๔ คืนปล่อยใจ (๒)
จากนี้ไปเธอจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับความสัมพันธ์ของเขาและแฟนอีกแล้ว!
หลายวันต่อมาระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน คุณภัทรศยาก็นึกเป็นห่วงบุตรชายจึงถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พรุ่งนี้แม่กับพ่อจะไปเที่ยวที่ฮ่องกงสามวัน ก่ออยู่คนเดียวได้หรือเปล่า”
พวกท่านตกลงกันว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศกับกลุ่มเพื่อน แต่ก็ยังเป็นห่วงลูกชายที่อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียว ทำให้เขาหลุดหัวเราะทันที ไม่คิดว่าคำนี้จะออกมาจากปากของมารดาที่ส่งลูกชายไปต่างประเทศคนเดียวหลายปี
“คุณแม่ครับ ผมสามสิบนะครับไม่ใช่สามขวบ ทำไมจะอยู่คนเดียวไม่ได้ล่ะ เชิญคุณแม่กับคุณพ่อไปฮันนีมูนกันตามสบาย” ท่านได้ยินอย่างนั้นก็รีบขัดด้วยความขวยเขิน อายุปูนนี้แล้วจะบอกว่าฮันนีมูนก็ไม่ถูกนัก
“ฮันนีมูนที่ไหน ไปกับเพื่อนเป็นโขยง เป็นทริปไหว้พระ...แม่กะจะไปขอให้ท่านดลใจลูกชายรีบแต่งงานสักที แม่จะได้อุ้มหลาน” พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ทำตัวไม่ถูก ยังไม่คิดจะขอตวิษาแต่งงานและคิดว่าหญิงสาวก็ยังไม่พร้อมเช่นเดียวกัน
ความสัมพันธ์ของเราจะไปได้ไกลแค่ไหนยังไม่รู้เลย...
“เรื่องนั้นไม่ต้องขอหรอกครับ”
“ลูกจะขอหนูส้มแต่งงานเหรอ” วางช้อนส้อมลงด้วยแววตาเป็นประกาย อยากจัดงานแต่งมานานแล้ว ขอเพียงแค่บุตรชายเอ่ยปากก็พร้อมจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ทันที ตวิษาเองก็มีหน้ามีตาในสังคม มารดาเป็นถึงหม่อมหลวงส่วนบิดาก็รั้งตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง จึงต้องตระเตรียมสินสอดเอาไว้แต่เนิ่นๆ
“ยังครับ ยังไม่มีความคิดนั้นเลย” ไม่อยากให้ท่านวาดฝันไปไกล เขาจะแต่งงานกับเธอหรือเปล่าก็ยังไม่มั่นใจ
“ทำไมล่ะ คบกันมาตั้งเก้าปี ตอนลูกไปเรียนไปทำงานถึงระยะทางจะห่างกันแต่หนูส้มก็ยังสม่ำเสมอกับลูกไม่ใช่เหรอ แม่ว่าปล่อยผู้หญิงรอนานไม่ดีนะ” คราวนี้อาหารเริ่มไม่อร่อย หันมาสนใจบุตรชายที่ดูทีท่าจะอยู่ในช่วงสับสน
“ขอผมทำงานอีกสักปีนะครับ”
“ตอนนั้นหนูส้มก็สามสิบเอ็ด ผู้หญิงมีลูกตอนอายุมากไม่ค่อยดี...” ท่านเองก็อายุมากแล้วจึงอยากมีหลานได้โอบอุ้มเลี้ยงดู แต่ดูท่าลูกชายไม่ใคร่จะทำตามความต้องการของท่านสักเท่าไหร่
“คุณแม่...” กำลังจะพูดปฏิเสธแต่บิดาที่เงียบมานานก็ต้องปรามภรรยาของตัวเอง
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของลูกเถอะคุณ”
ท่านไม่อยากไปบังคับหรือจำกัดบุตรชายว่าอายุเท่านี้ต้องทำงาน อายุเท่านี้ต้องแต่งงาน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของชายหนุ่มทั้งสิ้น ไม่มีใครไปกะเกณฑ์ได้
“ฉันอยากอุ้มหลานนี่คะ เจอหน้าแม่หนูส้มทีไรก็ถามตลอดเลยว่าเราจะได้ดองกันเมื่อไหร่ ฉันตอบอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มอย่างเดียว” ยามเจอหน้ากับมารดาของตวิษาก็ทำได้แค่ยิ้มยามถูกถามถึงฤกษ์แต่งงาน เพราะเลี้ยงลูกแบบตามใจจึงไม่อยากไปบังคับมากนัก
“งั้นคุณแม่ก็ช่วยยิ้มไปอีกสักพักนะครับ” รวบช้อนส้อมก่อนดื่มน้ำ แล้วเดินขึ้นบนห้องไม่สนใจจะพูดเรื่องนี้อีก คุณภัทรศยาจึงมองตามพลางเรียกอีกฝ่ายเสียงดัง
“ตาก่อ!”
“อิ่มแล้วผมขอขึ้นห้องก่อนดีกว่า เที่ยวให้สนุกนะครับ” ไม่หันมามองทำเพียงพูดให้ท่านได้ยินแล้วก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อเข้าห้องนอน สองสามีภรรยาจึงนั่งพูดคุยถึงเรื่องนี้ด้วยความสงสัย ว่าทำไมกษมาถึงได้ปล่อยเวลาล่วงเลย
ไม่ยอมไปขอแฟนสาวแต่งงานสักที...หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่
หลังเลิกงานก็พบแฟนสาวที่นั่งคอยท่า จึงต้องไปเดินห้างสรรพสินค้าเป็นเพื่อนหล่อน ซื้อของที่เหมือนกับสัปดาห์ก่อน ค่อยไปรับประทานอาหารร้านหรูที่ค่าอาหารตกคนละสองหมื่นบาท เล่นเอาเขาเหงื่อแตกแต่ก็ยอมจ่ายโดยดี
ยิ่งทำงานการเงินยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น กษมาไม่ค่อยอยากกินข้าวนอกบ้าน เพราะแม่บ้านก็ทำอาหารอร่อย เสียเงินจ้างรายเดือนหลายบาทก็เลยอยากกินให้คุ้ม วันหนึ่งถ้าไม่รวมค่าน้ำมันก็ใช้เงินให้อยู่ในงบไม่เกินสองพันบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากในบรรดาเพื่อน
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาประหยัดเกินไป ทว่าความจริงเขาก็แค่เก็บเงินไปลงทุนกับสิ่งที่ชอบอย่างนาฬิกาเรือนล่ะล้าน ที่นับวันมูลค่ายิ่งเพิ่มขึ้นไม่เคยลดลง ถ้าวันไหนไม่ชอบก็ขายได้กำไรอีกด้วย
“เสร็จจากกินข้าวเราไปที่ผับต่อไหมคะ เพื่อนส้มอยู่ที่นั่นเยอะเลย ยัยกิ๊บทักบอกไม่หยุดว่าให้รีบมา แต่ถ้าไปคนเดียวก็เหงาแย่ คุณไปกับส้มได้ใช่ไหม" กอดแขนหนาแล้วอ้อนชวนเขาไปอวดเพื่อนว่าพวกเรายังคงคบกัน
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะคบกับอีกฝ่ายได้นานถึงเก้าปี ตอนเขาไปต่างประเทศเธอก็ติดต่อกษมาแค่เดือนล่ะครั้งสองครั้งพอให้มั่นใจในสถานะ ส่วนตัวเองก็ไปสนุกกับคนอื่น รอคอยเขากลับไทยค่อยกลับมาอยู่ในโอวาทเหมือนเดิม
แต่ไม่คิดว่าตนจะเจอชายอีกคนที่ค่อนข้างถูกใจ เสียดายที่ฐานะด้อยกว่ากษมา จึงคิดว่าจะให้เป็นแค่คนแก้เหงา
“ส้มไปเถอะ ผมอยากพัก”
“พักอะไรนักหนา งานก็ไม่ใช่ว่าจะหนักนี่คะ อย่าทำตัวเป็นฤๅษีจำศีลชอบอยู่ในถ้ำนักเลย หรือความจริงคุณอยากกลับบ้านเพราะนังนั่น” เขาเหนื่อยเกินกว่าจะไปสังสรรค์ การไปเรียนที่ต่างประเทศและทำงานหลายปี ทำให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
จากเมื่อก่อนที่สังสรรค์ทุกคืนไปเที่ยวกับเพื่อนทุกทริป แต่เดี๋ยวนี้กลับชอบอยู่บ้านไม่อยากออกไปไหน ต่างจากตวิษาซึ่งติดสังคม
“เดี๋ยวผมไปกับคุณเอง” ตัดปัญหาเมื่อหล่อนกำลังจะเอ่ยถึงลินน์ เขาไม่อยากหาเรื่องชวนทะเลาะให้เหนื่อยเปล่า แล้วตนก็ต้องเป็นคนง้อเหมือนเดิม
ขับรถมาที่คลับเปิดใหม่ที่ผู้คนไม่ค่อยเบียดเสียด จองห้องส่วนตัวเอาไว้ทำให้เขาพอหายใจสะดวกบ้าง เพื่อนทุกคนต่างปรบมือต้อนรับด้วยความดีใจเมื่อเห็นคนมาใหม่ เขาก็ยิ้มทักทายเพื่อนของหล่อนตามมารยาท
“คู่รักสุดฮอตมาแล้ว”
“มาดื่มหน่อย อ่ะๆ แจกจ่ายๆๆ วันนี้ไม่เมาไม่กลับ!” แค่เดินเข้ามาก็ได้รับแก้วสีอำพันไว้ในมือ ถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มจนต้องกรอกรวดเดียวหมดปาก
เสียงเพลงดังสนั่นห้องพร้อมกับการโยกย้ายส่ายสะโพกของกลุ่มเพื่อน ร่างหนาถูกดังตัวไปคุยแล้วชวนดื่มโดยเขาไม่รู้ตัว เพราะอีกฝ่ายกำลังสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินและเศรษฐกิจที่ชายหนุ่มสนใจเป็นพิเศษ
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เมาจนลืมตาแทบไม่ขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าดื่มไปเท่าไหร่ แต่เยอะพอสมควรจนตัวเองอ่อนแรง กระนั้นแฟนสาวก็ยังเข้ามาคะยั้นคะยอไม่เลิก พร้อมจับแก้วยื่นจ่อริมฝีปากเขา
“ดื่มเยอะๆ เลยค่ะ”
“ผมไม่ไหวแล้วส้ม...ขอกลับก่อนได้ไหม” ส่ายหน้าทันทีด้วยอาการมึนศีรษะ เขาแทบจะลุกไม่ไหวด้วยซ้ำแต่ก็ยันกายยืนจนได้ คนในห้องไม่มีใครสนใจพวกหล่อนเพราะสนุกกับเพลงที่เปิด ไหนจะเครื่องดื่มสั่งมาเพิ่มไม่มีขาด รวมทั้งบารากู่ที่ดูดกันจนควันโขมง
เขาต้องการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
“ค่ะ ตามใจคุณเถอะ ส้มไม่กลับนะคะ อยากอยู่กับเพื่อน”
“อือ” เมื่อหล่อนพูดอย่างนั้นก็ไม่อยากเซ้าซี้ ตัดสินใจเดินออกจากคลับเพื่อไปโบกแท็กซี่ คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยให้คนมาขับรถของตนกลับบ้านก็ได้ เขาไม่อยากขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ
ปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด...
แม่บ้านที่ว่างจากงานพากันออกไปเที่ยวเดินตลาดนัดไม่มีใครอยู่บ้านสักคน เห็นบอกว่ามีหนังกลางแปลงฉายที่วัดเพราะมีคนไปบนแล้วได้สำเร็จตามคำขอ ส่วนมากเป็นหนังเก่าหาดูไม่ได้ คนรุ่นป้ารุ่นน้าจึงลากกันไปดู เหลือเพียงหญิงสาวอยู่บ้านหลังงามคนเดียว...ไม่รวมคุณลุงที่นั่งเฝ้าป้อมด้านหน้าไม่ยอมไปไหน
แท็กซี่ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านตามที่ชายหนุ่มบอก เธอกำลังรอลูกชายเจ้าของบ้านก็เดินตรงมาด้วยความฉงน ไม่เห็นรถของกษมาในโรงจอด คิดว่าเขาขับออกไปข้างนอกซะอีก แล้วทำไมถึงมาแท็กซี่ได้ล่ะ
“เอ่อ...” คนขับเดินลงมาอย่างหัวเสีย พร้อมเปิดประตูด้านหลังก่อนจะดึงกึ่งลากคนที่นั่งข้างในให้ลงมา ไม่วายหันมามองหล่อนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“มาช่วยหน่อยคุณ เขาเมามากเกือบจะอ้วกใส่รถผมหลายรอบแล้ว”
“ค่ะ” เข้าไปประคองร่างสูงอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ตัวหนักจนเธอเซต้องรับน้ำหนักคนเดียวเพราะแท็กซี่ได้ขับรถออกไปเป็นที่เรียบร้อย หล่อนจะเรียกให้ใครช่วยก็ไม่ได้เพราะคนในบ้านไม่มีใครอยู่สักคน พอเจ้านายไปเที่ยวก็ร่าเริงกันเลย
“คุณก่อคะ ทำไมเมาแบบนี้ล่ะ...คนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วยสิ เฮ้อ คุณก่อค่อยๆ ขึ้นบันได...ลินน์ว่าไปลิฟท์ดีกว่าค่ะ” หล่อนพยายามประคองไม่ให้เขาล้มแล้วพาไปขึ้นลิฟท์ที่ซ่อนตัวอย่างแนบเนียนทางด้านซ้ายของบ้าน
ส่วนมากคนที่ใช้จะเป็นคุณผู้หญิงคุณผู้ชายที่ห้องอยู่ชั้นสามจึงไม่อยากเดินขึ้นบันไดให้เมื่อยเข่า คราวนี้คงต้องพากษมาโดยสารทางนี้ ดีกว่าเดินขึ้นบันได้สามสิบขั้นแล้วกลิ้งตกลงมาทั้งสองคน ดูจากสภาพแล้วชายหนุ่มไม่น่าเดินไหว
“เฮ้อ! ตัวหนักชะมัด” ออกจากลิฟต์ก็พาเขาเข้าห้องอย่างทุลักทุเล ค่อยโยนร่างหนาลงบนเตียงแล้วปาดเหงื่อระหว่างหอบหายใจถี่ ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายดื่มหนักขนาดนี้มาก่อน ไปโดนตัวไหนมาก็ไม่รู้จึงได้อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เช่นนี้
พอถึงเตียงนุ่มก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจัดที่จัดท่านอนของตัวเองได้ พลิกกายไปหนุนหมอนพลางหลับตาพริ้ม ไม่รู้เลยสักนิดว่าสร้างความหนักใจให้หล่อนมากแค่ไหน
เธอเห็นอย่างนั้นก็นึกสงสารจึงเดินไปหยิบผ้าขนหนูไปชุบน้ำให้หมาด ค่อยมาเช็ดตามใบหน้าให้เขาจะได้สบายตัว ถึงไม่ได้อาบน้ำก็ขอให้ร่างกายได้ผ่านน้ำหน่อยเถอะ
“เธอมันนางมารร้าย เจ้ามารยา!” ระหว่างที่ลินน์กำลังเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้เขา ข้อมือเล็กกลับถูกคว้าเอาไว้พลางบีบแน่น คนเมาเผลอผรุสวาทออกมาซึ่งเธอไม่รู้ว่าเขากำลังกล่าวถึงใคร จึงพยายามแกะมือนั้นออกด้วยใบหน้าเหยเก
บีบแรงชะมัด...
“ลินน์แค่จะเช็ดตัวให้ค่ะ ปล่อยก่อนนะคะ...”
“ไม่เช็ด!” ปัดผ้าขนหนูออกห่างแล้วจับเธอขึ้นมาบนเตียง หญิงสาวตกใจจนเผลอร้องเสียงดังแล้วพยายามเรียกคนเมาให้ฟื้นคืนสติ
“ว้าย! คุณก่อ! คุณเมามากแล้วนะ อื้อ” พลิกกายหนาขึ้นทาบทับบนเรือนร่างแบบบางอย่างรวดเร็ว โน้มใบหน้าปิดปากเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ลินน์ได้ร้องให้รำคาญหู ดวงตากลมเบิกกว้างไม่คิดว่าจะถูกรังแก จึงพยายามดิ้นรนขัดขืน จนเขายอมผละจากปากอวบอิ่ม แล้วถามเสียงสั่น
“เป็นของคนอื่นได้ ทำไมจะเป็นของฉันไม่ได้...มั่วมานักต่อนักแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันซื้อเธอ ฉันจะซื้อเธอเอง”
คนฟังงงเป็นไก่ตาแตกไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใครกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะถามให้รู้ความ เขาก็ปิดปากหล่อนเสียก่อน
อย่างคนเอาแต่ใจ...
“พูดบ้า อื้อ คุณก่อ...” มือบางทาบทับที่อกกว้าง สัมผัสได้ถึงหัวใจของเขาที่เต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเธอเช่นกัน พลันอาการขันขืนก็แปรเปลี่ยน
เป็นยินยอมด้วยความหลงใหล และเต็มใจที่จะเป็นของชายหนุ่ม
แม้รู้ว่าการกระทำครั้งนี้ผิดก็ตาม!