๓ ใส่ไฟ (๒)
เล่าถึงสามีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลันหัวเราะมีความสุขตอนที่ถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนแม่
การแต่งงานไม่ยากสักนิด แต่การประคองให้ความสัมพันธ์ราบรื่นต่างหากที่ยาก ต้องปรับหลายอย่างกว่าจะเป็นอย่างทุกวันนี้
“มีปัญหากับหนูส้มเหรอ” ถามด้วยความสงสัย
“เรื่องเล็กน้อยครับแม่ ผมน่าจะเครียดจากเรื่องงานด้วย ขอไปพักก่อนนะครับ” เขาส่ายหน้าทันที ไม่อยากให้เรื่องของตัวเองทำให้มารดาหนักใจไปด้วย
“ถ้ามีเรื่องอะไร...บอกแม่นะ”
“ครับ” พยักหน้าก่อนเดินขึ้นบนบ้าน
เหมือนว่าเขาจะรู้แก่ใจว่าควรตัดสินใจอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เพราะรู้สึกผิดที่ให้หญิงสาวรอนานขนาดนี้
แม้หมดรักแล้ว...ก็ยังเลือกคงสถานะเอาไว้เช่นเดิม
กระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้าง พลิกไปมาจนทนไม่ไหวต้องลุกนั่งพลางยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด งานก็หนักอยู่แล้ว กลับมาอยากพักผ่อนให้เต็มที่แต่ก็มักสะดุ้งช่วงกลางคืน มองรอบห้องมืดที่กว้างขวางด้วยแววตาว่างเปล่า
“ทำไมนอนไม่หลับเลยวะ แปลกที่เหรอ...นี่บ้านมึงนะ”
สุดท้ายก็ตัดสินใจสวมสลิปเปอร์แล้วลงมาข้างล่าง การนั่งมองพระจันทร์ถือเป็นงานอดิเรกยามค่ำคืนของตนไปเสียแล้ว หากเขาวาดรูปสวยคงได้เอากระดาษมากางแล้วบันทึกภาพตรงหน้าด้วยปลายดินสอ
ทว่าฝีมือในการวาดรูปของตนห่วยแตกสิ้นดี จึงทำเพียงนั่งมองด้วยตาเปล่า ซึบซับภาพตรงหน้าเอาไว้เพื่อกล่อมตัวเองให้ง่วง
“คุณก่อนอนไม่หลับเหรอคะ”
เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เขาเหลียวกลับไปมอง พบหลานสาวของป้าน้อยที่อยู่ในชุดไปรเวท หล่อนน่าจะเพิ่งกลับมาถึงบ้านเพราะออกไปทำงานหาเงินถึงดึกดื่น
เคยถามคุณภัทรศยาว่าอีกฝ่ายทำงานอะไร เหตุใดจึงกลับบ้านเที่ยงคืนแทบทุกวัน ก็ได้คำตอบว่าเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร เข้าใจในทันทีไม่ได้ถามต่อ นึกสงสารที่ผู้หญิงตัวเล็กยังเรียนไม่จบก็ต้องหางานเพื่อส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว
แกร่งเกินตัวจริงๆ
“ใช่ เป็นอะไรไม่รู้ เหนื่อยจากงานนะแต่นอนไปก็สะดุ้งตื่นตลอด” ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เธอจึงเดินมานั่งข้างเขา มองจันทร์บนฟ้าแล้วนึกบางอย่างออก จึงกระแอมแล้วค่อยหันไปถามความคิดเห็นของอีกฝ่าย
“ให้ลินน์ร้องเพลงให้ฟังไหม”
“ช่วยได้เหรอ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ลองดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือคะ อยากฟังหน่อยไหมจะร้องให้ฟัง”
“ลองดูสิ” เมื่อเขาอนุญาตเธอก็ยืดกายนั่งตัวตรง เริ่มร้องเพลงที่ฟังมาตั้งแต่เด็กเพื่อขับกล่อมคนที่นอนไม่หลับให้หลงใหลไปกับเสียงหวานไพเราะ
กลายเป็นว่าดวงตากลมจ้องมองลินน์ไม่ขลาดสายตา ราวตกตะลึงกับความสามารถของหล่อนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหญิงสาวจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้
“จันทร์คืนแรมวับแวมอยู่บนปลายฟ้า คงล้าอ่อนแรงทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง คืนเหงามันเศร้ามันซึมในทรวง จันทร์เพียงครึ่งดวงคล้ายจันทร์เจ้ารอใคร จันทร์คืนแรมวับแวมมีเพียงครึ่งใบ คงดังกับใจฉันที่มีเพียงครึ่งดวง คอยรักที่จะเติมเต็มในทรวง โอ้ใจครึ่งดวงเฝ้ารอมาเนิ่นนาน”
ทอดเสียงหวานจนเขาตกอยู่ในภวังค์ หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงเธอไม่ได้หันมาสบตาและมีความสุขกับการร้องเพลง แต่ก็ทำให้ผู้ชายคนนี้หลงใหลได้ไม่ยาก เสน่ห์บางอย่างในตัวของลินน์เรียกความสนใจจากเขาได้อยู่หมัด
“จันทร์เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า จะมีน้ำตาหลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม ความรักมันช่างห่างไกลแสนไกล ไม่รู้วันไหน หัวใจถึงจะเต็มดวง คงมีวันที่จันทร์เจ้าจะเต็มใบ แต่ว่าหัวใจฉันจะมีไหมวันนั้น หรือรักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้นวันที่ใจเต็มดวง”
เพลงที่เขาไม่เคยได้ยินถูกร้องจนจบ ชายหนุ่มยังคงเงียบจนเธอเกรงว่าเขาจะหลับจึงหันมามอง ก่อนพบดวงตาเรียวที่จดจ้องนิ่ง เล่นเอาร่างบางขวยเขินรีบหันหน้าหลบไม่กล้าจะสบสายตา ก่อนกระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกสติคนข้างกายให้กลับมา เขาจึงได้พูดชื่นชมนักร้องชั่วคราวที่เอ่ยเอื้อนถ้อยวาจาได้ลึกซึ้งกินใจ
“เธอร้องเพลงเพราะมาก” ชมจนร่างบางแทบตัวลอย รับคำเสียงเบาแล้วก้มหน้างุดไม่กล้าจะสบตาเขา
“ขอบคุณค่ะ”
“ฉันขึ้นไปนอนดีกว่า ถ้านั่งดึกกว่านี้กลัวจะตื่นไปทำงานสาย” เขารู้ตัวว่าถ้านั่งนานกว่านี้จะไม่เป็นการดีต่อหัวใจของตัวเอง จึงรีบลุกแล้วขอตัวเข้านอน ปล่อยหญิงสาวให้นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง แต่เธอก็ไม่วายโบกมือลาแล้วยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ” เผลอจ้องดวงหน้าหวานนิ่ง ราวตกอยู่ในมนต์สะกดทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ เพราะเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตน...
“ฝันดีเหมือนกัน” ตอบรับคำของหล่อนแล้วบอกกลับ ก่อนเดินเข้าบ้านหลังงามปล่อยลินน์นั่งอยู่คนเดียว ขณะที่ยกมือทาบทับตำแหน่งหัวใจที่เต้นแทบทะลุออกมานอกอก สั่งห้ามความรู้สึกไม่ให้เพ้อฝันไปมากกว่านี้
“แค่นี้ก็พอแล้วลินน์ อย่าคาดหวังอะไรไกลเลย”
ลุกยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าห้องของตัวเองบ้าง ไม่รู้เลยว่าใครบางคนกลับเข้ามาในห้องก็ค้นหาเพลงที่หล่อนร้องให้ฟัง
“เพลงอะไรนะ เพราะดี...” คืนนั้นเขานอนฝันถึงหลานแม่บ้านที่มาร้องเพลงกล่อมข้างหู ทำให้ค่ำคืนที่แสนยาวนานกลับสั้นลง ตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
น่าประหลาดเหลือเกิน...
วันหยุดที่อยากพักอยู่บ้านกลับถูกแฟนลากออกมาข้างนอก ไปสังสรรค์กับเพื่อนของเธอยามเย็น ถึงจะปฏิเสธแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของหญิงสาวได้ ไหนจะมารดาที่เห็นด้วยกับความคิดของตวิษา บอกลูกชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้ออกมาข้างนอกกับหล่อน
เขาคิดว่าเธอน่าจะไปดินเนอร์ที่ดาดฟ้าของโรงแรม หรือล่องเรือดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืน ทว่ากลับถูกพาเข้ามาในผับที่ผู้คนเบียดเสียด เสียงเพลงดังสร้างความรำคาญแก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก หน้าบึ้งตั้งแต่เดินเข้าจนมานั่งที่โต๊ะ
“พาผมมาที่นี่ทำไม” เสียงเพลงดังจนเขาต้องโน้มเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ ไม่ชอบแสงไฟสีเข้มมองแทบไม่เห็นผู้คน ชั้นล่างเป็นโต๊ะแบบยืนซึ่งถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ชั้นสองค่อนข้างเป็นสัดส่วนแต่ทุกโต๊ะก็มีเจ้าของเช่นกัน ไม่มีโต๊ะไหนว่างเลย
ร้านนี้คงดังมาก คนถึงได้แน่นตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม
“มาสนุกกันไงคะ ตั้งแต่คุณกลับไทยก็ทำงานอย่างเดียวไม่เคยเที่ยวกับส้มเลยสักครั้ง คราวนี้เรามาสนุกด้วยกันดีกว่านะก่อ” นักข้างเขาแล้วยกแก้วเครื่องดื่มจ่อปากหยัก ร่างสูงพยายามเบี่ยงหลบแต่สุดท้ายก็ต้องยอมดื่มตามที่หล่อนคะยั้นคะยอ
“เฮ้อ ผมขอนั่งอย่างเดียวนะ” แต่ดื่มไปแค่แก้วเดียวก็ต้องขอโบกมือลา เขาไม่อยากเมาจึงได้วางแก้วลงที่โต๊ะ
“ค่ะ” ซึ่งคราวนี้หล่อนก็ไม่ได้ขัด ยอมตามใจแต่โดยดีแล้วนั่งอิงแอบกับร่างสูงแทบจะหลอมรวมเป็นคนเดียวกัน ใบหน้าคมบอกบุญไม่รับ รู้สึกเบื่อหน่ายอยากกลับบ้าน มองทางนั้นทีทางนี้ทีก่อนจะสะดุดกับหญิงสาวที่คุ้นหน้าค่าตา
จึงเพ่งมองให้แน่ใจว่าเธอใช่คนที่ตนรู้จักหรือเปล่า...
หุ่นสะโอดสะองในชุดเดรสสายเดี่ยวรัดรูปสั้นเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ผมยาวปล่อยสยายปลายดัดลอนสวยงาม แต่งหน้าจัดเต็มจนทิ้งเค้าหน้าเดิม ทว่าเขายังจำเธอได้เป็นอย่างดี
“เอ๊ะ นั่นมันเด็กบ้านคุณหรือเปล่าคะ”
“ลินน์” พึมพำพูดกับตัวเองเสียงเบา ไม่ได้ตอบตวิษาที่ถามอย่างสงสัยแม้ในใจจะรู้เต็มอกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร หล่อนซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ดวงหน้าใสซื่อ แล้วเริ่มแผนการที่เตรียมเอาไว้ โดยสุมไฟใส่คนที่แสนชังน้ำหน้าแต่แรกเห็น
“อุ้ย เป็นเด็กนั่งดริ้งซะด้วย ตอนอยู่บ้านดูหงิมๆ ไม่คิดเลยนะคะว่าจะแพรวพราวขนาดนี้” กระซิบกับเขาอย่างสนุกสนาน แต่ร่างสูงกลับนิ่งอึ้งไม่สามารถโต้ตอบกลับมาได้ ทำเพียงเหม่อมองเพื่อให้แน่ใจว่าเธอใช่สาวใสซื่อคนเดียวกับที่เขาเจออยู่บ้าน
ลินน์ผู้มีรอยยิ้มหวานแสนบริสุทธิ์คนนั้น...ทำไมถึงได้แตกต่างจากหญิงจัดจ้านตรงหน้าราวคนละคร
เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ
“มองอะไรกันเหรอ” ผู้ชายที่เขาจำได้ว่าคือหนึ่งในเพื่อนสนิทของตวิษาเข้ามาทักทายคนทั้งสอง แล้วยื่นแก้วไปชนกับหญิงสาวหน้าตาเฉย ก่อนมองตามสายตาของกษมา ค่อยยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยถึงสาวสวย
“อ้อ ลินน์...คนนี้อย่างเด็ด” แค่เปิดเรื่องก็เรียกความสนใจจากร่างสูงได้เป็นอย่างดี
“นายรู้จักเหรอ”
“ใครก็รู้จักทั้งนั้นแหละ ของดีประจำผับเลยนะจะบอกให้ โปรยเสน่ห์จนคนเขาหลงกันหมด ถ้าอยากนอนด้วยต้องจ่ายหนัก หน้าตาใสซื่อแต่เขาบอกกันว่าเรื่องบนเตียงเด็ดอย่าบอกใคร ฉันก็อยากลองแต่เสียดายสู้ราคาไม่ไหว”
มือหนากำเข้าหากันไม่รู้สึกตัว ค่อยเอื้อมไปหยิบเหล้ามาดื่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธมาตลอด ตวิษาเห็นอย่างนั้นก็ค่อนข้างไม่ชอบใจ รู้ทันทีว่าแฟนของตัวเองกำลังคิดไม่ซื่อกับหลานสาวแม่บ้าน จึงส่งสัญญาณกับเพื่อนให้ทำตามแผน
“ข่าวมั่วหรือเปล่า”
“มั่วอะไรล่ะ เขาพูดกันให้ทั่ว เธอเองก็เห็นกับตาไม่ใช่เหรอ”
“อย่างนี้ถ้าอยู่บ้านคุณต้องระวังตัวหน่อยนะ ส้มไม่ไว้ใจเลย” หันมากอดแขนเขาเอาไว้แน่นแล้วทำหน้ากังวล กษมาก็พยักหน้ารับ รู้สึกว่าตัวเองตาสว่างเกือบหลงคารมไปกับคนหน้าซื่อใจคด ลอบมองหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลุกยืนเต็มความสูง
“เข้าใจแล้ว”
“ก่อจะไปไหนคะ” รีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พรุ่งนี้ผมมีงานเช้า อยู่ดึกไม่ได้...เรากลับกันเถอะ” ชวนเธอกลับทันทีแต่คนที่เพิ่งมาไม่ถึงสามสิบนาทีกลับอิดออด เธอไม่คิดจะกลับตอนนี้เพราะต้องรอชายอีกคนที่นัดเอาไว้ ถึงได้หาข้ออ้างอย่างรวดเร็วเพื่อปฏิเสธ
“คุณกลับก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวส้มให้เพื่อนไปส่งที่บ้าน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกผมด้วย” นึกเป็นห่วงเพราะอย่างไรหล่อนก็ผู้หญิง ทว่าเขาไม่อยากอยู่ในสถานบันเทิงแห่งนี้อีกแล้ว ไม่ต้องการมองลินน์บริการแขกขัดกับภาพลักษณ์ที่เขาพบยามอยู่บ้าน
ทำงานเสิร์ฟงั้นหรือ...โกหกทั้งเพ!
“ค่ะ”
โบกมือลาแฟนหนุ่มแล้วนั่งลงที่เดิม เธอหยิบเครื่องดื่มมากรอกเข้าปากจนหมด แล้วคุยกับเพื่อนชายที่ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะรับเงินค่าจ้างจากการพูดเรื่องแต่งให้เป็นไปตามความต้องการของสาวข้างกาย
“เธอให้ฉันใส่ไฟลินน์ทำไม เขาเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ...” ถึงบางครั้งจะรับงานดื่มแต่ก็ไม่เคยเกินเลยหรือรับงานนอก ถือเป็นเด็กขยันคนหนึ่งก็ว่าได้ ปฏิเสธชัดเจนถึงจะมีเสี่ยหลายคนอยากเลี้ยงดูอุ้มชู แล้วเหตุใดตวิษาถึงได้บอกเขาให้พูดไปอีกทาง
ซึ่งเป็นด้านลบทั้งนั้น
“เรื่องของฉัน นี่เงินค่าจ้าง พูดถูกใจฉันมาก” นับเงินอย่างมีความสุขแล้วรีบเก็บใส่กระเป๋า ยกยิ้มมุมปากนึกสนุกไม่สนใจว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
“สงสัยยัยนั่นเหยียบหางเธอเข้าสินะ”
“ฉันไม่ใช่หมา!!”
“คิดจะมาแย่งผู้ชายของฉัน...ฝันไปเถอะนังบ้านนอก”
จ้องมองคนที่ยิ้มจืดเจื่อนบริการผู้ชายวัยกลางคนก็นึกสะใจ ต่อจากนี้กษมาคงไม่เข้าใกล้หลานคนใช้อีกเป็นแน่ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองว่าคนใส่ซื่อมักมากแค่ไหน
“ส้ม”
“บอล มาแล้วเหรอคิดถึงคุณจังเลยค่ะ” เสียงเรียกพร้อมอ้อมกอดจากผู้ชายที่เธอกำลังคบหาดังขึ้นด้านหลัง หญิงสาวโผเข้ากอดเขาทันทีด้วยความคิดถึง
ระหว่างที่กษมาไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้เธอเหงาและเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างมาก จึงได้หาคนคุยแก้เหงาจนสุดท้ายก็เลยเถิด แอบนอกใจแฟนหลายต่อหลายครั้งทว่าเขาก็ไม่เคยจับได้ ถึงจะหมดรักแฟนที่คบกันมากว่าเก้าปีก็ต้องทนต่อไป
เพราะมารดาสั่งเอาไว้ว่าคนที่จะมาเป็นลูกเขยของท่าน...มีเพียงคนเดียวคือลูกชายของบ้านปัณณทัต
ที่สำคัญเขาเหมาะสมกับเธอทุกประการ สามารถเอาไปอวดเพื่อนได้...ถึงจะไม่ได้รักอีกฝ่ายแล้วก็ตาม
“คุณส้ม...” พ้นจากชายชีกอก็ถอนหายใจหนัก รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นเด็กเสิร์ฟเพราะรุ่นพี่ที่เข้างานสายมาผลัดเปลี่ยนเวรพอดี ก่อนที่เธอจะทนไม่ไหวแล้ววีนลูกค้า
ลินน์หยุดชะงักเมื่อเห็นคนที่คุ้นเคยเดินผ่านหน้า พร้อมกับผู้ชายที่โอบกอดสาวสวยเอาไว้ แสดงออกชัดเจนว่าไม่ใช่เพื่อนธรรมดา
เห็นกับตาคราวนี้เธอจะทำอย่างไร ควรบอกความจริงให้กษมารู้หรือไม่...