บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ปีกมรณะแห่งจอมมาร

เมื่ออันเหมยลืมตาขึ้นอีกครั้งในร่างใหม่ นางรู้สึกถึงพลังอันมหาศาลที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทว่า ความรู้สึกนั้นกลับแฝงไปด้วยความหนาวเย็นและหนักอึ้ง จิตใจที่เคยเต็มไปด้วยความรักและเมตตาถูกแทนที่ด้วยเพลิงแห่งความอาฆาต ภายในใจนางคล้ายได้ยินเสียงกระซิบจากพลังที่ครอบครองร่าง

“เจ้าคือผู้ถูกเลือก เจ้าเกิดมาเพื่อทำลายล้าง โลกนี้ไม่ต้องการความรัก หากแต่ต้องการความกลัวเท่านั้น!”

ร่างกายของนางเปลี่ยนไป ผิวของนางซีดขาวราวหิมะ ดวงตาเปล่งประกายสีแดงฉาน ทันทีที่นางยืนขึ้น ลมแรงหอบใหญ่ก็พัดผ่าน นำพาไอมืดออกไปยังทั่วบริเวณ หมู่บ้านใกล้เคียงพลันสั่นสะเทือน เหล่าผู้คนที่เผลอสูดลมหายใจเข้าไปต่างล้มลงและสิ้นลมหายใจทันที

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น… ข้า…ทำให้พวกเขาตายหรือ?”

อันเหมยพึมพำด้วยความตื่นตระหนก

อันเหมยเดินผ่านป่าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ทุกก้าวที่นางย่างกราย พืชพรรณต่างเหี่ยวแห้ง สัตว์ป่าที่เข้าใกล้ต่างล้มลงไร้ชีวิตโดยไม่มีสาเหตุ นางพยายามหลีกหนีจากผู้คน แต่ข่าวการปรากฏตัวของนางกลับแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มเล่าขานถึงหญิงสาวผู้มีพลังทำลายล้าง

“นางไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว! นางคือตัวแทนแห่งความตาย!”

ข่าวลือแพร่สะพัดไปยังเมืองใกล้เคียง เมื่อเหล่าทหารจากเมือง

อินโหวถูกส่งมาเพื่อสืบหาตัวหญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุแห่งการล้มตาย พวกเขาก็ต้องพบกับความสยองขวัญ เพียงเข้าใกล้เขตแดนที่นางยืนอยู่ พวกเขาก็ล้มลงราวกับไร้เหตุผล เสียงกรีดร้องเงียบลงในชั่วพริบตา

“ข้าไม่เคยต้องการให้ผู้ใดต้องตาย! คนที่ข้าต้องการให้ตาย ข้าก็ทำลายไปหมดแล้ว”

อันเหมยร้องไห้พลางมองไปยังเหล่าทหารที่สิ้นลมหายใจ

ความรู้สึกผิดและความกลัวต่อพลังที่เกินควบคุมทำให้อันเหมยพยายามหนีจากโลกภายนอก นางปลีกตัวเข้าสู่ป่าอินโหว ที่ซึ่งไม่มีใครกล้าเข้ามา นางหวังว่าการอยู่ในที่ที่ห่างไกลจะช่วยปกป้องผู้คนจากพลังทำลายล้างของตน

แต่แม้ในป่าแห่งนั้น ทุกสิ่งยังคงร่วงโรย ความงามของธรรมชาติที่เคยมีกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ป่าอินโหวที่เคยเขียวชอุ่มกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย เสียงกระซิบจากพลังมืดยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนาง

“เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งที่เจ้าเป็นได้ ความตายคือส่วนหนึ่งของเจ้า ยอมรับมันเสียเถิด”

“ไม่! ข้าไม่ต้องการเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการทำร้ายใคร!”

นางกรีดร้อง แต่ไม่มีผู้ใดได้ยิน

คืนหนึ่ง อันเหมยนั่งอยู่กลางป่าด้วยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นเอง ปีกสีดำสองข้างพลันงอกออกมาจากแผ่นหลังของนาง ปีกที่เปี่ยมไปด้วยไอมืดที่แผ่ซ่านไปทั่ว นางสัมผัสได้ถึงพลังที่ทวีคูณขึ้น แต่พลังนั้นมาพร้อมกับคำสาปที่หนักหน่วง

นางพยายามกางปีกและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ยิ่งนางบินสูงเท่าใด ทุกสิ่งที่อยู่ใต้ปีกของนางกลับเหี่ยวแห้งและล้มตายลง ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในใจของนางทำให้นางไม่อาจควบคุมพลังของตนได้

“นี่หรือคือสิ่งที่ข้าต้องเป็น? มารผู้ทำลายทุกสิ่ง แม้กระทั่งความหวังของตัวเอง?”

นางพึมพำกับตัวเอง

เวลาผ่านไป ผู้คนในเมืองอินโหวเริ่มขนานนามนางว่า “จอมมารแห่งปีกมรณะ” ชื่อเสียงของนางถูกเล่าขานไปทั่ว ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าเข้ามาในป่าต่างไม่มีวันกลับออกไป

“นางนำพาความตาย! ไม่มีผู้ใดต้านทานพลังของนางได้” ชาวเมืองต่างร่ำลือ

ตำนานของอันเหมยกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น เด็ก ๆ ถูกสอนให้อยู่ห่างจากป่าอินโหว และผู้ใหญ่ต่างภาวนาไม่ให้จอมมารหญิงออกจากป่ามาสู่เมือง

แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นจอมมารผู้ทำลายล้าง แต่ในใจลึก ๆ ของอันเหมย นางยังคงปรารถนาเพียงสิ่งเดียว—การหลุดพ้นจากคำสาปและการใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดา

“หากมีโอกาสสักครั้ง ข้าอยากจะลืมทุกสิ่ง และกลับไปเป็นอันเหมยคนเดิม…หญิงสาวที่รักในแสงตะวันและกลิ่นหอมของดอกไม้”

นางเอ่ยกับตัวเอง ทว่าคำอ้อนวอนของนางไม่มีผู้ใดได้ยิน

ฟิ้ว!

เสียงลมพัดผ่านป่าอินโหว เสียงแห่งความหวังของนางจมหายไปในความมืด พร้อมกับปีกมรณะที่แผ่ขยายเงาแห่งความตายไปทั่วดินแดน…

ในป่าที่เงียบงันนั้น ยังคงมีเพียงเงาของจอมมารหญิงผู้โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำและไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้นางหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งชะตากรรมได้…

ณ ท้องพระโรงแห่งหยกสวรรค์

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จักรพรรดิสวรรค์ประทับเหนือบัลลังก์หยก ด้านหน้าเต็มไปด้วยเหล่าเทพชั้นสูงที่มาชุมนุมกันเพื่อหารือถึงวิกฤตครั้งใหญ่

“อันเหมย… นางกลายเป็นจอมมารที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป ไอมืดของนางแผ่ไปทั่วทั้งปฐพีหากปล่อยไว้ สมดุลระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์จะพังทลาย” จักรพรรดิสวรรค์ตรัสด้วยสุรเสียงทรงอำนาจ

เทพผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“พลังของนางไม่ได้มาจากการฝึกฝน หากแต่เกิดจากความแค้นที่สั่งสม แม้แต่พลังสวรรค์ยังถูกดูดกลืนเมื่อเข้าใกล้นาง”

“เช่นนั้น ผู้ใดจะสามารถรับมือกับนางได้?”

เทพผู้เฝ้าท้องพระโรงเอ่ยถาม

เหล่าเทพต่างเงียบงัน แม้แต่เทพผู้มีพลังมหาศาลยังไม่กล้าออกปากอาสา สายตาทุกคู่จ้องไปยัง เยว่หัว เทพสงครามผู้โดดเด่นที่สุดในหมู่เทพ เขายืนอยู่ท้ายแถว ใบหน้าเรียบเฉยดุจหยก แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่ง

ในที่สุด เยว่หัวก้าวออกมาข้างหน้า ดวงตาคมกริบประสานกับจักรพรรดิสวรรค์

“ข้าจะจัดการนางเอง”

เสียงของเขาหนักแน่น

เทพผู้เฒ่าเหลือบมองเขาด้วยความเป็นห่วง

“เยว่หัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าจอมมารผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด? แม้แต่เทพสิบองค์ยังล้มเหลว นางไม่ใช่ศัตรูที่เจ้าจะมองข้ามได้”

เยว่หัวพยักหน้าเล็กน้อย

“ข้ารู้ดี แต่หากไม่มีผู้ใดกล้าก้าวไปข้างหน้า สมดุลของสวรรค์และโลกจะถูกทำลาย ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้”

จักรพรรดิสวรรค์ทอดพระเนตรเยว่หัวด้วยความพอพระทัย

“เจ้าคือความหวังของสวรรค์ เยว่หัว หากเจ้ารับภารกิจนี้ จงอย่าล้มเหลว”

เยว่หัวคำนับ

“ข้าขอสาบานว่าจะนำความสงบกลับมาสู่สวรรค์และโลกมนุษย์”

หลังออกจากท้องพระโรง เยว่หัวเดินไปยัง หอคัมภีร์สวรรค์ เพื่อศึกษาประวัติของอันเหมย แม้เขาจะได้รับคำเล่าขานมากมายเกี่ยวกับนาง แต่เขาเชื่อว่าการเข้าใจศัตรูคือกุญแจสำคัญในการชนะ

“อันเหมย… หญิงสาวผู้เคยเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่กลับต้องพบเจอชะตากรรมที่โหดร้าย นางถูกผลักดันสู่ความมืดจนกลายเป็นจอมมาร”

เยว่หัวพึมพำขณะอ่านจารึก

เมื่อศึกษาจบ เขามุ่งหน้าไปยัง หออาวุธสวรรค์ ที่ซึ่งกระบี่สวรรค์ หลิงหลง ถูกเก็บรักษาไว้ กระบี่เล่มนี้เป็นที่เลื่องลือว่าทรงพลังที่สุดในสวรรค์ แต่หากใช้พลังเกินขีดจำกัด ผู้ถือครองอาจต้องสละชีวิตของตน

“เจ้าจะใช้อาวุธนี้เพื่อจัดการจอมมารหรือ?”

เทพผู้เฝ้าหอถาม

“ใช่ ข้าไม่มีทางเลือกอื่น”

เยว่หัวตอบพร้อมดึงกระบี่ออกจากฝัก แสงสว่างจ้า พลันเปล่งประกายทั่วบริเวณ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel