บทที่ 5 แปลก
ชมร้องไห้แข่งกับเสียงฟ้าครางครวญ ฝนยังคงตกแต่เบากว่าครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เสียงร้องไห้ของชมเพิ่มความเศร้าให้ชไมพรจนไม่สามารถเก็บกลั้นน้ำตาไว้ได้ หล่อนเข้ามากอดแม่ร่ำไห้ปานจะขาดใจเช่นเดียวกัน
ภายนอกห้องนอนของชมกับชไมพร ประทิวยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตูห้อง ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้ง ดวงตาช้ำแดงระเรื่อ รอบดวงตาคล้ำดำ น้ำตาไหลเป็นทางสู่แก้ม ครู่เดียวร่างสูงสันทัดของประทิวก็จางหายไปกับอากาศ
ชไมพรผวาหันไปทางประตูห้อง หล่อนผละจากอ้อมกอดแม่ วิ่งไปเปิดประตูห้อง หากหูหล่อนไม่ฝาด หล่อนได้ยินเสียงคนเดินและเสียงฝีเท้าคนๆ นั้นไม่ใช่ใคร น้องชายของหล่อน ประทิวกลับมาแล้ว
“ทิว ทิว กลับมาแล้วเหรอ อยู่ไหนน่ะ ในครัวหรือเปล่า”
หล่อนเดินเร็วๆ ไปทางส่วนของครัว หวังพบน้องชายที่นั่น ดวงไฟบนเพดานครัวสว่างขึ้น ไม่มีใครอยู่ในครัว ห้องน้ำถัดไปทางด้านตะวันตกของครัวเปิดแง้มอยู่
“ทิว ทิว อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบกลับออกมา ความเงียบวังเวงวิ่งมาเกาะหัวใจของหญิงสาว หูหล่อนแว่วไปเอง น้องชายยังไม่กลับบ้าน ฝนยังคงตกกระทบหลังคา เบากว่าเดิมแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก จากความสม่ำเสมอของเสียงฝน ชไมพรเลิกคาดหวังการกลับมาของน้องชาย
ประตูบ้านยังปิดเช่นเดิม กลอนประตูยังอยู่ดังเดิม ความคิดถึงน้องทำให้ได้ยินเสียงเดินของน้อง ความผิดเพี้ยนของการได้ยินเริ่มทำงาน หล่อนกลับเข้าห้องนอน
“มีอะไรหรือไม”
“เปล่าจ้ะแม่ ออกไปดูในครัว สงสัยฉันลืมปิดหน้าต่าง ทางห้องน้ำจ้ะ ปิดเรียบร้อยแล้วจ้ะ เรานอนกันนะแม่ ฝนคงตกเกือบทั้งคืน”
ชไมพรปูฟูกซึ่งทำจากนุ่นเป็นฟูกรอนพับสามพับ ปูติดกันสองอัน ปูทับด้วยผ้าปู จัดหมอน ผ้าห่มให้แม่ กางมุ้งเสร็จเรียบร้อยจึงปิดไฟ เข้ามุ้งนอน คืนนี้หล่อนจะหลับหรือเปล่า ความคิดถึงน้องชายกับเสียงฝีเท้าของน้องยังติดหู น้องมาบ้าน มาหาแม่กับพี่สาว น้องชายของหล่อน...เสียชีวิตแล้วหรือ...
ฟ้าร้องครางหลายครั้ง ชไมพรเคลิ้มหลับ หูได้ยินเสียงฝนดังอยู่ไกล ครู่เดียวเสียงน้องชายของหล่อนดังแทรกมา
“เจ๊ ช่วยฉันด้วย”
เสียงเบามาก อยู่ไกลระดับเดียวกับเสียงฝน หล่อนลืมตา ลุกขึ้นนั่งมองไปรอบตัว ไม่ใช่บ้านของหล่อน ไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นป่ารก หล่อนเข้ามาอยู่ในป่ารกได้อย่างไร ข้างหน้าเป็นโรงนา ไม่มีฝา มีเพียงหลังคาหญ้าแฝก ตรงกลางมีแคร่ทำด้วยไม้ไผ่วางอยู่ ใครนอนเหยียดยาวอยู่บนแคร่ หล่อนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
คนนอนยังนอนนิ่งขณะชไมพรก้าวเข้าไปใกล้เหลือเพียงวาเดียวจะถึงแคร่ คนนอนก็ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว ไม่ขยับตัวลุกมามองคนยืนจ้องเขาอยู่
ความมืดทำให้หญิงสาวเห็นหน้าคนนอนไม่ถนัด หล่อนจึงก้าวเข้าไปใกล้อีกนิดและก่อนที่หล่อนจะทันเห็นหน้าคนนอนชัดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ออกไป๊...”
เสียงนั้นเป็นเสียงผู้ชาย ตวาดเข้ม โกรธเกรี้ยวกับการมาของหญิงสาว หล่อนชะงักเท้าเหลียวไปมองด้านหลัง ฉับพลันหล่อนต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงเรียกหล่อน
“เจ๊...”
ผวามือยกจากหน้าอก หัวใจเต้นแรง หล่อนลืมตามองฝ่าความมืด เพดานมุ้งเป็นสีเทาอยู่เบื้องหน้า หล่อนฝัน ฝันไปอยู่ในป่ารก มีโรงนาโล่งๆ
“โรงนาที่ไหน ทำไมฝันแบบนั้น ไม่เคยเห็น ไม่เคยไป ที่ไหน”
ชไมพรตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจ เสียงเม็ดฝนหายไปจากหลังคา เสียงกบเขียดร้องอยู่กลางทุ่งนาเลยบ้านหล่อนไปไกล...
หมู่บ้านลัชชี แขกพิเศษของหมู่บ้านกำลังเดินชมหมู่บ้านตามหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเพลิดเพลิน แถมชี้ชวนให้ดูบ่อน้ำผุดของหมู่บ้าน
“ที่นี่มีน้ำผุดใส สะอาด ใช้ได้มาหลายชั่วโคตรแต่น้ำไม่มีวันแห้ง”
“น้ำใต้ดินหรือจ๊ะ”
“ใช่พ่อหนุ่ม โน่นถ้ำทอง ข้าจะพาไปดูแต่ขอเตือนเอ็งไว้ก่อน ห้ามหยิบจับก้อนทองในถ้ำออกมา หากเอ็งยังอยากกลับบ้านเอ็ง”
“ทำไมหรือน้า”
“เอ็งจะเอาไปได้ก็ต่อเมื่อ คนในหมู่บ้านนี้ให้เอ็งกับมือ”
แถมไม่บอกอะไรมากไปกว่านี้ เขาเดินนำคุงไปถึงบ่อน้ำผุด ในบ่อใสจริงๆ อย่างที่แถมเล่าให้คุงฟัง น้ำเดือดอยู่ตลอดเวลา แต่น้ำไม่ร้อน เย็นน่าดื่ม น่าอาบ
“กินก็ได้ ข้าจะตักให้”
แถมใช้กระบวนทำจากกะลามะพร้าวมีด้ามยาวสำหรับจับ จ้วงกระบวยลงไปในบ่อ ยกขึ้นมาส่งให้คุง เขารับมา ไม่กล้าลิ้มรสน้ำใส
“กินเถิด ไม่เป็นไรดอก”
คุงดื่มน้ำในกระบวยจนหมด รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด แถมแขวนกระบวยไว้กับกิ่งไม้ข้างบ่อ เดินนำคุงไปทางถ้ำทอง คุงมองสองข้างทางอย่างสงสัย ทุกอย่างน่าสงสัยทุกอย่าง ต้นไม้เขียวชอุ่มเมื่อเข้าใกล้ถ้ำทอง ไกลออกไปต้นไม้ใบหญ้าสีน้ำตาล เหี่ยวแห้งตามฤดูกาล