยิ่งหลานสาวก็หวงเป็นเท่าตัว นี่พวกเขาจะทำลายทั้งหน้าตาและดวงใจของท่าน...คงไม่เกิดผลดีกับครอบครัวตน
“เอายังไงดีครับคุณพ่อ เจ้าบ่าวไม่อยู่งานคงล่มแล้ว”
“จะล่มไม่ได้...แขกที่เชิญมีแต่นักธุรกิจทั้งนั้น บ้านเจ้าสาวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนถ้าบอกว่าเจ้าบ่าวหายตัวไป ที่สำคัญ...คุณพงศ์ไม่เอาฉันไว้แน่” มืดแปดด้านหลังพูดจบ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกถอนหงอกตอนแก่
“แล้วเราจะทำยังไงดีครับคุณพ่อ” ฝั่งลูกชายเองก็ไม่แพ้กัน คิดหาทางออกไม่เจอจนต้องถามบิดาที่เครียดพอกัน คงมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นจากวิกฤตไปได้
“หาตัวพุฒให้เจอเร็วที่สุด” ซึ่งดูเหมือนทางนี้จะริบหรี่เหลือเกิน ร่างสูงเห็นอย่างนั้นจึงเสนอเหมือนรอเวลานี้มานาน ซ่อนรอยยิ้มภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยติดเคร่งขรึม
“หรือไม่อย่างนั้น...เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวไหมครับ”
เจ้าบ่าวตัวจริงไม่อยู่แล้ว...สิ่งที่ทำได้ก็คงมีทางเดียวคือหาคนมาแทนตำแหน่งนั้นก็สิ้นเรื่อง
ช่วงเช้าจัดงานหมั้นอยู่ที่บ้านของเจ้าสาว ส่วนตอนเย็นค่อยย้ายไปโรงแรมซึ่งจองสถานที่เอาไว้รองรับแขกกว่าพันคน ช่วงเช้ามีเพียงเพื่อนสนิทไม่กี่ร้อยของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น บ้านหลังงามถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่จัดงานหมั้น เน้นสีขาวและสีชมพูตามความชอบของเจ้าสาว
ภาพหน้างานแสดงถึงความหวานชื่นอย่างน่าอิจฉา โดยไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ความหวานนั้นแฝงด้วยความเจ็บปวดของใครอีกคน
“ขบวนขันหมากมาแล้ว!” เจ้าสาวที่แต่งตัวเสร็จแต่เช้ายืนเกาะขอบหน้าต่างเพื่อมองขบวนขันหมากที่ค่อยเคลื่อนมายังหน้าบ้านของตน พยายามมองหาเจ้าบ่าวที่ถูกบดบังท่ามกลางฝูงชนก็ขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไหนๆ”
“ห้ามๆ ต้องคอยดูความหล่อของเจ้าบ่าวตอนเข้าพิธีหมั้น เดี๋ยวระหว่างเดินจะตาลอยจนตกบันได ตอนนี้ต้องนั่งรอสวยๆ...” เพื่อนเจ้าสาวสามคนรีบเข้ามาขวางแล้วจูงมือให้หล่อนออกห่างหน้าต่าง ทำเอาเธอถึงกับทำหน้าบึ้ง
มินทิราสวยสง่าในชุดไทยสีทองแสนงดงาม ผมยาวถูกรวบเป็นมวยต่ำประดับแซมด้วยดอกไม้ ใบหน้าแต่งแต้มให้ขาวผ่อง ใครเห็นก็ชมไม่ขาดปากว่าสวยเหลือเกิน เธอยิ้มรับด้วยความเต็มใจอยากฟังเจ้าบ่าวชมตนบ้าง
“มิรา แกช่วยทำหน้าดีๆ หน่อยได้ไหม” กนกนุชหันมาเหวใส่เพื่อนที่ทำหน้าบึ้งตลอดเวลาจนน่าหงุดหงิด
“ไม่ ก็ฉันไม่ยินดีกับความรักที่ไปแย่งคนอื่นมา” ตอบตามความจริงเล่นเอาทั้งห้องเงียบสนิท ไม่กล้ากระทั่งจะหายใจด้วยซ้ำ นวิยาเห็นท่าไม่ดีเลยต้องจูงกึ่งลากเพื่อนสองคนลงไปข้างล่าง ก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดมากกว่านี้
“ฉันว่าเราลงไปกั้นประตูเงินประตูทองดีกว่า รีบไปกันเถอะก่อนขบวนขันหมากจะมาถึง ไปๆ” สิ้นเสียงประตูที่ปิดลงทำให้เจ้าสาวต้องสูดลมหายใจพลางยกมือปัดไล่น้ำตาให้กลับไปที่เดิม ย้ำกับตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ
“มีความสุข...มีความสุข...เธอมีความสุข”
ได้แต่งงานกับคนที่รักทำไมจะไม่มีความสุขล่ะ...
ถึงเวลาที่ต้องลงไปข้างล่างเพื่อนสนิทก็มาตาม แต่ท่าทีของนวิยาคล้ายมีสิ่งใดจะพูดกับหล่อน พอกำลังจะถามก็ถูกเรียกให้ไปนั่งที่ห้องโถงจนต้องรีบเดินไป ใบหน้าหวานยิ้มแย้มมีความสุข ก้มมองพื้นพลางเห็นจุดที่ตัวเองต้องเข้าไปนั่ง
จากนั้นก็เงยหน้าหมายจะสบตากับเจ้าบ่าวแต่แล้วกลับต้องเผยอปากค้าง ตกตะลึงเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน
“พี่พริศ...” พึมพำเสียงเบาแล้วผินมองคนในครอบครัวที่พยักหน้าบอกให้ตนนั่งลง สายตาสั่งให้หญิงสาวเงียบห้ามโวยวาย ทว่ามินทิราสติหลุดไปแล้ว สุดท้ายก็ได้เพื่อนเจ้าสาวเข้ามาช่วยให้นั่งลงกับที่เพื่อจะได้เป็นไปตามฤกษ์
เหตุใดเจ้าบ่าวของเธอจึงเป็นเขา!