บทที่ 3 กำเนิดจอมมารหญิง
ค่ำคืนนั้น ฟ้าทั้งฟ้าสะท้านดั่งเกิดปรากฏการณ์แห่งมหาวิบัติ เมฆดำบดบังดวงจันทร์ สายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุดหย่อนลามไปทั่วทุกทิศ เสียงกลองประหารที่เคยก้องกังวานในลานประหารกลับเงียบสนิท ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดแผ่นดินถึงได้หวาดหวั่นเพียงนี้
ที่ใจกลางลานประหาร ร่างของ อันเหมย นอนแน่นิ่งบนพื้นเปื้อนเลือด ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความรักและความหวัง
บัดนี้ปิดสนิท ทว่าแม้ร่างจะสิ้นลม วิญญาณของนางไม่จากไป
เปรี้ยง!
ท่ามกลางสายฟ้าที่ฟาดลงพื้นรอบตัวเสียงกรีดร้องแห่งความแค้นดังขึ้นในห้วงมิติหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถได้ยินได้นอกจากสวรรค์และยมโลก
ในห้วงความมืด วิญญาณของอันเหมยล่องลอยอยู่ท่ามกลางภาพความทรงจำอันโหดร้าย เสียงตัดสินโทษของอวี่กง ดวงตาของพ่อแม่ที่สิ้นลมหายใจตรงหน้า และความรักที่เคยมีให้เขากลับถูกบดขยี้จนไม่เหลือซาก ทุกความทรงจำหลอมรวมเป็นเพลิงแค้นที่ไม่มีวันดับ
“แม้ข้าจะต้องตกต่ำเป็นมาร… ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามีความสุข! สวรรค์! หากเจ้าไม่ช่วยข้าทวงความยุติธรรม ข้าจะทำลายเจ้า!”
เสียงวิญญาณของนางกรีดร้องสะท้านฟ้า สายฟ้าฟาดกระจายอีกครั้ง และทันใดนั้นโลกสวรรค์พลันสั่นสะเทือน
บนสวรรค์เฝ้ามองด้วยความตกตะลึง
“วิญญาณดวงนี้เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความอาฆาตที่ไม่มีที่สิ้นสุด นางเกินกว่าที่แม้แต่ข้าจะควบคุมได้!”
วิญญาณของอันเหมยลุกเป็นไฟ มวลพลังแห่งความมืดที่ดึงดูดความแค้นทั่วแผ่นดินถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างนาง วิญญาณของนางจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง กลายเป็นจอมมารหญิงผู้ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อวิญญาณของอันเหมยกลับมาสู่โลกมนุษย์ ร่างบางระหงพลันลอยขึ้นจากพื้น แสงสีดำจากร่างของนางพุ่งทะลุฟ้า ผู้คนในลานประหารที่ยังไม่ทันหนีไปต่างตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกดังขึ้น ขณะที่ร่างของอันเหมยลอยเด่นอยู่กลางลานประหาร
ร่างที่กลับมาของนางดูงดงามทว่าน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิม ผิวของนางซีดขาวประดุจหิมะ ดวงตาสีแดงฉานดั่งโลหิตที่ยังคงหลั่งไหล แสงแห่งความแค้นห้อมล้อมรอบกาย ชุดขาวของนางถูกย้อมเป็นสีดำทมิฬทันที ร่างของนางไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็น จอมมารหญิง ผู้เกรี้ยวกราด เสียงนางแหบแห้งแต่ก้องสะท้าน
“อวี่กง! ข้าจะทำให้เจ้าสูญเสียทุกสิ่ง เหมือนที่เจ้าทำกับข้า!”
จอมมารหญิงอันเหมยไม่รอช้า เพียงแค่ชั่วพริบตา นางได้เคลื่อนตัวไปยังจวนตระกูลอวี่ ทุกชีวิตในตระกูลต่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างที่ควรสิ้นลมหายใจกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของข้ารับใช้ดังลั่นเมื่อเงาของจอมมารหญิงปรากฏตรงหน้าประตูใหญ่
“ใครอยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายข้า? บอกมา!”
เสียงของนางดังก้อง สะท้อนในหัวของทุกคน
ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ แต่ด้วยพลังแห่งความแค้น อันเหมยใช้เพียงสายตาเพ่งมอง ร่างของเหล่าผู้คนในจวนแตกสลายเป็นผุยผงในทันที
อวี่กงที่อยู่ในห้องโถงใหญ่รับรู้ถึงความผิดปกติและพยายามหนี แต่เขากลับพบว่าไม่มีทางหนี ร่างของอันเหมยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ราวกับปีศาจที่ฟื้นคืน
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ อวี่กง? ข้าเคยรักเจ้า…แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าด้วยการทำลายทุกสิ่ง ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าการสูญเสียทุกอย่างมันเป็นเช่นไร”
อวี่กงมองหญิงตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว เขาพยายามอ้อนวอน
“อันเหมย… ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด… ข้าไม่ได้ตั้งใจ!"
แต่คำพูดนั้นไม่อาจหยุดจอมมารหญิงได้ เธอเพียงหัวเราะเยาะ
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ? เจ้าตั้งใจใส่ร้ายข้าเพื่อแต่งงานกับสตรีอื่น เจ้าเลือกความทะเยอทะยานเหนือความรัก แล้ววันนี้ข้าจะเลือกความแค้นเหนือความเมตตา! ไม่ได้หรือ"
อันเหมยชูมือขึ้น พลังแห่งความมืดลอยวนรอบตัว นางพุ่งพลังอันร้ายกาจใส่ร่างของอวี่กง ร่างเขากรีดร้องลั่นก่อนจะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา
อันเหมยไม่หยุดเพียงแค่อวี่กง ฝีเท้าเล็กก้าวเดินไปล้างแค้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการใส่ร้ายและทำลายตระกูลจาง ทั้งตระกูลอวี่ ตระกูลหลิว รวมถึงขุนนางผู้สนับสนุนการประหารของนาง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากเงื้อมมือของจอมมาร
เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัว เหล่าผู้คนต่างกล่าวขานถึง “จอมมารหญิงแห่งความแค้น” ผู้ที่แม้แต่สวรรค์ยังไม่อาจต้านทานพลังอำนาจของนาง
เมื่อการล้างแค้นสิ้นสุด อันเหมยยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยความรักตอนนี้กลับว่างเปล่า
“สวรรค์ ข้าทำทุกอย่างเพื่อทวงคืนความยุติธรรม…แต่สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความว่างเปล่า”
นางเอ่ยพร้อมกับมองขึ้นไปบนฟ้าที่มืดมิด
เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับสวรรค์กำลังตอบโต้ต่อสิ่งที่นางทำลงไป ทว่าอันเหมยไม่สนใจอีกต่อไปนางหายลับไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงตำนานของ จอมมารหญิง ผู้สะเทือนทั้งแผ่นดินและสวรรค์
จอมมารหญิงที่ถือกำเนิดจากความรักและความแค้น กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังที่แม้แต่เทพยังต้องหวาดกลัว
