บทที่ 3-1 บำเรอกามท่านอ๋อง
บทที่ 3 บำเรอกามท่านอ๋อง
จิ้งอ๋องจอมมืดมนก็ยิ้มเป็นเหมือนกันนี่...
ผิงเซียงจ้องมองรอยยิ้มที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น นึกในใจว่ารูปงามกว่าตอนทำหน้าบึ้งตั้งเยอะ
“เจ้าจะมองหน้าข้าอีกนานหรือไม่”
“เพค้า”
ผิงเซียงหอบหายใจ จ้องมองแท่งหยกที่มีเส้นเลือดปูดพาดไปตามลำ ส่วนหัวบานๆเหมือนดอกเห็ด อาวุธประจำกายของเขาช่างใหญ่โตมโหฬารจนผิงเซียงทำอะไรไม่ถูก
“เพิ่งเคยเห็นงั้นหรือ”
“งืม... เคยเห็นแต่ในตำราเพคะ ก็เลย พอทำใจได้ แต่ไม่คิดเลยว่าของจริงมันจะ... ใหญ่ขนาดนี้ อ๊ะ มันกระตุกเองได้ด้วย สุดยอดเลย”
นางอ่านตำราอะไรของนางมาบ้างกันแน่นะ จิ้งอ๋องขมวดคิ้วมุ่น ต่อไปนี้เขาคงต้องคัดกรองสิ่งที่นางอ่านเข้าสมองเสียหน่อยจะดีกว่า
“ข้า... ข้าต้องทำอย่างไรบ้างเพคะ”
“ชักรูดมันเบาๆ ก่อน”
“แบบนี้เหรอเพคะ”
“อืมม... ใช้มือชักแท่งลึงค์แล้วค่อยๆ ใช้ปากดูดเลีย”
“พ...เพคะ” ผิงเซียงประคองลำหอกไว้ด้วยมือสั่นเทานั้น แล้วค่อยๆ เอาใส่อุ้งปาก
จ๊วบบ...
รสชาติของแท่งหยกบุรุษเพศมันช่างยากจะบรรยาย แต่ผิงเซียงกลับพอใจที่ลำหอกแข็งชันทอดยาวอยู่ในปาก มันอวบใหญ่คับแน่นเต็มปาก เด็กสาวหลับตาแน่นปี๋ขณะตั้งอกตั้งใจอมแท่งหยกให้สามี อมตรงส่วนหัวบากบานแล้วตวัดลิ้นไปมา
“ซี้ดด... ดีมาก”
เสียงครางกระหึ่มบอกให้นางรู้ว่าทำได้ดีแล้ว ผิงเซียงอ้าปากงับหัวแท่งหยกที่ยังกระตุกหงึกๆ มาดูดดื่ม ตวัดลิ้นสะกิดตรงหัวบากบานสีชมพู จากนั้นก็ค่อยๆ กลืนกินหมดทั้งด้าม
จ๊วบๆๆๆๆ
“ซี้ดด อา... เสียวสุดๆ” จิ้งอ๋องถึงกับชักกระตุกด้วยความเสียวสะท้าน ชายาตัวน้อยดูดแรงจนแก้มตอบ ผงกขึ้นลง ดูดเลียอย่างเอร็ดอร่อย ผิงเซียงเขี่ยลิ้นวนไปรอบๆ หัวแท่งหยก ปลุกเร้าให้ชายผู้สูงศักดิ์ร้องครวญครางเสียวที่ห้องโถงใหญ่ต่อหน้าผู้คนมากมาย
จ๊วบบ... จ๊วบบ...
ผิงเซียงจับต้นขากำยำไว้แล้วดูดเลียท่อนเอ็น ดูดเข้าคายออกและเร่งความเร็วโดยไม่ลืมตวัดลิ้นไปมาอย่างรวดเร็ว ร่างกำยำถึงกับเสียวตัวสั่นหงึกๆ
“โอ้วว... น้ำจะแตกแล้ว เยี่ยมมาก” จิ้งอ๋องครวญคราง ก่อนจะพ่นน้ำกามราดรดใส่ปากผิงเซียง นางจึงเลียแล้วดูดจนเกลี้ยง แววตาของผิงเซียงสับสนแต่ก็พยายามเต็มที่ น่ารักมาก... ท่อนเอ็นยิ่งผงาดชันพร้อมสู้ศึก เขาพอใจมากทีเดียว
“เอาล่ะ มาขึ้นคร่อมข้าสิ” ร่างสูงใหญ่หอบหายใจ รสสวาทถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงในรอบหลายปี เขาหลุบมองเด็กสาว ใคร่จะเสพสังวาส ทว่าผิงเซียงกระโดดผึงขึ้นชูมือ
“เย้! ได้สองคำถามล่ะ”
“หา?!!”
ว่าแล้วก็ควักตำราที่เขาเป็นคนเขียนออกมาพลิกรัวๆ ชี้จุดที่อยากจะถามแล้วส่งสายตารอคอยคำตอบอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง ทำเอาชายผู้สูงศักดิ์หน้าแดงวาบ ต้องรีบกระแอมไอ
“ก่วนจ้งเป็นนักการทหารที่มีชื่อเสียง โดยเป็นผู้วางรากฐานการปกครองและหลักสวามิภักดิ์ ซึ่งก่อนหน้าที่ก่วนจ้งจะช่วยฉีหวนกงฟื้นฟูแคว้นฉีให้แข็งแกร่ง เขาเคยลอบสังหารฉีหวนกงและเป็นศัตรูกันมาก่อน ฉีหวนกงกลับยังคงเลือกใช้ก่วนจ้งให้ทำช่วยทำงาน”
“นั่นแหละๆ เพคะ ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดก่วนจ้งถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อฉีหวนกง”
“อันว่าหากอยากจะยิ่งใหญ่ก็ต้องรู้จักใช้คน ฉีหวนกงอภัยโทษและแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นเสนาบดี และเพื่อให้ก่วนจ้งคลายระแวง ฉีหวนกงจึงเรียกเขาว่าพ่อบุญธรรม และมีคำสั่งให้ขุนนางทั้งหลายเรียกด้วย ก่วนจ้งจึงทุ่มเททั้งกายใจ วางแผนกลยุทธ์จนแคว้นฉีเข้มแข็งและมั่นคงที่สุดในยุคนั้น”
“อะไรคือเหตุสำคัญที่ทำให้แคว้นเว่ยแพ้แคว้นฉีเพคะ”
“เจ้าลองตริตรองดูและตอบดูสิ”
ผิงเซียงแตะนิ้วที่ปลายคาง ในตำราต่างๆ กล่าวถึงศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นฉี ว่าฉีชนะเว่ยเพราะฉีจับมือกับฉู่ แคว้นเว่ยจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายตกเป็นของฉี แต่ผิงเซียงคิดตรึกตรองสักครู่ก็ตอบออกมา “ความตายของผังเจียน ”
“นับว่าชายาของข้ารู้จักตีความ”