บทที่ 12 ความจริง
ใช้เวลาเดินผ่านป่ามันสำปะหลังและดงหญ้าคาไม่ถึง 10 นาที ความฝันของชไมพรปรากฏเด่นชัด โรงนาอยู่เบื้องนาของหล่อน
“นั่นไงพี่ศักดิ์ นั่นไง เหมือนที่ฉันฝันจริงๆ มีคนนอนอยู่บนแคร่นั่นไงพี่”
น้ำเสียงตื่นเต้นของชไมพรดังก่อนใครจะทันพูดหรือถามอะไรใคร ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังแคร่ในโรงนาโล่งๆ มีร่างคนนอนอยู่บนแคร่ ชไมพรจะวิ่งเข้าไปในโรงนา สมศักดิ์ดึงแขนหล่อนไว้
“เดี๋ยวไม อย่าใจร้อน”
“ถูกครับ อย่าเพิ่งใจร้อน เรามาถึงที่แล้ว ยังไงเราต้องรู้แน่ว่าใครนอนอยู่ มาครับ ผมจะนำไปเอง”
ผู้กองชัยเลิศพยักหน้าให้ลูกน้องเดินตามเขา ทุกคนที่เหลือไม่ยอมตามหลังตำรวจ พวกเขาเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปใกล้โรงนาจึงหยุดยืนมอง
“คนจริงๆ ไม่รู้ตายหรือยัง”
ชัยเลิศเครียดขึ้นมาทันที เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว เขาแปลกใจกับความฝันของชไมพร เป็นเรื่องจริงได้อย่างไร หรือวิญญาณของน้องชายหล่อนไปบอกทาง ถ้าเช่นนั้นน้องชายของหล่อนก็ต้องเสียชีวิตแล้ว
“ทุกคนอย่าเพิ่งเข้ามานะครับ ให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน ระวังตัวด้วยนะครับ ผู้ใหญ่ ดูแลผู้หญิงด้วยครับ”
คำสั่งของนายตำรวจทำให้ทุกคนถอยหลังห่างจากกลุ่มตำรวจ หมู่เกาะ หมู่หนุ่ม จ่าประเชิญ ปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติ มือกระชับอยู่ที่ด้ามปืนซึ่งอยู่ติดกับเอว ผู้กองชัยเลิศก้าวช้าๆ เข้าไปยังร่างคนที่นอนนิ่งบนแคร่
“ผู้กองครับ ตายแล้วครับ”
“อือ ให้ผู้ใหญ่เข้ามาได้”
หมู่หนุ่มหันไปกวักมือให้สัญญาณผู้ใหญ่พาทุกคนตามเข้ามา ผู้ใหญ่สมศักดิ์ประคองชม ส่วนชไมพรวิ่งเข้าไปก่อน หล่อนอยากเห็นหน้าคนนอนบนแคร่และเมื่อหล่อนวิ่งมาถึงแคร่เห็นใบหน้าคนนอนอยู่เท่านั้น หล่อนร้องไห้โฮ โผเข้าหาร่างคนนอน เถียรคว้าแขนหลานสาวรั้งไว้
“ไม อย่าเข้าไป”
“ปล่อยฉันน้าเถียร ฉันไปหาน้อง ทิว ทิว ตื่น ตื่นเร็วๆ แม่กับเจ๊มาหาแล้ว ตื่นสิทิว ตื่น แม่ก็มานะทิว ตื่นสิ ลืมตามาเร็วๆ ทิว ลืมตา”
“ทิว ลูกแม่”
ชมพูดได้เพียงเท่านั้น ร่างบางทรุดลง สมศักดิ์ประคองไว้ คอสาวใหญ่อ่อนพับอยู่กับอกของเขา
“เรียกรถพยาบาล เรียกเจ้าหน้าที่มาสมทบด่วนจ่าเชิญ”
“ครับผม”
คำสั่งของหัวหน้าให้ลูกน้องปฏิบัติหน้าที่เร่งด่วน จ่าประเชิญทำตามรวดเร็ว ความสงสัยในตอนแรกที่ออกจากสถานีตำรวจมีคำตอบตอนนี้เป็นคำตอบที่จ่าประเชิญ หมู่เกาะ หมู่หนุ่ม ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้ แม่เป็นลมล้มทั้งยืน พี่สาวร่ำไห้ปานจะขาดใจ นี่เป็นภาพคุ้นตาของตำรวจแต่ไม่อยากเห็นภาพบ่อย ไม่อยากให้เกิดกับประชนชนคนไหนๆ ก็ตาม จ่าประเชิญและหมู่ทั้งสองคนคิดเช่นเดียวกัน
กลุ่มคนเดินวุ่นวายอยู่ในโรงนา เสียงร้องไห้เงียบไปแต่หยาดน้ำตายังคงไหล ชไมพรร้องไห้จนหมดแรง ชมฟื้นขึ้นมาร้องเรียกหาแต่ลูกชาย ชาวบ้านยังไม่มีใครรู้ คนที่มาด้วยเท่านั้นที่รู้ เถียร รังและนุ่ม ช่วยตำรวจพลิกศพ ช่วยดูแลชม ปลอบโยนชไมพร พวกเขาลืมเพื่อนบ้าน ลืมบอกภรรยาของตน
ชไมพรรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนจ้องมองพวกหล่อนอยู่ สายตาคู่นั้นไม่ใช่มิตร ไม่ใช่คนรู้จัก อยู่ๆ ขนหล่อนลุกตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า หล่อนเหลียวไปทางความรู้สึกเตือน พุ่มไม้ด้านหน้า ห่างจากโรงนาพอสมควร ไม่มีอะไรผิดแปลก พุ่มไม้นิ่งไม่ไหวเอน ลมนิ่งแต่ใจของหล่อนเต้นรัว กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัว น้องชายของหล่อนถูกคนทำร้าย ความคิดแวบขึ้นมา
“มองอะไรหรือไม”
สมศักดิ์เห็นหล่อนจ้องพุ่มไม้ข้างหน้านานเหมือนมองอะไรสักอย่าง
“เปล่าจ้ะ”
หล่อนพูดอะไรตอนนี้ไม่ได้ สายตาของใครที่มองไม่เห็นตัว อาจจ้องจับผิดหล่อนอยู่ หล่อนกับแม่ไม่ปลอดภัย หล่อนควรปิดปากให้สนิท
“กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวตำรวจเขาจะเอาศพไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาลก่อน เราค่อยไปรับทิวที่นั่น น้าชม ไหวไหมครับ”
“พาน้าไปโรงพยาบาลด้วยได้ไหม ผู้ใหญ่”
“พี่ชม กลับไปพักผ่อนก่อน ไม่มีแรงเดินแล้วนะ ฉันกับไอ้นุ่มไปเอง พี่รังไปเป็นเพื่อนพี่ชมกับนังไมนะพี่ บอกพวกเราด้วยเตรียมจัดงานที่วัดนะพี่”
“เออ ไม่ต้องห่วง ข้าไปส่งแล้วจะไปหาที่โรงพยาบาล”
“ผมไปส่งครับ เดี๋ยวถึงจะตามไปโรงพยาบาล”
สมศักดิ์สงสารหญิงสาวที่เขารักกับแม่ของหล่อน ประทิวเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน เป็นผู้นำของบ้าน หาเงินให้แม่กับพี่สาวใช้ เมื่อขาดเสาหลักของครอบครัว ผู้หญิงสองคนเสียใจมากแค่ไหน เขารับรู้ ความรักมีต่อชไมพรเพิ่มมากเป็นทวีคูณ เขาจะขอหล่อนแต่งงาน ปัญหาอยู่ที่แม่ของเขาคนเดียวเท่านั้น หากเขาดื้อรั้นเลือกสะใภ้ที่แม่รังเกียจ ชีวิตคู่ของเขาจะมีความสุขหรือไม่ เวลานี้ไม่อยากคิดถึง
“ไอ้ทิวมันตายได้ยังไง มันเป็นอะไรตาย แล้วทำไมมันถึงไปตายที่โรงนาร้างโน่นล่ะพี่ชม”
“มันไม่เคยไปทางนั้น มันเมาก็กลับบ้านถูก ถ้ามันไม่กลับเพื่อนๆ มันก็ให้ค้างหรือไม่เพื่อนมันก็มาส่ง มันยังไงกันแน่พี่ชม”
เพื่อนบ้านรักครอบครัวชม ถามอย่างอยากรู้ ทุกคนตกใจเมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของประทิว ชมตอบคำถามเหล่านั้นไม่ได้ ชไมพรเงียบอย่างเดียวไม่ให้คำตอบใครแทนแม่เพราะหล่อนก็ไม่รู้เหมือนคนอื่นๆ น้องชายของหล่อนไปนอนเสียชีวิตที่โรงนาได้อย่างไร