๑ เจ้าบ่าวชั่วคราว (๒)
“ที่นายมาหาพี่เพราะต้องการระบาย...หรืออยากให้ช่วย” ด้วยความเป็นพี่จึงอยากช่วยให้น้องชายคลายทุกข์ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เอ่ยปากขอก็ไม่คิดจะสอดเท้าเข้าไปยุ่งให้เรื่องมันยิ่งอีรุงตุงนังมากกว่าเดิม
“ตอนแรกอยากระบาย แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจอยากให้พี่ช่วยได้หรือเปล่า” สายตาที่มองคนอายุมากกว่าเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
“หึ ฉันจะช่วยนายยังไงล่ะ ขนาดตัวเองฉันยังเอาไม่รอดเลย” เลือกปฏิเสธในคราวแรกก่อนเอื้อมไปหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่ม ปกปิดแววตาพราวระยับของตัวเองเอาไว้ให้มิด กลัวว่าคนตรงหน้าจะรับรู้ความคิดภายใน
“ไม่รู้ล่ะ พี่เป็นความหวังเดียวของผมแล้ว ถือว่าช่วยลูกนกตาดำๆ เถอะนะครับ ขอร้องล่ะพี่พริศ...ผมมองไม่เห็นแล้วจริงๆ ว่าจะมีใครเก่งกาจสามารถเท่าพี่ชายของผม” ลุกจากโซฟาพลางคุกเข่าลงตรงหน้าท่านรองประธานที่คนทั้งบริษัทให้การยอมรับ
“นายคุยกับเตยหรือยัง”
“ยังครับ โทรไปก็ไม่รับสาย” เขาพยายามติดต่อหญิงสาวมาสองวันแล้ว ทั้งไปดักรอหน้าบริษัทก็ไม่พบ จนปัญญาจะหาทางพูดคุยกับคนรัก
“ฉันพอจะมีแผน...นายสนใจหรือเปล่า” คนที่คุกเข่ารีบคลานเข้าไปใกล้พี่ชาย มุมปากยกยิ้มทั้งสองข้าง พยักหน้าขึ้นลงจนหัวสั่นคลอน หัวใจเต้นแรงจนจะหลุดออกมานอกอกอยู่รอมร่อเมื่อรู้ว่าพี่ชายสามารถช่วยตัวเองได้
เขาเชื่อมั่นในตัวของพริศหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ วันที่มืดมนจึงเริ่มมีแสงสว่าง...
คิดถูกแล้วที่มาหาอีกฝ่าย
“ครับ สนใจ แผนอะไรเหรอพี่”
“แผนดัดนิสัยเด็กจอมเอาแต่ใจแค่นั้นเอง” ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมเล่าแผนการคร่าวให้น้องชายฟัง มันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่
ทว่าก็ดีกว่าเขาต้องถูกจับแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก!
หายหน้าหายตาเพื่อทบทวนตัวเองเกือบสามวัน ชายหนุ่มก็เดินทางกลับบ้านเพื่อบอกข่าวดีสำหรับคนในครอบครัวแม้ว่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับตนก็ตาม ร่างหนาสวมชุดเดิมที่ใส่ออกจากบ้านวันนั้น รถสปอร์ตคันหรูขับเข้าไปในโรงจอดรถชั้นใต้ดินแล้วกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้นหนึ่งของบ้าน
รู้ดีว่าเวลาทุกคนกำลังรับประทานอาหาร จึงเดินเข้าไปในห้องครัวที่มีพ่อแม่และคุณปู่นั่งอยู่พร้อมหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงพุฒเลือกจะประกาศถึงสิ่งสำคัญ จนทุกคนหันมามองด้วยความตกใจระคนแปลกใจ
“ทุกคนครับ...ผมตกลงแต่งงานกับมินนี่” สีหน้าอมทุกข์กับหน้าตาหมองคร่ำมีหนวดเคราขึ้นรกครึ้มบ่งบอกให้รู้ว่าตลอดสามวันเจ้าตัวปล่อยตัวขนาดไหน แทบไม่ได้ดูแลตัวเองเลยด้วยซ้ำคล้ายจะประชดชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจ
คุณชยันต์วางช้อนส้อมลงบนจาน เหลือบมองหลานชายอย่างฉงน ไม่คิดว่าภายในเวลาสามคนจะทำให้คนดื้อเงียบยอมคล้อยตามได้ พอจะทราบว่าอีกฝ่ายไปอยู่ที่เพนส์เฮาส์ของพริศจึงไม่ได้ไปตามตัว อย่างไรคนเป็นพี่ก็คงกล่อมน้องได้เอง
แล้วก็เป็นจริงดังคาดเพราะอีกฝ่ายสามารถทำให้คนที่ยืนยันหัวชนฝาว่าจะไม่แต่งงานกับมินทิราเปลี่ยนใจยอมตกปากรับคำ
“ทำไมถึงเปลี่ยนใจ”
“ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุณบ้านเวศน์สุวรรณวงศ์ การแต่งงานของผมถือเป็นการทดแทนบุญคุณในอดีตแล้วให้จบกันไปได้ไหมครับ” เอามาต่อรองกับคุณชยันต์ที่นั่งนิ่ง พอจะรู้เหตุผลของการยอมตกลงก็เข้าใจทันที
อีกฝ่ายคงอยากให้คำว่าบุญคุณหมดไปโดยเร็วที่สุด...
“ได้ ฉันจะไปคุยกับคุณพงศ์เอง” สุดท้ายก็ยอมเลิกราแต่โดยดีเพราะผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ ต่อจากนี้จะได้ดองกับบ้านเวศน์สุวรรณวงศ์เต็มตัวแล้ว ใจของท่านก็พอจะคลายความหนักอึ้งลงไปได้บ้าง เหลือบมองหลานชายที่เดินออกจากห้องอาหารแล้วตรงขึ้นชั้นสองด้วยแววตาคล้ายสงสัย
แต่ก็รีบปัดความคิดเหล่านั้นออกไปทันที ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเมื่อพุฒรับปากแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น ทว่าใจของท่านก็ยังไม่สงบ คงไม่ไปขอฤกษ์จากพระตามที่คิดแล้วล่ะ น่าจะฤกษ์ตามสะดวกคงจะดีกว่า
เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมาภายหลัง
หลังจากตกปากรับคำกับครอบครัว ก็ถึงเวลามาแจ้งข่าวให้คนที่บ้านของมินทิราทราบ ถึงแม้ว่าใจเขาจะหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม ยิ่งจอดหน้ามุขบ้านหลังงามก่อนเปิดประตูลงมา เท้าชะงักยามเห็นร่างแบบบางของคนรักเดินออกมาจากบ้าน เผลอเรียกอย่างลืมตัว
“เตย...” แต่เพราะคุณณหทัยเดินตามมาสมทบ ลูกสาวคนรองจึงรีบหันไปยกมือสวัสดีมารดาแล้วเดินไปยังโรงรถด้วยความเร็ว
“ใกล้จะถึงเวลาเข้างานแล้ว เตยไปทำงานก่อนนะคะ” เขาอยากมองตามแต่ต้องอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ยกมือไหว้มารดาของว่าที่เจ้าสาวอย่างนอบน้อม เดินตามท่านเข้ามาในบ้านก็ได้ยินเสียงสดใสทักมาแต่ไกล พร้อมร่างแบบบางที่วิ่งลงมาจากบันไดพร้อมรอยยิ้มแสนหวานที่เขาเห็นแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดในใจ
“พี่พุฒ! หนูได้ข่าวจากคุณปู่แล้วค่ะว่าพี่พุฒตกลงจะแต่งงานกับหนู” ทราบจากมารดาเมื่อคืนก็แทบนอนไม่หลับ เลือกชุดตั้งนานกว่าจะลงมาได้ แววตาที่เคยหม่นหมองเปลี่ยนเป็นพราวระยับคล้ายมีหมู่ดาวนับล้านส่องแสงอยู่ในนั้น
เธอมีความสุขที่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกตน...
ลืมเสียสนิทว่าเป็นการทำร้ายจิตใจพี่สาวของตัวเอง
“ครับ วันนี้พี่มาคุยเรื่องงานแต่ง...” พูดแค่นั้นก็ทำให้โลกของมินทิรากลับมาสว่างสดใสได้อีกคราว หล่อนเข้ากอดแขนเขาแล้วพาเข้าไปในห้องรับแขกที่มีคนในครอบครัวอยู่รอกันพร้อมหน้า คุยเกี่ยวกับงานแต่งที่จะมีขึ้นในเร็ววัน
ซึ่งกำหนดการของมัน...คือเดือนหน้า
“แกจะแต่งงานกับพี่พุฒเดือนหน้า! มันไม่เร็วไปเหรอไอ้มินนี่” หลังจากตกลงทุกอย่างเรียบร้อยก็มาประกาศข่าวดีให้เพื่อนทราบ
เนื่องจากว่าหล่อนเรียนช้ากว่าเพื่อนหนึ่งปีเพราะต้องไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทำให้จบช้ากว่าเพื่อนสนิททั้งสามคน ขณะที่หล่อนเพิ่งรับปริญญา แต่ทุกคนกลับทำงานกันหมดแล้ว ทั้งยังกำลังจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศอีกต่างหาก
พูดถึงเรื่องเรียนต่อครอบครัวก็ถามเธอเหมือนกันว่าอยากไปเรียนที่ไหนหรือเปล่า ทว่าตนปฏิเสธเพราะอยากทำงาน ปริญญาดูจะไม่ค่อยมีความหมายกับหญิงสาวเท่าไหร่
เธอไม่มีความทะเยอทะยานเพราะรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องมาทำงานที่ธนาคารอยู่ดี...แม้จะไม่ชอบก็ตาม
“ท้องหรือเปล่าถึงต้องรีบแต่ง” นักแสดงสาวที่เข้าวงการเมื่อปีที่แล้วถามเพื่อความแน่ใจ การแต่งงานที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าเช่นนี้มีไม่กี่เหตุผลหรอก
กนกนุช อินทรปรีชาสาวสวยของกลุ่มที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยหุ่นเพรียวลมทำให้ถูกทาบทามเป็นนางแบบ แล้วค่อยเข้าวงการนักแสดงเมื่อปีที่แล้ว ชื่อเสียงยังไม่ได้โด่งดังมากนักแต่ก็ได้เซ็นสัญญาช่องใหญ่ อีกทั้งค่ายยังป้อนงานละครให้ไม่ขาด เพียงแค่ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้แจ้งเกิดเท่านั้น
“บ้า! คนอย่างฉันไม่ชิงสุกก่อนห่ามอยู่แล้ว ยังไม่มีใครได้เจาะไข่แดงของฉัน...แล้วฉันก็จะเก็บไว้ให้พี่พุฒคนเดียว” ใบหน้าสวยยิ้มหวานอยู่อย่างนั้นพลางคิดเพ้อฝัน
มินทิราเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่เคยมีแฟน มักถูกล้อว่าเป็นคุณหนูบนหอคอยงาช้างเพราะมีคนรถรับส่งตลอด ไม่เคยกลับบ้านเกินสี่ทุ่ม ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยรับน้องกลับดึกแค่ไหนก็มีคนรถมาคอย ชายใดเข้าใกล้ต้องถูกคนในครอบครัวเธอแสกนจนหนีหายไม่เข้าใกล้อีก
มีเพียงพุฒที่คบในฐานะพี่ชายและเข้าใกล้ได้มากที่สุด เพื่อนคนนี้จึงค่อนข้างอ่อนต่อโลกจนน่าเป็นห่วง
“แล้วทำไมรีบแต่ง” นวิยา ศรีลักษณ์เจ้าของบ้านที่พวกเขามารวมกันเอ่ยถาม หล่อนเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ นอกจากรสชาติเครื่องดื่มที่อร่อยยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้ได้บันทึกลงโซเชียลอีกต่างหาก
“เตรียมงานแค่เดือนเดียวจะทันเหรอ”
“ทันสิ ไม่เห็นต้องทำอะไรมากเลย แค่ไปลองชุด เข้าคอร์สเจ้าสาว แจกซอง...สบายจะตาย” พูดจบก็ยิ้มกว้างถึงหน้าที่ของตัวเอง ส่วนที่เหลือผู้ใหญ่จะเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
มารดาบอกว่าจะเชิญแขกมากว่าพันคน ทั้งคนรู้จักและคู่ค้าทางธุรกิจ หล่อนจึงวาดฝันว่างานแต่งจะต้องสวยเหมือนเทพนิยายที่เคยอ่านตอนเด็ก นัยน์ตาหวานกำลังหลงอยู่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้น จนเพื่อนที่เหลือต้องบอกเพื่อเตือนสติ
“แต่แกเพิ่งเรียนจบนะ อายุยี่สิบสามเอง ไม่คิดจะไปเปิดโลกกว้างหาประสบการณ์ก่อนหรือไง แต่งตอนนี้ปีหน้ามีลูก ชีวิตหมดสนุกเลยนะเว้ย” มิรา ราชเทวา คนที่โผงผางพูดจาขวานผ่าซากแต่จริงใจเอ่ยขึ้น เพิ่งลาออกจากงานแอร์โฮสเตสเพื่อจะไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่ฝรั่งเศสในอีกสามเดือนข้างหน้า
“ฉันลองคิดดูแล้ว...ก็คงเสียดายชีวิตหลังเรียนจบแหละ แต่ฉันคงเสียใจมากกว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกับพี่พุฒ...ใช่ว่าแต่งงานแล้วไปสนุกไม่ได้นี่น่า ฉันก็จะไปเที่ยวกับเขา มีความสุขกับเขา”
เธอไม่ซีเรียสเรื่องแต่งงานเร็วสักนิด เชื่อว่าถึงแต่งไปใช่ว่าชีวิตจะหมดสนุกสักหน่อย กลับกันจะมีคนมาคอยแชร์ความสุขให้เพิ่มขึ้นต่างหาก
ทว่าประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น...มิรารีบถามต่อด้วยความสงสัย