๔ คืนปล่อยใจ (๑)
๔
คืนปล่อยใจ
สองครั้งแล้วที่เธอเห็นแฟนของกษมาอยู่กับชายอื่น ใจกระวนกระวายอยากเข้าไปบอกความจริงกับเจ้านาย ทว่ายังนึกกังวลเกรงคำพูดของตนจะไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หากทั้งสองทะเลาะกันจนเลิกราแล้วเธอโดนตวิษาตามราวี
นึกไม่ออกเลยว่าจะวุ่นวายแค่ไหน เพียงแค่คิดก็หวั่นเกรงจนสุดท้ายเลือกปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ผ่านไปเกือบสองวันที่เธอแทบจะไม่พบหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านปัณณทัต หรือถ้าเห็นก็ไม่ได้ทักทาย ชายหนุ่มเดินหนีราวกับไม่ต้องการเสวนา
ผิดแปลกไปจากทุกวันแต่ตนก็ไม่ได้นึกสงสัย คิดว่าเขาคงเครียดจากงาน
“จะบอกดีไหม แต่เรื่องของเขานะเราอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า” นอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่น วันนี้เธอไม่ได้ไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดของตน อีกทั้งต้องทำโปรเจคจบของตัวเองที่เพิ่งเริ่มบทแรก ยังไม่ไปบทที่สองเลยด้วยซ้ำ
วุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของคนอื่นจนคิดงานไม่ออก หัวใจว้าวุ่นไม่อาจวางความรู้สึกเหล่านั้นลงได้ ถึงออกมาเดินเล่นรับลมเย็น...
“ไม่สิ เกริ่นก็ได้แค่ให้เขารู้ตัว” พึมพำกับตัวเองระหว่างเดินไปนั่งยังโซฟาตัวยาวที่มักพบร่างสูงมานั่งทอดสายตามองดวงจันทร์เกือบทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน...
ดวงตากลมจ้องแผ่นหลังหนาตาเป็นประกาย หมายจะเดินเข้าไปหาแต่ก็ยั้งใจเอาไว้ ก่อนตกลงกับตัวเองว่าจะบอกหรือไม่บอก แต่อย่างน้อยพูดให้เขาเอากลับไปคิดไตร่ตรอง เพื่อให้ความรู้สึกผิดในใจหล่อนลดลงก็ยังดี
หากกษมาทราบความจริงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ก็ไม่ถือว่าเธอมีความผิดสักหน่อย
“คุณก่อคะ!” ลุกยืนเต็มความสูงจะกลับเข้าบ้านเพราะเริ่มง่วงนอนแล้ว เธอจึงรีบเรียกเพื่อเป็นการรั้งเขาเอาไว้ สาวเท้ายาวเข้าไปหยุดยืนตรงหน้ากษมาที่ตีหน้าขรึมทันที พร้อมก้าวถอยหลังเพื่อเป็นการเว้นระยะห่าง
“คุณก่อนอนไม่หลับเหรอคะ” หล่อนมีท่าทีแปลกใจกับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร
“อืม” ตอบแบบขอไปทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่กำลังจะขึ้นไปนอนแล้ว” พูดจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่ต้องการมองหน้าตาใสซื่อที่ทำให้เขาหลงเชื่อไปแล้วว่าหล่อนเป็นสาวไร้เดียงสา ทั้งที่ความจริงเหลวแหลกมากแค่ไหน เห็นด้วยตาตัวเองจนลืมไม่ลงกับรอยยิ้มยั่วยวนของเธอ
คงต้องอยู่ห่างผู้หญิงร้อยเล่ห์มารยาคนนี้ให้ไกล
“เดี๋ยวค่ะ!” คว้าแขนหนาเอาไว้จนเขาต้องเหลียวมองด้วยแววตาไม่พอใจ เธอจึงรีบปล่อยร่างสูงให้เป็นอิสระ แล้วเริ่มเกริ่นเรื่องที่คิดมานานว่าควรบอกเขาดีหรือเปล่า อย่างแรกต้องค้นความคิดของกษมาว่ารักแฟนสาวมากเท่าไหร่
หากหล่อนบอกไปเปอร์เซ็นที่เขาจะเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรพูดทั้งหมดหรือเปล่า
“เอ่อ คุณก่อคบกับคุณส้มมานานหรือยังคะ” จ้องเขาตาไม่กระพริบระหว่างรอคำตอบ ซึ่งชายหนุ่มก็ถอนหายใจบอกตามความจริง
“นานแล้ว ประมาณ 9 ปีที่เราคบกัน”
เป็นระยะเวลาที่นานมากพอสมควร เขาไม่ใช่คนคบผู้หญิงพร่ำเพรื่อ ในชีวิตมีแฟนแค่สองคนและคบนานเพราะไม่อยากเริ่มต้นทำความรู้จักใครไหม คบแล้วก็อยากจริงจังไปจนถึงขั้นแต่งงาน
กับตวิษาก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้ใหญ่สองบ้านเห็นดีด้วยเพราะฐานะทัดเทียม...
ทว่าความรู้สึกของเขาเริ่มเปลี่ยนไป อนาคตที่เคยวาดฝันเอาไว้ร่วมกันมันช่างเลือนรางเสียเหลือเกิน นึกโมโหตัวเองที่หลงไปกับความน่ารักของหญิงตรงหน้า จนเกือบเผลอทำร้ายจิตใจแฟนสาวของตัวเอง
ต้องตัดความรู้สึกที่มีต่อลินน์ให้ขาด!
“แล้วอนาคต...”
“อนาคตก็มีแค่ส้มที่ฉันจะรักและแต่งงานด้วย ฉันไม่มีทางมองผู้หญิงคนอื่นหรือเอาผู้หญิงที่พยายามจับผู้ชายรวยมาเป็นเมียเด็ดขาด” เผลอขึ้นเสียงดังจนร่างบางสะดุ้ง มองแววตาโกรธแค้นของเขาแล้วก็ได้แต่ฉงน
เจ็บแปลบในทรวงเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มรักแฟนมากแค่ไหน เธอจึงไม่มีสิ่งใดจะพูดนอกจากเบือนหน้าไปทางอื่น เพื่อหลบสายตาที่เขาจ้องนิ่ง
“มีอะไรจะถามอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ...ฝันดีนะคะ” ค้อมศีรษะแล้วบอกชายหนุ่มเหมือนครั้งก่อน แต่คราวนี้เขาเลือกจะตอบรับในลำคออย่างไม่ใส่ใจ เพราะรู้ว่ามันก็แค่มารยาเล่มหนึ่งของหล่อนเท่านั้น ไม่อยากหลงใหลเหมือนคราวก่อนจนต้องรู้สึกผิดกับแฟนอีกแล้ว
“อืม”
ก้าวเท้าออกจากที่ตรงนี้เพื่อกลับห้องของตัวเอง ปล่อยหญิงสาวมองตามด้วยความสับสนมากกว่าเดิม
“เขาไปกินรังแตนมาจากไหนนะ” มั่นใจว่ากษมาแสดงอารมณ์หงุดหงิด แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากเธอหรือเปล่า ทั้งที่ตนก็เพิ่งเข้ามาคงไม่ทำสิ่งใดให้ชายหนุ่มขุ่นเคืองหรอก...มั้ง
เมื่อคืนนอนครุ่นคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบจึงทำให้นอนดึกไปโดยปริยาย พอตื่นขึ้นมาพบว่าสายกว่าทุกวันถึงได้รีบเร่งไปซะทุกอย่าง ผมก็ไม่ได้มัดอาหารเช้าก็ไม่ได้กิน รีบคว้าถุงผ้าที่ป้าน้อยจัดไว้ให้แล้วเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ทันรถเมล์เที่ยวนี้อย่างรวดเร็ว
แต่กลายเป็นว่าถูกรั้งเอาไว้จากคุณผู้หญิงของบ้าน ที่เห็นหล่อนวิ่งด้วยความรีบ จึงนึกเห็นใจไหว้วานบุตรชายของตนให้ไปส่งหล่อนหน้าคณะ
“จะรีบไปเรียนเหรอลินน์”
“ค่ะคุณท่าน”
“ไปพร้อมตาก่อสิ ยังไงมหา’ลัยเราก็เป็นทางผ่าน...” หันมามองร่างสูงซึ่งทำหน้านิ่ง
คราวก่อนเขาไปส่งเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยตามคำขอของสาวเจ้า โดยหล่อนให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เพื่อนล้อ พอเขากลับมาคิดดูอีกครั้ง น่าจะมีคนไปส่งเธอบ่อยจึงกลัวเขาจะรู้มากกว่าว่าใช้ชีวิตเหลวแหลกมากแค่ไหน
นึกย้อนด้วยความหงุดหงิด จ้องมองดวงหน้าใสระคนโมโห แววตาเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต่างจากกษมาแสนอบอุ่นคนก่อน เขาแบ่งกำแพงกับเธออย่างชัดเจน จนหญิงสาวไม่กล้าก้าวเข้าใกล้
“ผมต้องรีบไปทำงานครับ คงไม่สะดวกรับส่งใคร ไปแล้วนะครับคุณแม่” ยกมือไหว้มารดาแล้วเปิดประตูรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็วไม่แลมาทางหล่อนด้วยซ้ำ ทำให้คุณภัทรศยาทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าลูกชายของตนจะทำเช่นนี้
“ลินน์ไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” เลิกสนใจร่างสูงแล้วยกมือไหว้เจ้าของบ้าน เท้าแทบจะติดไฟวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อไปถึงป้ายรถเมล์ หล่อนไม่อยากพลาดรถเที่ยวนี้แล้วต้องรออีกสามสิบนาที หากเป็นเช่นนั้นคงเข้าเรียนสายแน่นอน
โชคดีที่ตนมาทันเวลา อย่างน้อยก็ได้ขึ้นรถเมล์ถึงจะเบียดเสียดกับคนจำนวนมากก็ตาม นึกย้อนคิดถึงชายหนุ่มที่แปลกไปตั้งแต่เมื่อไหร่หล่อนก็ไม่ทราบ แววตาของเขายามจ้องมาที่เธอคล้ายจะดูแคลนอยู่ในที
“เป็นอะไรของเขา...อยู่ดีๆ ก็ทำเหมือนไม่ชอบหน้ากัน” พูดเสียงเบากับตัวเองแล้วส่ายหน้าไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป
เธอเริ่มสนใจกับการเรียนเพราะอยู่ในช่วงสุดท้ายของการศึกษา จึงตัดสินใจขอไปทำงานแค่สี่วันต่อสัปดาห์ จะได้เอาเวลาที่เหลือมาทำโปรเจคจบของตัวเอง เหลือเวลาแค่สองเดือนสุดท้ายอยากทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด
กลับจากมหาวิทยาลัยก็หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อพิมพ์งาน ต้องนำบทแรกไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาอ่าน แต่ตอนนี้เธอก็ทำบทสองไปเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ผ่านก็คงต้องกลับมาแก้ขนานใหญ่ จึงภาวนาให้ตัวเองผ่าน
นั่งพิมพ์งานหลายชั่วโมง มองนาฬิกาอีกทีพบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เธอจึงบิดขี้เกียจแล้วออกไปล้างหน้าแปรงฟัน หยิบจานอาหารของตัวเองออกไปล้าง พลันสายตาก็เหลือบมองม้านั่งตัวยาวข้างสวน ซึ่งเป็นที่ประจำของพวกเรา...
ไม่ใช่สิ ของกษมาต่างหาก
“คุณก่อนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอคะ” มองเห็นเขานั่งคนเดียวจึงได้ย่องมาจากทางด้านหลัง เอ่ยทักชายหนุ่มเพราะมีเรื่องสงสัยอยากเคลียร์ให้กระจ่าง
“เปล่า” เมื่อเห้นหน้าเธอก็รีบลุกยืนจะกลับห้องทันที แต่หญิงสาวกลับวิ่งเข้ามาเพื่อหยุดเขา ทว่าสะดุดขาเก้าอี้เกือบหน้าคะมำ จึงพยายามคว้าคนตรงหน้าเอาไว้ ลงท้ายที่เธอได้นั่งตักเขาโดยไม่ตั้งใจ สร้างความตระหนกแก่คนทั้งสองเป็นอย่างมาก
“เดี๋ยวค่ะคุณก่อ โอ๊ย”
หัวใจของหล่อนเต้นดังราวกับจะทะลุออกมานอกอก เผลอจ้องดวงหน้าคมในระยะประชิด แล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอกับความหล่อเหลาแสนร้ายกาจ ขณะที่ชายหนุ่มก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง แล้วเอ่ยเสียงเรียบเพื่อเป็นการปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์
“จะนั่งอีกนานไหม” เธอได้ยินอย่างนั้นก็รีบผุกลุกทันที
“ขอโทษค่ะ” กล่าวขอโทษพลางค้อมศีรษะให้เขา เห็นแววตากล่าวโทษก็พูดไม่ออก ขยับห่างร่างสูงแล้วเว้นระยะเอาไว้ นึกน้อยใจที่เขาทำตัวแปลกไปจากทุกวัน ขณะที่กษมากำลังจะเดินเข้าบ้าน เธอก็ไม่อาจกักเก็บความสงสัยไว้ได้
“ลินน์ทำอะไรให้คุณก่อโกรธหรือเปล่าคะ!”
ถามเสียงดังอย่ากล้าหาญ เดินไปหยุดตรงหน้าเขาพร้อมมองอย่างออดอ้อนวอนหลังจบคำถาม เธอลุ้นกับคำตอบแต่ชายหนุ่มกลับเงียบ จึงได้ขยายความตามที่ตัวเองคิด ไม่รู้ว่าเธอทำผิดอะไรจึงได้ถูกหมางเมิน
“หลายวันมานี้...ลินน์รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำอะไรให้คุณโกรธ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ลินน์ทำผิดบอกได้เลยนะคะ ลินน์จะได้แก้ไข” รอฟังคำตอบแต่กลายเป็นว่าเขาตัดบทอย่างรวดเร็ว พร้อมขีดเส้นความสัมพันธ์อย่างชัดเจน จนเธอนิ่งอึ้ง
“ไม่มีหรอก แค่อย่ามายุ่งกับฉันก็พอ” พูดจบก็เดินเข้าบ้านปล่อยให้หล่อนมองตามเขา ทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวยาวค่อยยกมือขึ้นกอดอกพูดกับตัวเอง
“ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่งสิ ไม่ได้อยากยุ่งด้วยสักหน่อย”