บทที่1(3)
7 ปีผ่านไป
มินชยายืนกอดอกมองรถจักรยานยนต์คู่ชีพคันเก่าที่ใช้งานมานานถึง 5 ปี นอกจากสีจะเริ่มซีดจางตามกาลเวลาแล้ว เครื่องยนต์ยังขัดข้องบ่อยครั้งจนเธอหงุดหงิด
หน้าเรียวบูดบึ้ง ไม่สนใจแม้จะมีใครหลายๆคนต่างพากันมองเธอจนเหลียวหลัง ผู้ชายหลายคนพากันส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ แต่เธอไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ
มือเรียวเสยผมที่หยิกลอนสลวยไปเบื้องหลังเมื่อมีเสียงแหบของชายคนหนึ่งเข้ามาถาม
“รถเสียเหรอจ๊ะน้องคนสวย พี่ดูให้นะ พี่เคยเรียนช่างยนต์มาก่อน” อวดอ้างสรรพคุณตัวเองพร้อมยิ้มเผล่อวดฟันที่มีคราบบุหรี่ติดสีเหลืองเข้ม
“หืม ?” เธอหันไปมอง คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง สักพักก็ถามว่า “พี่ซ่อมเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิจ๊ะ ดูนิดๆหน่อยๆพี่ก็รู้แล้วว่าตัวเครื่องมีปัญหาตรงไหน เอาละ…ผู้หญิงเป็นเพศที่บอบบางน่าถนอม ไปยืนดูอยู่ด้านหลังดีกว่าจ้ะ ส่วนเรื่องแบบนี้ให้ผู้ชายแข็งแรงอย่างพี่จัดการเถอะนะ” ชายหนุ่มพยายาม‘อวดเก่ง’เพื่อให้สาวปลื้ม ทว่าเธอกลับมองหมิ่น แล้วบอกว่า
“พี่นั่นแหละค่ะที่ต้องถอยออกมา”
“หืม ? ทำไมล่ะจ๊ะ หรือไม่เชื่อว่าพี่ทำได้” เขาถาม แต่ก็ยอมถอยหลังไปหลายก้าว
“ฉันซ่อมเองจะไวกว่าน่ะค่ะ” เธอเดินฉับๆมายืนจนเกือบชิดรถ
“ทำยังไงล่ะ”
“พี่คะช่วยจับตัวรถไว้หน่อยได้ไหม”
“เอ้า ได้สิ…” แม้จะงงๆอยู่บ้าง ทว่าหนุ่มฟันเหลืองก็ยอมทำในสิ่งที่สาวสวยแปลกหน้าต้องการโดยไม่ขัดข้อง ในใจก็คิดไปว่า…ยังไงซะผู้หญิงคนนี้คงทำให้รถติดไม่ได้หรอก พอเธอลำบาก เขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จากนั้นค่อยสานสัมพันธ์เป็นแฟนกัน
ระหว่างวาดฝันด้วยจินตนาการแสนบรรเจิดอยู่นั้น จู่ๆชายหนุ่มก็เบิกตากว้าง แทบจุกเลยทีเดียวเมื่อตัวรถอัดกับหน้าท้องเขาเต็มๆ
พลั่ก !
“นะ น้อง…น้องทำอะไรน่ะ”
“เตะรถไงคะ” เธอตอบเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา จากนั้นก็ดึงรถมาจากเขา “เวลาเครื่องไม่ติด กระโดดถีบสักทีก็หายแล้วค่ะ รถคันนี้ชอบเป็นโรคสำออยน่ะ ต้องให้ใช้ความรุนแรงเป็นประจำ”
หญิงสาวสวมหมวกนิรภัย ก้าวขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ชีพ ก่อนจะหันไปยิ้มและโบกมือลา
“ไปก่อนนะพี่ ขอบคุณที่คิดจะช่วย บายๆค่ะ”
เธอขับรถจากมาโดยไม่หันไปมองสีหน้าที่แสดงถึงความงุนงงระคนสยองจากผู้ชายคนนั้นอีกเลย…
สายลมเย็นพัดพาผมยาวสยายพลิ้วไหว มือเล็กบังคับรถให้แล่นไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไกล จากที่มีผู้คนสัญจรมากมายเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง…เริ่มถึงเขตที่มีบ้านคนตั้งอยู่ห่างกัน น้อยครั้งจะเห็นรถคนอื่นสวนมาสักคันหนึ่ง
ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องหนักอก หญิงสาวมักจะขับรถเล่นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์เครียด จากที่เร่งเครื่องเร็วก็เริ่มผ่อนเบาจนเอื่อยช้า มองสองข้างทางไปเรื่อยๆ
เธออายุครบ 25 ปีเมื่อ 3 วันก่อน เคยได้ยินว่าใครถึงช่วงเบญจเพสจะเจอความโชคร้าย…เห็นท่าจะจริง เพราะหลังผ่านพ้นวันเกิดมา เธอมักเจอแต่เรื่องไม่น่ารื่นรมย์ เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เธอตกงาน…ไม่ใช่ว่าเธอถูกไล่ออกหรอกนะ แต่เพราะบริษัทเล็กๆที่เธอทำงานในตำแหน่งเลขานั้นล้มละลายสิ้นท่า
เธอจึงต้องบากบั่นหางานอื่นทำ จริงอยู่ที่รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นเป็นที่ต้องตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ทว่าในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีเส้นสาย ทำให้ยากนักที่จะได้งานดีๆทำ แม้เธอจะมีผลการเรียนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย…
“ช่วยหนูด้วย…” เสียงหนึ่งแว่วมาตามสายลม เธอขมวดคิ้วมุ่นหลุดจากภวังค์ทันที…หูฝาดไปหรือเปล่านะ
“ช่วย…” ดังกระทบหูอีกครั้ง แม้จะแผ่วเบาเต็มที ทว่าเธอกลับรู้สึกถึงแรงสังหรณ์บางอย่าง ขนอ่อนบริเวณแขนพร้อมใจกันลุกชัน
ด้วยความที่ขับรถช้า เธอจึงมีโอกาสหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง ก่อนจะจอดรถกะทันหันเมื่อเห็นโกดังร้างแห่งหนึ่งซึ่งแวดล้อมไปด้วยแมกไม้รกครึ้ม ต้นหญ้าแห้งกรังเหมือนไม่มีใครมาดูแลเนิ่นนานแล้ว ที่นี่ไม่น่ามีคนมาอาศัยอยู่ได้อีก…แต่ทำไมตรงหน้าต่างบานเกร็ด เธอจึงเห็นร่างเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีปอนๆ ยืนทำหน้าเศร้ามองมาทางถนน
มินชยากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น…สายลมพัดพากลิ่นไอดินขึ้นแตะจมูก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเห็นเมฆสีดำเคลื่อนตัวมาปกคลุม… อีกไม่นาน หยาดพิรุณคงร่วงโปรยปราย
อันที่จริงเธอควรจะรีบกลับบ้านก่อนฝนตก แต่ไม่รู้ทำไม…เธอถึงรู้สึกไม่อยากกลับในตอนนี้ ร่างเพรียวบางลงจากรถแล้วเดินไปเกาะหน้าต่างบานเกร็ด ถามเสียงเบา
“หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาอยู่โกดังร้างได้”
แม้ปากจะเอ่ยถาม แต่สิ่งที่เธอเห็นนั้นก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว…เด็กหญิงอยู่ในสภาพชวนเวทนา เสื้อผ้าเก่าขะมุกขะมอม ยืนน้ำตาไหลอาบแก้ม สองมือโดนมัดติดกันไว้ด้านหน้า สองเท้าโดนมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา
“หนู…” หนูน้อยวัย 5 ขวบพูดตะกุกตะกัก สะอื้นฮักจนตัวโยน “หนูโดนจับตัวมาค่ะ หนูคิดถึงคุณอา อยากกลับไปหาคุณอา”
“โดนจับตัว ?” หญิงสาวตาพอง เรื่องใหญ่เลยทีเดียว เธอต้องแจ้งให้ตำรวจรีบเข้ามาช่วยเหลือ “รอหน่อยนะ พี่จะรีบไปแจ้งความ”
“ฮือๆ” เด็กหญิงร่ำไห้ จมูกและดวงตาแดงระเรื่อเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ไม่ทันที่มินชยาจะได้โทรหาตำรวจ เธอก็ได้ยินเสียงดังโครม…ครั้นหันไปมองก็ตกใจแทบช็อกเมื่อพบว่ามีรถยนต์คันกลางเก่ากลางใหม่พุ่งเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ของเธอจนล้ม… รถคันนั้นกำลังแล่นเข้ามาจอดตรงลานกว้างหน้าโกดัง สัญชาตญาณสั่งให้เธอรีบเร้นตัวเข้าหลบหลังต้นไม้ใหญ่ ใจเต้นระทึกเมื่อเห็นชายหน้าเหี้ยมสองคนเดินลงมา พร้อมเร่งรุดเข้าไปในโกดัง…