บทที่1(4)
หญิงสาวย่องออกจากที่ซ่อน แอบโผล่มองทางหน้าต่าง เห็นสองคนนั้นเข้ามาที่ห้องซึ่งคุมขังเด็กหญิงไว้…
ฟ้าคำรามเสียงแผ่ว…ไอเย็นปะทะผิวหน้าและผิวกายจนสะท้านเยือก รอบบริเวณที่เคยสว่าง ตอนนี้กลับอึมครึมไปด้วยเมฆฝน หญิงสาวดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงหมายจะกดโทรหาตำรวจ แต่ทว่า…
ครืน…!
ท้องฟ้าส่งเสียงดังสนั่น สัญญาณขัดข้อง เธอไม่อาจโทรแจ้งความได้ หยาดน้ำหยดเล็กๆร่วงหล่นลงมา จากละอองแผ่วเบาก็ทวีความรุนแรง จนหญิงสาวเปียกโชกไปทั้งตัว
ว่าแล้วเชียว…ปีนี้เป็นปีที่เธอโชคไม่ดีจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูติดขัดไปเสียหมด
หญิงสาวยัดมือถือเครื่องจิ๋วเก็บใส่ที่เดิม เกาะกรอบหน้าต่าง มองทะลุผ่านบานเกร็ดที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองเกาะหนา…เด็กหญิงแปลกหน้าตัวสั่น น้ำตาจวนเจียนจะหยดรอมร่อเมื่อโดนขู่ตะคอก
“ทำไมมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ข้างนอก มีคนเข้ามาใช่ไหม”
“มะ…ไม่ ไม่รู้ค่ะ” ปฏิเสธด้วยอาการลนลาน ก่อนจะหวีดร้องเมื่อโดนผลักจนร่างเล็กๆล้มลงที่พื้น…ล้มคราวนี้ไม่สามารถหยัดยืนลุกได้อีกเพราะมือและเท้าโดนมัดไว้ อีกทั้งแม่หนูก็กลัวจนขาอ่อนแรง ได้แต่นั่งกองอยู่ที่พื้น น้ำตาไหลเป็นทาง
“บอกมา แกไปยืนทำเสล่ออะไรอยู่ริมหน้าต่าง แกเรียกให้คนมาช่วยใช่ไหม ตอนนี้มันคนนั้นอยู่ที่ไหน แกบอกมาตามตรงนะ ไม่งั้นลูกกระสุนนัดนี้เจาะหัวแกแน่” ไม่เพียงพูดเปล่า หนุ่มหนวดเฟิ้มยังดึงปืนมาจ่อที่ขมับหนูน้อย
มินชยาไม่รู้หรอกนะว่าชายคนนั้นแค่ข่มขู่หรือคิดจะยิงจริงๆ แต่เธอไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ จึงรีบรุดไปที่ประตูด้านหน้าของโกดัง…คราวนี้เหมือนโชคจะช่วยเพราะเธอพบว่าเปิดแง้มไว้ คงเป็นเพราะสองคนนั้นเข้ามาแล้วลืมปิดไว้ตามเดิมเป็นแน่
ภายในนั้นเหม็นอับ แม้จะไม่สว่างนักแต่เธอก็เห็นทุกอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะแผ่นไม้เก่าๆที่มีหยากไย่ระโยงระยาง ฝุ่นจับหนา ชวนน่าสะอิดสะเอียนจนอยากวิ่งกลับบ้าน แต่…ไม่ได้ เธอยังกลับไม่ได้ ไม่ใช่ว่าอยากทำตัวเป็นนางเอกช่วยเหลือคนไม่รู้จัก แต่เป็นเพราะเธอไม่อาจทนเห็นใครตายต่อหน้าได้
“บอกมาซะนังหนู แกเรียกใครมาช่วยแกใช่ไหม” ‘เชิดชัย’ถามอย่างใจเย็น มือยังจับด้ามปืนไว้แน่น ขณะที่เด็กหญิงตัวสั่นไม่หยุด กลัว…กลัวเหลือ ใครก็ได้ช่วยที พี่สาวคนนั้นละอยู่ไหน ทำไมไม่มาช่วยหนู…
“กูลืมไปว่าไม่ได้ปิดประตูตอนเข้ามาที่นี่ เดี๋ยวไปปิดก่อนนะ” ‘ทองใบ’บอกเมื่อนึกขึ้นมาได้ ทว่ายังไม่ทันขยับออกจากห้องแคบๆ ก็เจอหญิงสาวซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำเกาะพราว เส้นผมยาวปรกใบหน้าและแก้ม เห็นเพียงแว่บแรก เจ้าหนุ่มใจโฉดก็ถึงกับร้องจ๊าก
“ผีหลอก !”
“ผีบ้าอะไรของมึงวะ” เชิดชัยถามอย่างหงุดหงิด หันกลับไปด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบผู้หญิงยืนทะมึนโดยมีไม้ท่อนใหญ่อยู่ในมือ “เธอเป็นใครวะ !”
“ปล่อยเด็กคนนั้นมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นตำรวจได้จับแกข้อหาลักพาตัวและข่มขู่แน่ๆ”
“ตำรวจ ?” เชิดชัยเลิกคิ้วสูง ดวงตาฉายแววเกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด “เธอนี่เอง เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์”
“เอาไงดีพี่” ทองใบหันมาปรึกษา “ตอนแรกนึกว่าผีเพราะจู่ๆโผล่พรวดเข้ามา แต่พอเห็นหน้าชัดๆถึงรู้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมาก”
“สวย เฮี้ยว ครบสูตร จะปล่อยไว้ทำไม จับทำเมียซะสิวะ นานๆจะได้เจอนางฟ้าในวันฝนตก บรรยากาศเป็นใจ ผู้หญิงก็สวย วันนี้เป็นวันดีของพวกเราโดยแท้”
วันดีของพวกมัน…แต่คงเป็นวันซวยของเธอ มินชยาคิดอย่างเจ็บใจ เธอโง่หรือบ้ากันแน่ถึงกล้าบุกตะลุยประจันหน้ากับผู้ชายชั่วๆพรรค์นี้ แต่ครั้นมองไปทางหนูน้อยซึ่งนั่งน้ำตาไหลมอมแมม แววตาโศกสลดที่ฉายแววอ้อนวอนนั่นทำให้เธอใจอ่อน
ใครที่ทนเห็นเด็กน่ารักน่าสงสารคนนี้ตายโดยไม่ช่วยเหลืออะไรก็คงเลือดเย็นสุดๆ
“จับทำเมียเหรอ พวกแกนั่นแหละจะโดนฉันจับทำหมูหัน” เธอประกาศก้องด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้เป็นปกติ จะแสดงให้มันรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอกำลังกลัว…
“ปากดีว่ะ ฮะๆ” เชิดชัยหัวเราะเบาๆ
“ไม่ได้มีดีแค่ปากหรอกนะ” หญิงสาวหวดไม้ในมือใส่ลำตัวของทองใบเต็มแรง ส่งผลให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับเซถลาล้มลงที่พื้น
ผล๊วะ !
“อั่ก…” อุทานออกมาอย่างเจ็บปวด “เธอ…”
“ต้องซ้ำให้สลบ” เธอเข่นเขี้ยว ตามมาหมายจะหวดซ้ำอีกครั้ง ทว่าเชิดชัยจับแขนเธอแล้วเหวี่ยงสุดแรงจนร่างบางเซถอยไปหลายก้าว
“เห็นตัวเล็กๆไม่คิดว่าพิษสงจะเยอะ” เชิดชัยย่างสามขุมเข้าหา โผนร่างเข้าใส่ ทว่ายังช้ากว่าหญิงสาวที่ยกเท้าถีบยัน ตามด้วยฟาดไม้ใส่แขนอย่างแรง
“โอ๊ย !” ชายหนุ่มอุทานลั่น ปวดจนน้ำตาแทบเล็ด และเธอก็อาศัยช่วงจังหวะนี้วิ่งไปแก้เชือกที่เท้าให้เด็กหญิง…ไม่มีเวลามากพอจะแก้เชือกที่มือ จึงร้องบอก
“ไว้พี่จะแก้เชือกที่มือให้ทีหลัง พอจะมีแรงวิ่งไหมสาวน้อย”
“พะ…พอจะวิ่งไหวค่ะ” ‘ไปรยา’ตอบ แข็งใจยืนแม้จะเจ็บข้อเท้าที่โดนเชือกรัดรึงเป็นเวลานานจนแดงช้ำ
“งั้นวิ่งออกจากโกดังให้เร็วที่สุด ไปเร็ว พี่จะคอยคุมด้านหลังให้เอง”
หนูน้อยฉลาดพอที่จะไม่ร้องไห้งอแงเพราะความเจ็บในตอนนี้ กัดฟันวิ่งจะออกจากห้อง โดยมีหญิงสาววิ่งตามไปติดๆ
“คิดจะหนีเรอะ ฝันไปเถอะ” ทองใบที่คลายความเจ็บลงบ้างแล้ว วิ่งไปหมายกระชากตัวเด็กหญิงกลับ ขณะที่มินชยาใช้มือข้างที่ว่างดึงเสื้อเขาให้หยุด
“ปล่อยนะนังนี่” ชายหนุ่มสะบัดจนหญิงสาวกระเด็นล้มลงที่พื้น เพราะกลัวว่าบ่อเงินบ่อทองที่อยู่ในอุ้งมือจะหนีพ้น ทองใบจึงคว้าหมับที่เส้นผมยุ่งเหยิงของหนูน้อย จิกอย่างรุนแรง ไม่สนอาการดิ้นพล่านและน้ำเสียงที่บ่งชัดถึงความเจ็บ
“กรี๊ด…! ปล่อย ปล่อยหนู หนูเจ็บ ฮือๆ พี่จ๋า พี่ช่วยหนูด้วย”
คำเรียกของเด็กหญิงปลุกพลังในตัวมินชยาได้เป็นอย่างดี ร่างระหงทรงกายลุกยืน กำไม้ในมือแน่น เอาเถอะ…เป็นไงเป็นกัน ไหนๆ เธอก็ตกกระไดพลอยโจนเข้าพัวพันเหตุการณ์ยุ่งเหยิงไปแล้ว จะถอยกลับตอนนี้คงไม่ได้ มีแต่ต้องลุยต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
“ปล่อยเด็กนะ”
“ปล่อยให้โง่สิวะ ! อีเด็กนี่ก็หยุดแหกปากเสียทีเถอะ” ด้วยความหงุดหงิด ทองใบจึงผลักร่างน้อยอย่างแรงจนไปรยาเสียหลักล้มหัวฟาดขอบโต๊ะเก่าคร่ำคร่า
โผล๊ะ !
ไม่มีแม้แต่เสียงร้อง ไม่มีเสียงอะไรเลย…ทุกอย่างเงียบงันไปหมด มินชยาเห็นหยดเลือดข้นสีแดงฉานไหลลงนองพื้น ด้วยความตระหนกสุดขีด เธอปราดเข้านั่งคุกเข่า วางไม้ไว้ข้างตัวแล้วจับหัวหนูน้อยมาวางบนตัก
มือเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิต สมองเธอมึนงง…พร่าพรายไปชั่วขณะ วูบหนึ่งที่เธอรู้สึกกลัว…กลัวไปหมดทุกอย่าง
“ผู้หญิงเขี้ยวเล็บเยอะอย่างเธอไม่สมควรจะได้ออกไปข้างนอก” เสียงเกรียมดังจากปากเชิดชัย ก่อนใช้ด้ามปืนฟาดใส่ท้ายทอยของหญิงสาวสุดแรง
ผล๊วะ…
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ความรุนแรงมีมากพอที่จะทำให้เธอตัวอ่อนลงไปนอนกองที่พื้น แขนเรียวเสลากอดร่างหนูน้อยไว้…ดวงตาพร่าเลือน ครางเสียงแผ่ว…
“โอย…”
“เอาไงดี เด็กก็ท่าทางเสียเลือดมาก อีผู้หญิงก็สลบไปแล้ว” เชิดชัยหันไปปรึกษาคู่หูที่เพิ่งกดปิดโทรศัพท์…
“คุยกับนายเทิดแล้วเมื่อกี้ ท่านบอกว่าให้เรารีบห้ามเลือดเด็กคนนี้เสีย แล้วท่านจะรีบเดินทางมา คนฉลาดอย่างท่านมีทางออกเสมอ มึงไม่ต้องเดือดร้อนใจไปหรอก” ทองใบตอบพลางเหลือบตามองหญิงสาวซึ่งนอนคุดคู้ “น่าเสียดายผู้หญิงเป็นบ้า ไม่น่าเลย…เกือบจะได้แอ้มมันอยู่แล้วเชียว”
เสียงพูดคุยค่อยๆเลือนหายไปจากหูของมินชยา เธอเริ่มไม่ได้ยินอะไร หนาวจนเย็นวาบถึงในอก สิ่งที่ผุดพรายขึ้นมาในสมองมีเพียงคำว่า…
‘ฉันต้องตายจริงๆหรือ ? ตายเพราะคิดจะช่วยเด็กผู้หญิงแปลกหน้า ฉันต้องตายทั้งๆที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างนั้นหรือ…ทำไมกัน’
นั่นเป็นความคิดครั้งสุดท้ายของเธอ ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งมวลจะดับวูบไป…