บทที่ 2(3)
“เขาคนนั้นคือคุณพ่อที่แท้จริงของน้องไปร โอ้…ช่างน่าสงสารเด็กน้อยเหลือหลาย เกิดมาอาภัพเพราะพ่อแม่รักสนุก ฝ่ายหญิงทิ้งลูกไว้ให้คุณทัศนัยดูแล ส่วนตัวเองก็แต๊ดแต๋กลับไปใช้ชีวิตเป็นโสดตามเดิม คุณเป้เลี้ยงดูน้องไปรมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงไม่แปลกที่จะทั้งรักทั้งเอ็นดูแม่หนูคนนี้ พอหลานสาวโดนจับตัวไปจึงโกรธแค้นชิงชังเจ้าโจรถ่อยจนแทบกระอักเลือด เอิงเอย…เตงเต่งเต๊ง เตงเต่งเตงเต๊งเต่ง….” นอกจากลูกคอแล้ว ยังทำเสียงเลียนแบบเครื่องดนตรีระนาดอีกด้วย ทำให้มินชยารำคาญหูอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้ ได้แต่นอนคิด…คิดทั้งๆที่สมองอ่อนล้าไปหมด คนที่จุไรพรเรียก‘คุณเป้’ คงจะหมายถึงปฏิพัทธสินะ
“แล้วตอนนี้น้องไปรอาการเป็นอย่างไรบ้างคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ชะๆๆๆ ช่างกล้าถามนังโจรถ่อย ตอนนี้น้องไปรบาดเจ็บเพราะฝีมือเจ้า ไม่รู้สึกตัวก็เพราะเจ้าไม่ใช่รึ เอิงเอย…”
หญิงสาวใจหายวาบ…เด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนั้นมีสภาพใกล้เคียงกับผัก ได้แต่นอนนิ่งๆ ไม่รู้สึกตัว ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้ มิน่าละ ปฏิพัทธถึงชิงชังเธอนัก
อย่าว่าแต่หนูน้อยจะน่าสงสารเลย ตอนนี้เธอก็สงสารตัวเองเหมือนกันที่ต้องตกเป็นจำเลยด้วยความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ
“ฉัน…เสียใจเรื่องน้องไปร ฉันไม่เคยรู้จักเด็กคนนั้นมาก่อน แต่เห็นเธอโดนขังในโกดัง คิดจะช่วยแต่ไม่สำเร็จ แถมตัวเองยังโดนของแข็งกระแทกที่ท้ายทอยจนสลบอีก พอตื่นมาก็มาอยู่บนเตียงนี้แล้ว เชื่อฉันได้ไหม…ฉันไม่ได้เป็นคนทำร้ายเด็ก” เสียงเธอแผ่วโหย ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำ จนจุไรพรชะงัก ทว่าไม่ทันพูดอะไร เสียงเอ่ยถามก็ดังขึ้นเสียก่อน
“แกมายุ่งวุ่นวายอะไรในห้องนี้นังจุน”
วารินทร์เดินเข้ามาพร้อมถาดข้าวต้ม ตอนเดินผ่านหญิงบ้าก็อดไม่ได้ที่จะจิกหางตามองอย่างหยามเหยียด
“ฉันจะเข้ามาทำไมไม่ใช่เรื่องของเจ้าซักกะหน่อย เอิงเอย…” จุไรพรทำท่ารำอ่อนช้อย หมุนตัวหลายรอบจนเวียนหัวติ้วๆต้องทิ้งตัวลงนั่งกองบนพื้น
“บ้าก็อยู่ส่วนบ้าสิ ไม่รู้ว่าคุณเป้นึกยังไงถึงให้คนเพี้ยนๆอย่างแกมาร่วมชายคาบ้านด้วย พลอยจะทำให้คนดีๆหงุดหงิดเพราะไอ้กิริยาต๊องๆเอ๋อๆของแกกันหมด” วารินทร์บ่นพึม เธอเป็นคนรูปร่างดี แม้หน้าตาจะไม่ถึงขั้นสวยหยาดเยิ้มแต่ก็ถือว่าดูดีไม่น้อยเพราะเธอรู้จักการแต่งหน้าแต่งตัว อีกทั้งยังอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เป็นสาวสะพรั่งที่สะดุดตาคนหนึ่งเลยทีเดียว
“ฉันไม่ได้บ้า เจ้าจงหยุดวาจาสามหาวเดี๋ยวนี้” จุไรพรตะคอกลั่นทั้งๆ ที่ยังไม่ลุกจากบนพื้น แต่คราวนี้วารินทร์ไม่ได้สนใจหญิงบ้าอีกต่อไป เพราะหันไปคุยกับมินชยาแทน
“เอ้า ข้าวต้ม กินให้หมดซะนะ” พูดพลางวางถาดลงบนโต๊ะตัวเล็กซึ่งอยู่ตรงข้างหัวเตียง
“ฉันจะกินได้ยังไงในเมื่อโดนมัดมือไว้แบบนี้”
วารินทร์ทำหน้ายู่เหมือนเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา เธอจับช้อนคนๆ ในถ้วยเพื่อให้เนื้อข้าวคลายร้อน ปากก็บ่นกระแทกกระทั้น
“ช่วงนี้คุณเป้เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอกจากจะยอมให้คนบ้าอยู่บ้านด้วยแล้ว ยังให้โจรใจร้ายอย่างเธอมาอยู่ที่นี่ด้วย เขาคิดยังไงของเขากันนะ”
“ฉันสาบานได้เลยว่าไม่เคยคิดจะลักพาตัวเด็ก ฉันบังเอิญเจอเด็กร้องขอความช่วยเหลือ ฉันพยายามพาเด็กหนีเลยพลาดพลั้งโดนทำร้ายจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นจำเลยอย่างงงๆ”
“เหรอ…ดีนี่ เพิ่งฟื้นไข้แต่กลับสร้างเรื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนฉันเกือบหลงเชื่ออยู่แล้วนะว่าคำโกหกของเธอคือความจริง”
“เชื่อฉันเถอะ ที่ฉันพูดไปเป็นความจริงที่สุด”
“เธอคิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ” วารินทร์เบ้ปาก “ไม่มีผู้ร้ายคนไหนยอมรับตรงๆว่าตัวเองผิดหรอกนะ”
“แต่ฉัน…” ไม่ทันเอ่ยจบประโยค วารินทร์ก็พูดแทรกเสียก่อน
“กินข้าวซะ อ้าปาก ฉันจะป้อน”
“ไม่ค่ะ” แม้จะหิวจนท้องครวญสนั่น เธอก็ยังทำปั้นปึ่ง เมินหน้าไปอีกทาง เม้มปากแน่น “ถ้าไม่แก้มัดออกให้ฉัน ฉันก็ไม่กิน”
ความอดทนของวารินทร์สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เธอกระแทกช้อนโครมลงถ้วย แล้วเดินปึงปังออกไปอย่างไม่พอใจ
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องกิน เป็นแค่นักโทษยังจะเลือกมากอีก” เธอทิ้งท้ายด้วยประโยคเชือดเฉือน ก่อนจะปิดประตูลง…
ความเงียบเริ่มปกคลุมบริเวณห้องอีกครั้ง มินชยากัดปากล่างแน่น น้ำตาที่เก็บกลั้นมาเนิ่นนานค่อยๆไหลลงมาแต่ทว่าไร้เสียงสะอื้น มีเพียงน้ำใสหยดเล็กๆเท่านั้นที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้เธอเจ็บปวดหัวใจเพียงไร
ไม่คิดว่าการทำตัวเป็นพลเมืองดีของเธอจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้…ไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ
เสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลกระทบกันดังเข้าหู เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็เห็นจุไรพรลุกยืน หญิงเพี้ยนที่สวมชุดขาดรุ่งริ่ง แต่ดวงตาเป็นประกายพราว
“ฉันไม่ขอให้ใครมาเห็นใจฉันอีกแล้ว นึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน ถ้าในตอนนั้นฉันทำตัวเป็นคนใจร้ายไม่สนใจเด็กที่กำลังได้รับอันตราย ชีวิตฉันคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้หรอก…” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร คล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า
“น้ำตาของนางโจรมีรึจะน่าเห็นใจ” จู่ๆจุไรพรก็เอื้อนเอ่ย เอียงคอ นิ้วพันเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล่นไปมา “แต่ถ้าคุณเป้เห็นเจ้าเป็นคนร้าย 100% เขาคงไม่ลังเลที่จะส่งตำรวจ ทำไมต้องเอาเจ้ามาไว้ที่บ้าน ดูแลและเฝ้าไข้อย่างใกล้ชิด”
“เฝ้าไข้ ? ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเฝ้าไข้ฉันงั้นหรือคะ” เธอถามอย่างประหลาดใจ
“ช่าย…เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้าน บริษัท และโรงพยาบาล ไหนจะเรื่องงาน เรื่องหลาน เรื่องเจ้า ฉันคิดว่าคุณเป้คงนึกว่าเจ้าเป็นคนร้ายแค่ 80% อีก 20%ที่เหลือคงยังลังเลไม่แน่ใจ เจ้าก็อาศัยอยู่ที่นี่ซะ ถือเสียว่าเป็นลิขิตจากสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องเครียดอะไร พยายามหาหลักฐานเข้าสิว่าเจ้าไม่ผิด ทองแท้ต่อให้โดนไฟก็ย่อมเป็นทองอยู่วันยังค่ำละน่า”
ดวงตาของมินชยาปรากฏร่องรอยความสงสัย เหตุใด…หญิงคนนี้จึงพูดจาฉะฉานเหมือนคนที่มีความรู้ สำนวนแม้จะเหมือนยี่เกแต่ก็ดูฉลาดเฉลียว