๒ เจ้าบ่าวจำเป็น (๑)
๒
เจ้าบ่าวจำเป็น
เป็นครั้งแรกที่รองประธานบริษัทผู้ขยันขันแข็งขอหยุดงานช่วงบ่าย เลขานุการถึงกับทำแฟ้มตกด้วยความตกใจคิดว่าตัวเองหูฝาด เจ้านายผู้ที่ใช้ทุกเวลาและวินาทีคุ้มค่ากลับขอหยุดงานทั้งยังยอมยกเลิกนัดอีกต่างหาก คงต้องเป็นเรื่องสำคัญมากสินะ
ทำธุระเรียบร้อยก็เลือกกลับคอนโดมิเนียมหรู แตะบัตรขึ้นลิฟต์แล้วหยุดหน้าห้องของตัวเอง เปิดประตูเข้าไปข้างในพบทางเดินทอดยาวที่สั่งทำกำแพงกั้นห้องเป็นตู้สำหรับวางหนังสือ เขาคือหนอนหนังสือตัวยงที่อ่านทุกประเภทไม่เกี่ยงว่าจะเป็นความรู้หรือนิยายช่างฝัน
หนังสือนอกจากให้ความรู้แล้วยังทำให้เขามีเรื่องพูดคุยกับผู้คนที่หลากหลาย ต้องเข้างานสังคมสวมหน้ากากบ่อย พบผู้คนร้อยพ่อพันแม่ความสนใจก็ต่างกัน ทว่าเขาต้องจับความสนใจนั้นแล้วเริ่มประโยคที่น่าสนใจ เพื่อสร้างคอนเนคชั่นให้กับบริษัท
เพนส์เฮาส์หรูแห่งนี้มีพื้นที่กว่าเจ็ดร้อยห้าสิบห้าตารางเมตร จัดสรรห้องมาให้ทั้งหมดสามห้องนอนแต่เขาก็ทุบออกเหลือสองห้องเพื่อเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น อย่างไรก็ต้องอยู่คนเดียวจึงไม่ได้คิดจะมีห้องนอนหลายห้อง ที่เหลือไว้หนึ่งห้องเผื่อคนในครอบครัวมาพัก
เท้าหนักก้าวเข้ามาในห้องนอนขนาดกว้างที่จัดสรรปันส่วนอย่างดี เน้นสีโทนเข้มตามความชอบเจ้าของห้อง เขาเดินไปยังห้องแต่งตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นไปรเวทสำหรับพักผ่อนอยู่ที่บ้าน นัดเพื่อนมารับประทานอาหารเย็นร่วมกันจึงออกมาทำอาหารไว้คอยท่า
ทุกส่วนของเพนส์เฮาส์ล้วนได้ใช้สอยหากชายหนุ่มมีเวลาว่างมากพอ ทว่าส่วนมากจะง่วนกับงานจนไม่ได้หยิบจับอะไรสักอย่าง เพิ่งมีวันนี้ที่ได้เข้าครัวในรอบหลายเดือน เปิดเพลงฟังคลอไปด้วยเพื่อเพิ่มบรรยากาศ
อาหารเสร็จก็พอดีกับเสียงออดที่ดังหน้าห้องจึงเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขก โดยมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากเสมอ
“อารมณ์ดีนะวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เข้ามาในห้องได้ยินเสียงเพลงก็คิ้วขมวดด้วยความสงสัย ศิรชัช วินิจเตโช ทนายหนุ่มผู้ไม่เคยว่างตรงกับเพื่อนสักครั้งเพราะรับทำคดีตลอดเวลา หลายคนบอกว่าพริศยุ่งแล้วยังไม่สู้เพื่อนเขาคนนี้ หาเงินเก่งเหมือนติดหนี้ร้อยล้านทั้งที่บ้านร่ำรวยไม่แพ้กัน
“เปล่า” ตอบปฏิเสธแล้วนั่งลงบนโซฟา มองเบาะสีขาวนวลก็เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว นึกไปถึงเจ้าของร่างแบบบางที่สวมชุดขาวยืนหน้าตื่นมองตน
คนที่เพิ่งนั่งถึงกับชะงัก เหลียวซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้เห็นสิ่งลี้ลับ มองตามสายตาคมแล้วก็ต้องสับสนอีกครั้ง
“เปล่าแล้วมึงยิ้มกับโซฟาทำไม”
“โซฟาน่ารัก”
“เช็คสมองบ้างนะ ชักจะไม่ไหวแล้วมึงน่ะ” ทนายหนุ่มถึงกับส่ายหัวแล้วหันไปมองเพื่อนอีกคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม จิณณ์ มณีรัตนโชติหมอฟันผู้เป็นเจ้าของคลินิกทำฟันถึงสามสาขา
ค่อยผินสายตามามองรองประธานที่ไม่มีมาดของคุณหมอฟันเลยสักนิด พริศเรียนปริญญาตรีคณะทันตแพทยศาสตร์จนจบได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพียงแต่ไม่ทันได้ทำงานที่ร่ำเรียนก็ถูกขอร้องจากครอบครัวให้มาช่วยกิจการ
จำต้องตอบรับด้วยสำนึกในบุญคุณ เปลี่ยนสายมาเรียนบริหารทำงานช่วยที่บ้าน ทั้งยังบินไปเรียนต่อปริญญาโทจบภายในสองปีจนทุกคนทึ่งในความเก่งกาจ ใช้เวลาไม่ถึงห้าปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานบริหารได้รับความเห็นชอบจากทุกคนถึงศักยภาพของเขา
“กูนึกว่ามึงจะฟูมฟายหลังจากรู้ว่าเบญกลับมาไทยเพราะจะมาแต่งงาน แต่แปลกที่มึงเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อารมณ์ดีอะไรนักหนาวะ มึงชอบเบญมากจนไม่ยอมมีใครมาห้าปีไม่ใช่เหรอ” จิณณ์เดินเข้าครัวไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาเปิดดื่มเพื่อให้ตัวเองสดชื่น
ไม่ลืมพูดถึงเรื่องแฟนเก่าของเพื่อนที่เลิกรากันได้หลายปี แต่ฝ่ายชายก็ไม่มีทีท่าว่าจะคบคนใหม่ ยังครองตัวเป็นโสดแม้จะมีหญิงมากมายเข้ามาทอดสะพายก็ตาม พริศไม่เคยวอกแวกเลยสักครั้ง เก็บเล็กกินน้อยก็ไม่มี
จนพวกเขาเคยพูดกันว่าอีกฝ่ายตายด้านหรือเปล่า...
“เบญจะแต่งงานกับใคร” เพิ่งได้ข่าวของอดีตแฟนสาวที่คบกันนานถึงสี่ปีแต่ก็ต้องเลิกราเมื่อถึงทางตันของความสัมพันธ์ เขาไม่ได้ติดต่อหรือตามข่าวคราวของหล่อน... หญิงสาวหายไปจากสารบบ มารู้ก็ตอนที่เพื่อนพูดว่าเบญญา ถิรธรรมคุณกำลังจะแต่งงาน
“เคน วิทวัส สส.รูปหล่อมีพ่อเป็นหัวหน้าพรรคไง เห็นว่าสัปดาห์หน้าก็จะแต่งงานกันแล้ว เพิ่งคบได้ไม่กี่เดือนเอง แปลกที่แต่งงานเร็ว” นึกถึงหน้าฝ่ายชายที่กำลังโด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ต เพราะความหล่อและคำพูดที่จับใจคนฟัง อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเลือกตั้งแต่จึงพากันเดินสายหาเสียงให้ว่อน
มาแต่งตอนนี้เสียคะแนนนิยมกันพอดี ทว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ครอบครัวฝ่ายหญิงมีหน้ามีตา อีกทั้งเบญญาก็สวยหมดจด เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
“เบญเชิญมึงไหม” ศิรชัชได้โอกาสรีบถาม เขาส่ายศีรษะแล้วตอบเสียงเรียบเพราะไม่เห็นว่าจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับตนสักเท่าไหร่
“ไม่”
“แต่เขาเชิญพวกกูว่ะ” ทนายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างถือไพ่เหนือกว่า พวกเขาสองคนได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่ง แต่คนที่เป็นแฟนเก่ากลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะแต่งงาน นึกสงสารปนสมน้ำหน้าหนุ่มหล่อเหมือนกัน
“ไม่แปลก ก็เพื่อนกัน” ยักไหล่ไม่สนใจ
เธอเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขา ที่ได้คบกันก็ตอนกลับไปเลี้ยงรุ่นแล้วได้พูดคุย มีหลายอย่างที่เข้ากันได้เลยสานสัมพันธ์มาเรื่อย แต่สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้จึงแยกย้ายไปตามทางแล้วเลือกจะไม่ติดต่ออีกเลย
ไม่รู้ว่าหล่อนเจ็บแค้นเคืองกันหรือเปล่า พอลองมองย้อนกลับไปก็คิดว่าตนเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ค่อยมีเวลาให้หล่อนเพราะลุยงานหนัก ผิดนัดหลายต่อหลายครั้ง ยังนึกสงสัยว่าเบญญาคบเขาถึงสี่ปีได้อย่างไร
“แล้วมึงไม่คิดจะไปเหรอ” จิณณ์ดื่มเบียร์แล้วก็เริ่มง่วง เอนกายพิงพนักโซฟาพลางถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“ไปทำไมเขาไม่ได้เชิญ แต่ถึงเชิญกูก็ไม่ไปหรอก...อดีตก็คืออดีตไม่อยากเก็บมาคิดให้ปวดหัว อยู่กับปัจจุบันดีกว่า” ตอบตามความจริงแต่เพื่อไม่ใคร่จะเชื่อสักเท่าไหร่ หรี่ตามองคนพูดเหมือนต้องการจับผิด จากนั้นจึงพยักหน้าแบบขอไปที
“ครับ กูจะเชื่อแล้วกัน”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง” เจ้าของห้องลุกจากโซฟาแล้วจัดโต๊ะอาหาร เริ่มลงมือรับประทานมื้อเย็นร่วมกันพลางพูดคุยสัพเพเหระ พออายุมากขึ้นเรื่องที่คุยส่วนมากก็คือเรื่องสนุกสนานในอดีต ไม่ค่อยจะหยิบยกเรื่องงานน่าปวดหัวมาพูดสักเท่าไหร่
บางทีเขาก็อยากกลับไปเป็นวัยรุ่นที่อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดมากเหมือนอย่างตอนนี้
จะได้รักใคร...โดยไม่ต้องหักห้ามใจตัวเองสักที
เวลาในการเตรียมตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนไม่นานเลยสักนิดรู้ตัวอีกทีพรุ่งนี้ก็ถึงงานแต่งของหล่อนกับพุฒแล้ว ชุดงานหมั้นช่วงเช้าและฉลองมงคลสมรสตอนเย็นห้อยโชว์อยู่ในห้องแต่งตัวของเจ้าสาวคนสวย
ผิวหน้านวลใส ผิวกายเปล่งปลั่งเพราะไปเข้าคอร์สเจ้าสาวตามกำหนดไม่เคยขาดสักครั้ง ส่องตัวเองในกระจกพร้อมทาบชุดแล้วหมุนตัวไปมา แววตาเป็นประกายบ่งบอกถึงความสุขที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับชายผู้เป็นที่รัก
ก่อนใบหน้าจะสลดลงเมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่หัวใจของเขารักใคร...
ความรู้สึกผิดกัดกินใจเมื่อเห็นพี่สาวหลบหน้าหลบตา แม้จะโกรธที่ทั้งสองร่วมกันหักหลังตน แต่ส่วนลึกแล้วก็ยังรักและเคารพพรรณรมณเสมอ อยากพูดคุยแบ่งปันความสุขแต่ก็ไม่อาจทำได้ ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องแตกหักวันนั้น ไม่รู้นานแค่ไหนจะกลับมาประสานให้เป็นดังเดิมได้อีก
“ไงลูกสาว” คุณณหทัยเห็นว่าไฟในห้องของมินทิรายังเปิดสว่างจึงเข้ามาดู พบว่าร่างบางกำลังมองตัวเองในกระจกจึงได้ทักแล้วเดินเข้าไปหา
ไม่น่าเชื่อว่าหนูน้อยในวันนั้นที่เพิ่งเรียกแม่ได้จะเติบโตจนพร้อมออกเรือน จดจ้องดวงหน้าหวานด้วยความหวงแหน ทั้งรู้สึกผิดกับลูกสาวอีกคน แต่ตนก็ต้องยอมรับว่ารักลูกในไส้มากกว่า จึงได้ทำร้ายจิตใจของลูกคนกลางเพื่อให้สาวน้อยตรงหน้ามีความสุข
“คุณแม่ขา ชุดหนูสวยไหมคะ” อวดชุดสวยพลางหมุนตัวไปมา คนเป็นแม่พยักหน้าทันทีมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากเสมอ
“สวยมากลูก”
“พรุ่งนี้หนูจะได้แต่งงานกับพี่พุฒแล้วนะ” แขวนชุดไว้ที่เดิมแล้วเดินเข้ามาหามารดา กอดท่านเอาไว้ด้วยความรักโดยที่คุณณหทัยก็กอดตอบบุตรสาวเช่นเดียวกัน ลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดูกับท่าทีออดอ้อนราวกับเด็กน้อย
“แม่ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณคุณแม่นะคะที่คอยช่วยหนูตลอด” กอดจนพอดีใจก็ผละออกแล้วมองหน้าท่าน ก้มลงหอมแก้มซ้ายขวาถือเป็นการตอบแทน
“เพราะหนูคือดวงใจของแม่ ดวงใจของคนทั้งบ้าน ถ้าหนูอยากได้อะไรแม่จะหามาให้ทุกอย่าง” ไม่ผิดจากที่พูดเท่าไหร่นัก สาวน้อยคือแก้วตาดวงใจจึงได้ทุกอย่างตามต้องการขอเพียงเอ่ยปากขอเท่านั้น เรื่องการแต่งงานคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะคิดหนักกับชีวิตคู่ต่อจากนี้ของมินทิรา...แต่เพราะลูกรักพุฒ
จึงต้องยอมปิดตาข้างหนึ่งแล้วทำตามความต้องการของอีกฝ่าย
“หนูรักคุณแม่ค่ะ” พูดคุยกันอีกสักพักจนท่านเห็นว่าดึกแล้ว ต้องให้ลูกสาวได้พักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวแต่เช้า จึงเดินออกจากห้องนอนของร่างบางโดยผ่านห้องของลูกสาวคนกลางที่ปิดไฟสนิท
ตอนแรกคิดจะเคาะประตูเข้าไปพูดคุยก็เปลี่ยนใจ เดินกลับห้องของตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าคนที่ควรอยู่ในห้องได้แอบออกมาคุยกับว่าที่เจ้าบ่าวอยู่หลังบ้านเพราะทนการรบเร้าของเขาไม่ไหว