บทที่ 2(1)
บทที่ 2
มือของใครกัน…ช่างอบอุ่นเหลือเกินยามจับหน้าผากเธอ ลามมาที่แก้มและซอกคอ ความหนาวเย็นที่มีดูเหมือนจะบรรเทาลงเพียงแค่ได้รับสัมผัสจากฝ่ามือของใครคนนั้น
ผ้าเย็นที่เปียกน้ำพอหมาดลูบเช็ดไปทั่ววงหน้า มาที่ลำแขนเสลา และ…เรียวขา
“อือ…” มินชยาครางแผ่วจนแทบไม่หลุดพ้นลำคอ “พ่อ พ่อขา…”
มือที่กำลังเช็ดตัวให้เธอหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มเช็ดต่อ พร้อมผ้าห่มที่คลุมให้ตั้งแต่ช่วงอกจรดปลายเท้าหลังจากที่พบว่าความร้อนของตัวเธอเริ่มทุเลาลง
อาการกระสับกระส่ายค่อยๆ หายไป เธอหลับลึก…และฝันเห็นเลือด เลือดสีแดงข้นที่ไหลออกจากหัวของเด็กหญิงคนนั้น เด็กตายแล้วหรือยัง ตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง…?
“พี่จ๋า พี่ช่วยหนูด้วย” เสียงแหลมใสดังก้องในมโนนึก ภาพตัดไปมา เสียงคร่ำครวญและร้องไห้ดังอยู่ในโสตประสาท
“ไม่…อย่า อย่านะ ปล่อยเด็กซะ อย่าทำร้ายเด็ก” เธอกระซิบซ้ำไปซ้ำมา พลัน…ภาพความโหดร้ายตัดฉับ เธอลืมตาโพลงตื่นขึ้นมาในโลกของความเป็นจริง
เพดานห้องสูงโปร่ง ประดับด้วยโคมระย้าสีเขียวอ่อน หน้าต่างหัวเตียงเปิดโล่งจนแสงแดดส่องเข้ามากระทบสายตา… หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งชั่วครู่ แล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมาเมื่อรวบรวมสติได้
เตียงขนาดคิงไซส์ที่เธอนอนอยู่นั้นกว้างขวาง หนานุ่ม ผ้าห่มนวมสีชมพูผืนโต ช่างเป็นเตียงที่หรูหราอย่างที่เธอไม่เคยได้ใช้มาก่อนในชีวิตนี้
มินชยาผงกศีรษะ ตั้งใจจะลุก แต่อาการมึนหัวมาพร้อมๆกับความฉงนเมื่อเธอไม่อาจขยับกายได้ดั่งที่ใจคิด…เธอนอนแผ่หรา สองมือโดนมัดติดกับหัวเตียงไว้ ส่วนเท้าโดนผ้าผูกมัดติดกับปลายเตียงอย่างแน่นหนา
อะไรกัน…เธออยู่ที่ไหน เด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แล้วทำไมเธอจึงโดนมัดไว้แบบนี้
“กรี๊ด….!” หญิงสาวหวีดร้องลั่น ในเมื่อร่างกายไม่อาจขยับได้ เธอจึงใช้ปากที่เป็นอิสระในการเปล่งเสียงอาละวาด แม้ว่าน้ำเสียงจะแหบพร่า ลำคอแห้งผากเป็นผุยผงก็ตาม “นี่มันอะไรกัน ใครกล้าจับฉันมัดแบบนี้ มาปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้มาแก้เชือกฉันไงเล่า…!”
ประตูเปิดออก พร้อมร่างสูงตระหง่านที่เดินมาหยุดทางปลายเตียง…บุรุษผู้มีแววตาเยือกเย็น ริมฝีปากได้รูปที่ขยับบิดโค้งราวจะยิ้มเย้ย ขณะที่เธอจ้องมองผู้ที่ก้าวเข้ามาด้วยอาการที่แทบจะเรียกว่าเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ
ดวงตาคู่นั้นแสนดุดัน ที่เธอไม่เคยลืมเลือนเลยสักครั้งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีก็ตาม…ปฏิพัทธ เขาจะต้องเป็นครูฝ่ายปกครองที่เคยเป็นรักแรกของเธอแน่ๆ
“ว่าไง ตื่นมาก็มีฤทธิ์เลยนะ ต่อให้เธอตะเบ็งเสียงจนคอแทบแตกก็คงไม่มีใครมาช่วยเธอได้หรอกนะ เพราะทุกคนในบ้านหลังนี้มองว่าเธอเป็นศัตรูกันทั้งนั้น”
เขาเอ่ยเสียงเรียบ ขยับมายืนชิดเตียง ก้มลงสบตากับเธอพักหนึ่งก็กวาดตามองทั่วร่างระหงที่ตอนนี้มีผ้าห่มคลุมทับ…แม้จะมีผ้าผืนหนาขวางกั้น ทว่าเขาก็พอจะรู้ว่าเรือนร่างใต้นั้นเย้ายวนใจมากแค่ไหน
“อะ…อาจารย์ คุณคืออาจารย์ฝ่ายปกครองใช่ไหมคะ” เสียงเธอเบาหวิว มองคนที่ยืนอยู่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ดูเหมือนจะมีร่องรอยความประหลาดใจฉายผ่านเข้ามาในดวงตาคู่คม ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติดังเดิม
“ใช่…อดีตของฉันเคยเป็นครู แต่นั่นก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้ฉันทำไร่ เป็นเจ้าของบ้านที่เธอพักอยู่ในตอนนี้”
“พัก ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง ก่อนหวีดร้องลั่นเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนตกอยู่ในสภาพใด “อาจารย์กล้าใช้คำว่าพักกับฉันเหรอคะ ดูสิ อาจารย์มัดมือมัดเท้าฉันติดกับเตียง ฉันไม่ใช่นักโทษหรือสัตว์เลี้ยงของอาจารย์นะ”
“แน่นอน…เธอไม่ใช่ทั้งนักโทษและสัตว์เลี้ยงของฉัน” ปลายนิ้วอุ่นจัดจับคางเธอ แล้วไล้ไปตามแนวแก้มเย็นชืดนั้น พร้อมรอยยิ้มหยันที่ปรากฏชัดตรงมุมปากได้รูป “แต่เธอเป็นเชลย รู้ใช่ไหมว่าหมายความถึงอะไร”
“เชลย ? บ้า บ้าไปแล้ว ฉันไม่เคยทำความผิด และนี่ก็ไม่ใช่ยุคสงคราม ทำไมต้องโดนคนแปลกหน้าอย่างอาจารย์เรียกขานว่าเชลยด้วย ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องอาจารย์ให้ถึงที่สุด ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวคงทำให้อาจารย์ต้องไปกินข้าวแดงในคุกนานแน่”
หน้าคมขรึมเครียด ดีดตัวยืนตรง ปรายตามองเธออย่างเหยียดๆ “ไอ้คำว่าคุกน่ะมีไว้สำหรับขังเธอต่างหากละแม่สาวน้อยแปลกหน้า”
“ฉันไม่เข้าใจ และอย่ามาเรียกฉันว่าสาวน้อย ฉันอายุ 25 แล้ว”
“อ้อ งั้นรึ… ไม่เข้าใจงั้นรึ มาถึงขั้นนี้แล้วจะทำไขสือไปทำไม มันไม่ทันแล้วละที่เธอจะทำเป็นใสซื่อในตอนนี้”
“อาจารย์พูดอะไร ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ” เขาทวนคำเธอเล่นเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก ก้มตัวจับคางเล็กบีบรุนแรงจนหน้าหวานบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ “เธอเป็นแผ่นเสียงตกร่องหรือไง ถึงพูดได้แค่คำนี้ เธอทำร้ายหลานสาวของฉัน แล้วยังมีหน้าบอกว่าไม่เข้าใจอีก”