บทที่ 2(2)
“อาจารย์พูดอะไรน่ะ อย่ามากล่าวหาฉันแบบนี้นะ” หากตอนนี้มือเป็นอิสระ เธอคงไม่ลังเลเลยที่จะฟาดหน้าหล่อๆนั่นสักเปรี้ยงให้หายแค้นใจที่เขาปฏิบัติต่อเธอราวกับเธอเป็นฆาตกรใจโหด
“น้องไปรโดนเธอและพรรคพวกจับตัวไปกักขังในโกดังร้าง เธอเป็นต้นเหตุให้หลานสาวของฉันต้องเจ็บตัว แค้นเธอนัก อยากทำกับเธอเหมือนที่เธอทำกับน้องไปร แต่ไม่ได้…” เขากระตุกยิ้มเครียด “เธอยังมีประโยชน์กับฉันอีก”
“น้องไปร…? หรือจะเป็นเด็กคนนั้น” เธอพึมพำถามตัวเอง ริมฝีปากบางขบเม้มอย่างครุ่นคิด อาการปวดมึนที่ศีรษะทำให้เธอเบลอจนเกินกว่าจะรับเรื่องหนักๆได้
“ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงสวยๆอย่างเธอจะพิษสงร้ายกาจ ฉันให้เธอเลือก ระหว่างเข้าคุก หรือจะเป็นเชลยของฉัน”
เขาถามเสียงจริงจัง ดวงตาไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมฉันต้องเข้าคุกด้วย ในเมื่อฉันไม่ผิด ตำรวจมีหน้าที่จับคนร้าย ไม่ได้มีหน้าที่จับแพะ” เธอตอบอย่างชาญฉลาด และนั่นก็ทำให้เขาเกือบหัวเราะออกมาแล้วแต่ยิ้มไม่ออกเพราะเรื่องนี้มันชวนให้เครียดมากกว่าน่าอภิรมย์
“กล้าดีนี่ที่ยังดันทุรังบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ต่อไป เอาละ…ฉันจะกักตัวเธอไว้ที่นี่ชั่วคราวเพื่อให้พรรคพวกของเธอโผล่หางออกมาให้เห็น”
“จะให้ฉันเป็นนกต่อสินะ แต่ขอบอกไว้เลยว่าอาจารย์ไม่มีวันสมปรารถนา” เธอบอกเสียงเฉียบ ขณะที่เขาก้มลงจับคางเธอบังคับให้สานสบกับนัยน์ตาดุดัน
“ตราบใดที่ฉันไม่อนุญาต เธอจะไม่มีวันได้รับอิสระ…แม่นกน้อย” พูดจบก็ฉกฉวยโอกาสช่วงที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จูบเรียวปากอิ่มเน้นหนักบังคับให้เธอเผยอเรียวปากออก…จากนั้นก็เข้าแทรกแซงด้วยปลายลิ้นที่ชำนาญทาง เกี่ยวกระหวัดชิวหานุ่มอย่างเร่าร้อน
มินชยาตัวชา เพราะไม่เคยจูบกับใครมาก่อน จะด้วยพิษไข้หรือสัญชาตญาณสาวกันหนอที่ทำให้เธอตัวร้อนระอุดั่งอยู่กลางเพลิงผลาญ สติที่ยังพอมีสั่งให้เธอเบือนหน้าหนี ทว่าหัวใจเจ้ากรรมกลับอิ่มเอมในรสจุมพิตของผู้ชายที่เคยผลักไสเธอในอดีต
ชายหนุ่มหรี่ตาลง ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น หน้าคมแดงระเรื่อ…ไม่ได้การละ จากเดิมทีคิดเพียงอยากกลั่นแกล้ง ทว่าไม่คิดเลยว่าคนที่เป็นฝ่ายอ่อนไหวจะเป็นเขาเสียเอง…
“นกน้อย…เธอน่ะนังมารร้าย” เขาพึมพำเมื่อขยับถอยห่างเธอหลายก้าว ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความสับสน หากนาทีต่อมา เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้ม “ผู้หญิงอย่างเธอ…ฉันคงไม่จำเป็นต้องขอโทษเพราะ…” เขากวาดตามองเธออย่างหมิ่นแคลน “ผู้หญิงสวยๆอย่างเธอ อีกทั้งยังร้ายกาจ มีหรือจะยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ แค่เสียจูบให้ฉันสักที สองที มันคงไม่สึกหรอไปมากกว่านี้หรอกน่ะ”
“หยาบคาย” เธอต่อว่าเขาด้วยเสียงแหบแห้ง หน้ายังคงแดงก่ำไม่จางหาย ทั้งอาย ทั้งหงุดหงิด และที่สำคัญ…เธอโกรธตัวเองที่ดันไปหวั่นไหวกับคนผู้ชายกักขฬะเช่นเขา !
“ใช่ ฉันยอมรับว่าหยาบคาย แต่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอทำกับหลานของฉัน จำไว้นะแม่นกน้อย หากน้องไปรเป็นอะไรไป เธอต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก” พูดจบก็หุนหันเดินจากไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น ทิ้งให้หญิงสาวนอนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยอาการจุก…จุกที่โดนเขาปาวาจาร้ายกาจใส่หน้า เจ็บใจที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแก้ต่างว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำร้ายเด็กคนนั้น
มินชยานอนมองเพดานห้องนิ่งนาน…นานจนแทบจะหลับ แต่ก็หลับไม่ลงเพราะเมื่อยตัวอย่างบอกไม่ถูก โชคดีที่เขาใช้ผ้ามัดเธอไว้ หากเป็นเชือกละก็…ป่านนี้ผิวของเธอคงแดงระบมไปหมดแล้ว
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกำไลที่กระทบกันกรุ๊งกริ๊ง… เธอหลุบตามองไปทางปลายเตียงซึ่งอยู่ตรงกับประตูพอดี เห็นผู้หญิงวัยกลางคนเดินโหย่งปลายเท้าเข้ามาด้วยท่าทางเริงรื่น…ไม่สิ เธอคิดว่าร่าเริงเกินไปด้วยซ้ำจนดูเหมือนคนสมองไม่ปกติ
“จ๊ะเอ๋…ตัวชื่ออะไรเอ่ย ?” ถามด้วยเสียงที่ดัดจนแหลมสูงเพื่อให้ฟังดูแอบแบ๊วตามเทรนด์เกาหลี ทว่าสำหรับเธอแล้วกลับรู้สึกขนลุกมากกว่าจะชื่นชม
“อะ เอ่อ…ชื่อมินชยาค่ะ เรียกมิ้นก็ได้ แล้วคุณล่ะคะ”
“ฉานหรอ…” เลิกคิ้วสูง หมุนกายสามตลบ สีหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนจะเริ่มรำ…รำให้ดูชดช้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เต่ง เต๊ง เต๊งงงง ตัวฉันนั้นมีชื่อว่าจุไรพร เป็นสาวงามทรามสมร งามงอนน่ารัก จะเรียกพี่จุนก็ย่อมได้ แต่หากเรียกป้า ฉันโกรธนะจ๊ะ เอิงเอย…”
มินชยาอ้าปากค้าง นึกรู้ในทันที…ไม่ผิดแน่ หญิงคนนี้เป็นบ้า !
“ช่วยแกะผ้าที่มัดมือมัดเท้าให้ฉันหน่อยจะได้ไหมคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายสมองไม่สมประกอบ เธอก็ยังไม่วายลอง‘เสี่ยง’ขอร้องดู
“หืม ?” จุไรพรหรี่ตาลง ก่อนตะโกนลั่นจนคนที่นอนบนเตียงสะดุ้งเฮือก “เหวยๆ จะบ้าหรือไร ให้ฉันแก้มัดให้เจ้างั้นรึ ฝันไปเถอะ…!”
เมื่อรวบรวมขวัญกำลังใจที่กระเจิดกระเจิงไปได้แล้ว เธอก็เริ่มตะล่อม “น่านะ ดูสิ ฉันโดนมัดไว้ ไม่สงสารฉันบ้างเลยหรือ”
“ไม่สงสาร” ตอบโดยไม่ต้องคิด กระทืบเท้าปึงปัง ชี้หน้าหญิงสาวราวจะคาดโทษ “ความผิดเจ้านั้นไซร้มีมหันต์ ต่อให้ตกนรกขุมที่ 8 ก็ไม่มีวันล้างบาปได้หมด เจ้าทารุณเด็กตัวน้อย คิดหาเงินกับเด็ก ช่างชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก เอิงเอย…” ตบท้ายด้วยลูกเอื้อนเลียนแบบลิเก
มินชยาขมวดคิ้ว แม้ท่าทางและน้ำเสียงจะเหมือนคนสติไม่ดี แต่เธอกลับรู้สึกว่าสมองของจุไรพรรับรู้ดีทุกอย่าง…
“ฉันไม่ได้ทำร้ายเด็กคนนั้นนะ ฉันไปช่วยแต่โดนเข้าใจผิด ฉันจะทำร้ายเด็กที่น่ารักลงคอได้ยังไงกัน เชื่อฉันได้ไหม นะคะพี่จุน”
“เชื่อรึ เป็นไปไม่ด้าย คุณทัศนัยเป็นคนบอกเองว่าเธอนั้นไซร้เป็นคนลักพาตัวน้องไปรไป เอิงเอย…”
“ฉันไม่รู้จักคนที่ชื่อทัศนัยนั่นเลยนะ แล้วทำไมเขาต้องป้ายสีใส่ความฉันด้วย” เธอพูดอย่างร้อนรน อดีตเจ้านายของเธอก็ชื่อ‘ทัศนัย’เหมือนกัน แต่เธอคิดว่าคงบังเอิญชื่อคล้ายกันมากกว่า เพราะทัศนัยที่เธอรู้จักเป็นคนใจดีมีศีลธรรม ไม่มีทางกล่าวหาคนอื่นลอยๆโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้หรอก