บทที่ 13 เฮี้ยน
“ตำรวจเขาบอกมาว่า มันหลับตาย น่าจะกินเหล้าเมา เข้าไปนอนพักที่นั่น อากาศหนาวก็เลยตาย”
“ไหลตายหรือทิดเถียร”
เถียรตอบชาวบ้านเท่าที่ตำรวจบอกกับพวกเขา หลังจากผลชันสูตรศพออกมา ตามร่างกายของประทิวไม่มีการต่อสู้ ตามตัวไม่มีรอยขีดข่วนหรือฟกช้ำ ผลสรุปหัวใจวายเฉียบพลัน
ชไมพรไม่เชื่อตามผลตรวจของหมอ หล่อนเชื่อความฝัน น้องชายมาหา ร้องให้ช่วย คนทำร้ายเขา ช่วยพาเขากลับบ้าน สถานที่ในความฝันเป็นความจริง หล่อนจึงเชื่อว่าน้องถูกคนฆาตกรรมแต่ด้วยวิธีไหนนั้นหล่อนไม่รู้ ร่างกายของน้องชายเป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีอะไรน่าสงสัย ใครจะเชื่อหล่อนหากหล่อนโวยวายว่าน้องถูกทำร้ายจนตาย ไม่มีหลักฐานใดๆ ปรากฏแก่สายตาของผู้พบเห็น
“น่าจะอย่างนั้น”
“น่าสงสารพี่ชม นังไมมันนะ ไอ้ทิวเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาเลี้ยงแม่กับพี่สาว มันตายไป ใครจะช่วยเอ็งล่ะนังไมเอ๊ย”
ชไมพรยิ้มรับความห่วงใยของคนรอบข้างที่เมตตาสงสารหล่อนกับแม่ ชมร้องไห้เกือบทุกวันไม่อยากคิดถึงวันข้างหน้า อยากเห็นลูกชายฟื้นขึ้นมานั่งข้างๆ หล่อน อยากถามลูก ทำไมไปอยู่ไกลบ้าน ทำไมไม่กลับมาบ้าน
“พี่ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พี่ชมกับนังไม มันกำลังเสียใจ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ช่วยงานศพไอ้ทิวกันก่อนนะพี่นะ”
เถียรเสียใจไม่น้อยไปกว่าพี่สาว เขารักประทิวมาก ประทิวเป็นหลานชายคนเดียวของเขา ตัวเขากับภรรยาไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ประทิวจึงเป็นเสมือนลูกชายของเขาด้วย
ความโศกเศร้าเสียใจกรุ่นอวลไปทั่วทั้งศาลาวัดบ้านแดนดิน ชมนั่งเหม่อมองรูปประทิวหน้าโลงเย็น ความเยือกเย็นเข้าเกาะกุมหัวใจของหล่อน ลูกรักดังดวงใจจากไปโดยไม่มีคำลา ใครบ้างจะรับความสูญเสียนี้ได้
“ทิว ได้ยินแม่มั้ยลูก บอกแม่ได้มั้ยว่าลูกเป็นอะไรถึงตาย ใครทำลูกของแม่ แม่ไม่เชื่อว่าลูกแม่หัวใจวาย ถ้าทิวได้ยินแม่ บอกแม่มาว่าใครทำลูก แม่จะไปฆ่ามัน”
“แม่ อย่าพูดอย่างนั้น ไม่มีใครทำทิวหรอกจ้ะ น้องหัวใจล้มเหลวจริงๆ หมอบอก เราต้องเชื่อหมอนะแม่”
ชไมพรตกใจกับคำของแม่ หล่อนเดินมาได้ยินพอดี เสียงของแม่ห้วน ดวงตาจ้องรูปประทิวอาฆาตแค้น ไม่ใช่ดวงตาของแม่ผู้อ่อนโยน แม่กำลังโกรธ
อ้อมกอดของลูกสาวช่วยเรียกสติของชมกลับมา หล่อนร้องไห้กับอกของลูกสาว หล่อนคิดไปเอง ความจริงต้องเป็นความจริง ลูกชายของหล่อนหัวใจวายตาย
ชไมพรบอกแม่แต่ในใจของหล่อนไม่เชื่อหมอ น้องชายของหล่อนถูกใครบางคนทำร้ายจนเสียชีวิตและใครคนนั้นจ้องมองหล่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เขาดูหล่อนกับทุกคนเข้าไปหาประทิว สายตาหลังพุ่มไม้ไม่ใช่มิตรแต่เป็นศัตรู
“ทิว คืนนี้เข้าฝันบอกพี่ว่าใครทำร้ายแก พี่จะจัดการมันเอง พี่จะไม่ให้แม่รู้ บอกพี่นะน้องรัก พี่รักแกนะทิว”
ชไมพรจุดธูปบอกน้องชาย หน้าหีบศพ ใบหน้าไร้รอยยิ้มของรูปภาพประทิว รับรู้คำขอของพี่สาว ดวงตาในรูปเคียดแค้น สมศักดิ์เดินมาตามชไมพรเหลือบมองเห็นถึงกับชะงักเท้า ตาเขาฝาดไปหรืออย่างไร ประทิวเพ่งมองพี่สาว สายตาดุดัน สมศักดิ์หลับตา ยกมือขยี้ตาแล้วลืม จ้องรูปประทิวอีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดไปจากรูปธรรมดา
“ตาฝาดไปเองเรา”
“พี่ผู้ใหญ่ กลับบ้านเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่พี่จะโกรธฉันกับแม่อีก”
ชไมพรตกใจ เมื่อหันมาเห็นสมศักดิ์ยืนจ้องรูปประทิวอยู่ด้านหลังหล่อน เขาได้ยินที่หล่อนพูดหรือเปล่า เขาคงว่าหล่อนคิดมากและคิดแค้นอย่างไร้เหตุผล หล่อนไม่อยากให้เขารู้ความคิดของหล่อน
“ไม่ว่าหรอก พี่จะอยู่เป็นเพื่อนไมกับแม่ ไปกินข้าว พี่ให้เขาจัดไว้แล้ว กินไม่ลงก็ฝืนหน่อย ไมต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง น้าชมทำอะไรไม่ได้ไมเห็นหรือเปล่า แม่ของไมเสียใจไม่แพ้ไมหรอกแต่เมื่อทุกอย่างมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราต้องยอมรับนะไม น้องไมตายแล้ว จากไม่กับแม่ไปแล้วนะ ไม่อย่าคิดมาก ต้องเข้มแข็ง พี่จะอยู่ข้างไม ไม่ทิ้งไปไหนทั้งนั้น เสร็จงานศพทิวแล้ว เราค่อยคุยเรื่องของเรา คราวนี้ไมปฏิเสธพี่ไม่ได้แล้วนะ”
เขาจับมือหล่อนดึงให้เดินตามเข้าส่วนที่เป็นครัวของศาลา หล่อนแอบผ่อนลมหายใจ เขาไม่ได้ยินที่หล่อนพูดต่อหน้ารูปประทิวและหากเขาเหลียวกลับมามองรูปภาพ เขาจะเห็นสายตาของประทิวมองตามร่างเขากับชไมพรจนเลี้ยวมุมเข้าไปทางครัว
ควันธูปลอยม้วนเป็นวงกลมและค่อยๆ แปรเป็นรูปใบหน้าของประทิว สุนัขนอนหน้าศาลาธรรมสังเวชส่งเสียงเห่าหอนรับกัน คนในศาลามองหน้ากัน คนกลัวขนลุก ขยับเข้าใกล้คนนั่งข้างๆ แบบชิดแขน ส่วนคนไม่กลัวนั่งนิ่ง
เถียรกับรังมองหน้ากัน สัญญาณจากเสียงหอนของสุนัข เป็นสัญญาณบอกให้ญาติพี่น้องรู้ วิญญาณคนเสียชีวิตรู้ตัวว่าตนเองเป็นวิญญาณแล้ว เสียชีวิตแล้วและมาเพื่อบอกญาติๆ ซึ่งญาติบางคนไม่อยากให้มาหาสักเท่าไร
ชมหลับไปเพราะความอ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ หล่อนสะดุ้งลุกนั่ง เสียงสุนัขหอน ลูกชายของหล่อนมาหาหล่อนแล้ว
“ทิว ทิว มาหาแม่หรือลูก มาให้แม่กอดทีลูก อยู่ตรงไหน มาหาแม่สิลูก มาหาแม่”
เสียงเรียกและร่ำไห้ดังไปถึงครัว เถียรวิ่งมาหาที่สาวเป็นคนแรก ชไมพรวิ่งตามน้าชาย สมศักดิ์ตามหล่อนไปติดๆ รัง กับญาติคนอื่นๆ วิ่งตามมา วันเพ็ญทิ้งชามข้าววิ่งตามสามีไป
“แม่ แม่ น้องไม่อยู่แล้ว น้องมาให้แม่กอดไม่ได้ แม่อย่าร้องนะ น้องไปดีแล้วนะจ๊ะแม่”
หญิงสาวกอดแม่ไว้แน่น ชมคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ทุกคนเช็ดน้ำตาไปกับคำพร่ำหาประทิวของชม
“ทิว มาหาแม่ แม่คิดถึงเอ็ง มาหาแม่สิลูก ลูกมาแล้วไม่ใช่หรือ ไอ้เถียร ไปบอกเจ้าที่ศาลา เปิดทางให้ไอ้ทิวเข้ามาหากูที ไปบอกที ทิวเอ้ย เข้ามาหาแม่ลูก เข้ามาหาแม่เร็วๆ ลูก แม่คิดถึงเอ็ง แม่รักเอ็ง ทิว มาหาแม่”
สิ้นเสียงประโยคท้ายของชม ตะเกียงจุดไว้ข้างกระถางธูปหน้าหีบศพ หล่นลงเสียงดังก้องไปทั้งศาลา
“เพล้ง!”