๒ ยังไม่ทันจะรักก็อกหักซะแล้ว (๒)
“เปล่าค่ะ”
เขายกยิ้มไม่คิดอะไรมาก แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวเดิม พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นึกหงุดหงิดตัวเองที่ทำงานเหนื่อยแต่พอหัวถึงหมอนก็นอนไม่หลับ จนต้องลงมาเดินเล่นชื่นชมบรรยากาศยามเย็น กล่อมตัวเองให้ง่วงนอน
ถ้าออกกำลังกายก็กลัวเหงื่อออกจนเหนียวเหนอะหนะตามตัวต้องอาบน้ำอีกรอบ เพราะคิดว่าถ้าร่างกายถูกน้ำก็คงตาสว่างเหมือนเดิม
ส่วนการกินยาคือทางเลือกสุดท้าย เขาไม่ชอบการตื่นเช้าในเช้าวันถัดไปด้วยอาการสะลึมสะลือเหมือนคนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม
“คุณก่อมาทำอะไรแถวนี้เหรอคะ” จากที่คิดจะก้าวเข้าห้องนอนของตนก็เปลี่ยนเส้นทางเลือกเดินมานั่งข้างเขา เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ทาบทับด้วยสีทะมึน จันทร์เสี้ยวลอยเด่นโดยที่ไม่มีดาวให้เห็นสักดวง ไม่เหมือนบ้านเกิดของหล่อนที่ดาวเต็มท้องฟ้า
“นอนไม่หลับ เลยว่าจะลงมานั่งเล่นให้ง่วงค่อยขึ้นไปนอน ไม่รู้ว่าเพราะไปอยู่เมกานานหรือเปล่ากลับไทยเลยยังไม่ชิน แต่นี่ก็เกือบสองสัปดาห์แล้ว...ฉันยังนอนไม่ค่อยหลับเลย ใช้ยาช่วยให้หลับตื่นมาก็เพลีย” ตอบตามความจริงแล้วก็นึกหงุดหงิด
ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไรกับอาการนอนไม่หลับของตัวเอง จะว่าแปลกที่ก็ไม่น่าใช่เพราะเขาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้มาหลายสิบปี คงเครียดจากงานที่ทำส่งผลให้นอนไม่หลับ หรือเป็นที่การใช้ชีวิตประจำวันของตนก็ไม่อาจทราบ
กษมาจนปัญหาจะหาเหตุผล อยากไปหาหมอแต่ก็ไม่มีเวลางาน ตารางเต็มตลอดทั้งสัปดาห์ จึงได้ปล่อยผ่านแล้ววิเคราะห์อาการด้วยตัวเองไปพลางๆ
“ลองฟังเพลงไหมคะ อย่างโมสาร์ทหรือชูเบิร์ท อาจทำให้หลับ” ยกตัวอย่างเพลงของศิลปินชื่อดัง ซึ่งทุกคนรู้จักดี แต่เพลงเหล่านั้นไม่ตรงกับเทสของหล่อนเท่าไหร่ ฟังทีไรมักจะชวนหลับเสมอ ต่างจากกษมาที่แววตาเป็นประกายยามได้ยินชื่อศิลปินคนโปรดของตัวเอง
“หึหึ เธอชอบฟังดนตรีคลาสสิคเหรอ”
“เปล่าค่ะ ลินน์ฟังเพลงพวกนั้นไม่เป็นหรอก แค่ได้ยินก็ชวนง่วงแล้ว” ส่ายหน้าทันทีทำให้เขาหน้าหงอย นึกว่าจะเจอคนที่ชอบเพลงเหมือนตัวเอง
ตอนเด็กเขาชอบเล่นไวโอลินมาก แค่โตขึ้นก็ห่างหายจากดนตรีเพราะยุ่งกับการเรียน ที่ชอบเป็นพิเศษเห็นจะเป็นเพลงของฟรันทซ์ เพเทอร์ ชูเบิร์ท นักแต่งเพลงสายคลาสสิคชาวออสเตรียที่มีความโรแมนติกผสมอยู่ในตัวโน๊ต
เขาเล่นไวโอลินเพลงรักจีบแฟน จนคบกันมายาวนานถึงวันนี้...
“ฉันชอบฟังชูเบิร์ท ถ้าเปิดฟังคงไม่ได้นอนเพราะมัวแต่หาโน้ตอยากเล่นดนตรีมากกว่า” คนที่แนะนำถึงกับทำหน้าไม่ถูก เธอเหลือบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาด้านข้างก็นึกชื่นชมเขาในใจ อยากอยู่เป็นเพื่อนชายหนุ่มจนกว่าเขาจะง่วง
ทว่าไม่นานนักก็ถูกไล่ให้เข้าห้อง เพราะเกรงใจหญิงสาวที่ต้องมานั่งตากลมทั้งที่เพิ่งเลิกงาน
ทราบจากมารดาว่าหล่อนทำงานเพื่อส่งเงินไปให้ครอบครัวที่บ้านนา ขยันเรียนเกรดเฉลี่ยไม่เคยตก นิสัยใจคอน่ารักถูกใจคุณผู้หญิงของบ้านเป็นอย่างมาก เอ็นดูจนแทบจะให้หล่อนมาเป็นน้องสาวของเขาแล้ว
คุณภัทรศยาอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว แต่เพราะสุขภาพของท่านไม่ค่อยดี หมอจึงไม่แนะนำให้มีลูก สุดท้ายก็ต้องทำหมันและมีบุตรชายเพียงคนเดียว เขาจึงกลายเป็นศูนย์กลางความรักของครอบครัว ไม่ว่าอยากได้อะไรทั้งพ่อและแม่ต่างตามใจ
“เธอจะไปนอนก็ไปเถอะ นอนดึกเดี๋ยวตื่นไปเรียนสาย” ลุกยืนพลางบิดกายไล่ความเมื่อย เธอก็รับคำอย่างรวดเร็ว แล้วมองตามร่างสูงที่เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ค่อยยกมือขึ้นมาจับตำแหน่งหน้าอกข้างซ้าย กล่อมหัวใจไม่ให้เผลอไผลไปกับรอยยิ้มหวานของอีกฝ่าย
“ค่ะ”
“หัวใจอย่าเต้นแรงนักสิ ถึงเขาจะมีเสน่ห์ ยิ้มสวย ตาหวาน พูดเพราะ...ก็ห้ามหวั่นไหวเด็ดขาด!” เขาเดินลับไปแล้วแต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ด้วยหน้าตาที่มุ่งมั่นว่าจะไม่มีทางหลงไปกับเสน่ห์อันมาล้นของผู้ชายที่ชื่อกษมาอย่างเด็ดขาด!
แต่เธอจะทำได้ยังไงกันล่ะเมื่อเขามายืนยิ้มหวานต่อหน้าแบบนี้!
“จะไปเรียนแล้วเหรอ”
ลินน์เดินถือถุงผ้าที่บรรจุอาหารเที่ยงออกมาจากทางด้านหลังของบ้าน เพื่อเดินไปปากซอยขึ้นรถเมล์ที่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนมากมาย ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกลัวว่าถ้าตกรถอาจทำให้ไปเรียนสาย หล่อนไม่อยากถูกเช็คชื่อสายจนโดนหักคะแนน เพราะอาจารย์ที่สอนค่อนข้างเจ้าระเบียบ
ผ่านเรือนหลังใหญ่ก็ได้ยินเสียงทุ้มตะโกนทัก เธอหยุดฝีเท้าทันทีพร้อมเหลียวหลังมามอง เห็นชายหนุ่มอยู่ในชุดสูทสำหรับใส่ไปทำงาน ผมเซ็ทให้เป็นทรงเปิดใบหน้าอันหล่อเหลา ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็เหมือนพระเอกละครมากกว่านักธุรกิจ
“ค่ะคุณก่อ” ยกมือไหว้เขาแล้วเดินมาหยุดต่อหน้า
ดวงตาคมมองหญิงสาวในชุดนักศึกษาด้วยความชื่นชม พลันนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขมาก เขาคือนักกิจกรรมตัวยง ยังเคยได้เป็นประธานรุ่นอีกต่างหาก
พอเห็นเธอก็อดคิดถึงสมัยเรียนไม่ได้...แต่ถ้าให้กลับไปเรียนอีกก็ไม่เอาหรอก
“ไปด้วยกันไหม ฉันผ่านหน้ามหา’ลัยเธอพอดี เดี๋ยวไปส่งจะได้ไม่เปลืองค่ารถ” แสดงน้ำใจจนหล่อนซาบซึ้ง เหลียวมองรถยนต์คันหรูราคาสิบล้านที่จอดอยู่ตรงหน้า แค่คิดว่าจะได้ขึ้นก็ขาสั่นไปหมด ไม่อาจเอื้อมเป็นตุ๊กตาหน้ารถหรอก
“เอ่อ...” หมายจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่สายตาก็หันไปมองด้านหลังที่มีรถสปอร์ตขับเข้ามาพร้อมจอดท้ายรถของชายหนุ่มอยู่หน้ามุข หล่อนไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน...กระทั่งมีหญิงสาวสวยเฉี่ยวลงมาจากรถด้วยใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชา
สายตาน่ากลัวจนเธอรีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบ ทั้งที่ตนยังไม่ได้ทำอะไร แต่เหตุใดจึงมองเหมือนกำลังกล่าวโทษ
“ก่อคะ” หล่อนเดินมาคล้องแขนล่ำเอาไว้อย่างสนิทสนม ทันใดนั้นลินน์ก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคงไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทอย่างแน่นอน หัวใจวูบโหว่งอย่างน่าประหลาด เผลอก้าวถอยหลังเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนทั้งคู่ แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้
“ส้ม มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า” ทักทายแฟนสาวที่ไม่ได้พบกันหลายปี
ตวิษา โรจน์รุ่งเรืองคือแฟนของเขาที่คบหากันมาหลายปีจนไม่คิดเหมือนกันว่าจะครองรักได้นานจนเลยเลขอาถรรพ์ที่ทุกคนบอก แม้เขาไปเรียนต่างประเทศและทำงานต่อแต่หล่อนก็ยังรอคอยมาตลอด จนนึกเกรงใจอีกฝ่ายอยู่ในที
เพราะเหมือนว่าตอนนี้ความรู้สึกรักที่มีให้เธอ...มันเริ่มจืดจางจนแทบไม่หลงเหลือแล้ว
“ทำไมคะ ส้มมาบ้านคุณไม่ได้แล้วเหรอ” ถามเสียงเง้างอนพร้อมดวงหน้าบูดบึ้งจนเขาต้องอธิบายเพื่อไม่ให้หล่อนโกรธ
“เปล่า ผมแค่นึกไม่ถึงว่าคุณจะมาหา...ปกติไม่เห็นคุณจะตื่นเช้า” ท้ายประโยคพูดเสียงเบา กลัวสาวเจ้าเอามาเป็นอารมณ์ แต่เธอก็ไม่ใคร่จะสนใจเท่าไหร่ พูดถึงธุระที่ทำให้ตนต้องดั้นด้นมาหาชายหนุ่มถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีสามแล้ว นอนไม่ถึงสี่ชั่วโมงก็ต้องลุกจากเตียงเพื่อทำตามคำสั่งมารดา
ที่อยากได้ลูกชายบ้านปัณณทัตเป็นเขย...
“คุณแม่ให้ชวนคุณไปกินข้าวที่บ้านเย็นนี้ค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ส้มจะได้บอกคุณแม่ว่าไม่ต้องเตรียมอาหารไว้รอ” หล่อนกล่าวถึงบุคคลที่สามซึ่งเขาให้ความเกรงใจ แล้วอย่างนี้จะกล้าขัดได้อย่างไร จึงตอบตกลงแทบจะทันที
“ผมว่างสิ คิดถึงอาหารฝีมือคุณแม่” ตวิษายกยิ้มมุมปากสมใจ แล้วผินหน้ากลับมามองผู้หญิงในชุดนักศึกษาที่ยืนก้มหน้าก้มตาจนน่าหงุดหงิด แค่เห็นแวบแรกก็ไม่ถูกชะตาทันที ไม่รู้ทำไมผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มอายุน้อยถึงได้มาอยู่ในบ้านของแฟนตัวเอง
“แล้วนี่ใครคะ”
“สวัสดีค่ะ” ลินน์รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
มองผู้หญิงตรงหน้าเต็มตาก็เห็นถึงความสวยของหล่อน ใบหน้ารูปไข่กับผมหยิกลอน รูปร่างเพรียวลมสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังทันสมัย เหมาะสมกับกษมาทุกอย่างไม่ค้านสายตาสักนิด จนเธอนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง
ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมคู่ควรกับเขาเลย ไม่ควรฝันไกลเกินเอื้อมให้ตัวเองเจ็บซะเปล่า
“ลินน์เป็นหลานป้าน้อย” เขาแนะนำคนในบ้านให้แฟนสาวได้รู้จัก แต่ตวิษากลับมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาเหยียดหยาม
“อ้อ หลานแม่บ้าน” ย้ำจนหญิงสาวหน้าเจื่อน เพราะรู้ดีว่าคำนั้นคือการขีดเส้นแบ่งสถานะของเราชัดเจน
เธอกำลังโดนคนตรงหน้าดูถูกว่าเป็นเพียงแค่หลานแม่บ้าน...
“จะไปไหนก็ไปสิ ยืนมองอยู่ได้” ตวาดอย่างนึกรำคาญจนร่างสูงต้องหันมาปราม
“ส้ม” ไม่ชอบที่หญิงสาวใช้อารมณ์กับคนในบ้านตัวเอง แต่หล่อนกลับตวัดตามองเหมือนต้องการหาเรื่องแฟนหนุ่มที่เข้ามาขัด จนลินน์ต้องยกมือไหว้เพื่อจะได้พาตัวเองออกจากสถานการณ์อันน่าอึดอัด ไม่อยากเป็นสาเหตุให้คนทั้งสองต้องทะเลาะกัน
“สวัสดีค่ะ”
รีบเดินแกมวิ่งออกจากบ้านปัณณทัตเพื่อจะไปหน้าหมู่บ้าน ไม่รู้ป่านนี้รถเมล์ไปหรือยัง ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหน่อย โดยมีสายตาของกษมามองตาม ค่อยปลดมือบางออกจากแขนของตน หันมาบอกหล่อนเสียงขรึมกับนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างชอบดูถูกคนอื่นของเธอ
“คุณอย่าไปทำตัวให้พวกคนใช้ตีเสมอได้ไหมคะ ส้มไม่ชอบเลย เราเป็นเจ้านายคนพวกนั้นก็แค่ลูกน้อง ไม่ต้องมีน้ำใจมากนักหรอก แค่เราให้เงินกับที่ซุกหัวนอนก็มากเกินพอแล้ว”
เธอพูดแทรกทันทีเพราะรู้ว่าเขาจะพูดอะไร แสดงชัดเจนว่าตนไม่ชอบให้เขาถือตัวเสมอกับคนรับใช้ ทำหน้าบอกบุญไม่รับทันทีเมื่อเขาเอาแต่จ้องหล่อนหลังพูดจบ พรูลมหายใจเหนื่อยล้าแล้วพยายามอธิบายให้เธอเปลี่ยนความคิด
“ส้ม ผมไม่ชอบเลยนะที่คุณคิดแบบนี้ จะทำอาชีพอะไรเขาก็เป็นคนเหมือนเรา ควรให้เกียรติ...” บอกอย่างใจเย็นแต่ตวิษาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่ร่างสูง พลางตัดบทด้วยการเดินเข้าบ้านหลังงาม
“ช่างเถอะค่ะ ขี้เกียจเถียงกับคุณ เข้าไปทักทายคุณแม่ดีกว่า” ร่างสูงทำได้แค่มองตามอย่างเหนื่อยล้า
นับวันพวกเรายิ่งเหินห่างกันมากกว่าเดิม...
หลังเลิกเรียนก็รีบมายังสถานบันเทิงซึ่งเป็นที่ทำงานของตน เธอได้เงินเดือนและทิปจากลูกค้าที่มอบให้ บางคนอาจจะมองว่าเป็นงานไร้เกียรติ ทว่าสำหรับหล่อนมันกลับช่วยชีวิตเธอกับครอบครัวเอาไว้ ได้เงินก็ส่งกลับบ้าน จนน้องชายสามารถเรียนทุกอย่างได้ตามใจชอบ ทั้งยังดาวน์รถมอเตอร์ไซค์และส่งทุกงวดจนบ้านปลอดหนี้
มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จากน้ำพักน้ำแรงของลูกสาวคนโต ผู้ซึ่งกลายเป็นเสาหลักของบ้านไปโดยปริยายหลังสิ้นบิดา
“ฝากหน่อยนะพี่ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว” งานของเธอคือสาวเสิร์ฟ ซึ่งบางคราวก็ต้องไปนั่งรับแขกตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย หล่อนไม่ชอบงานนี้แต่ผู้หญิงหลายคนที่ติดธุระมาไม่ได้ มักจะให้เธอทำแทนแล้วมอบเงินทั้งหมดแก่หล่อน
ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเด็กเสิร์ฟ...
“รีบไปรีบมานะ วันนี้ลูกค้าเยอะ” รีบเดินไปเข้าห้องน้ำเพราะกลั้นมานาน
“ค่ะ” ตอบรับพลางพยักหน้า ก่อนจะเดินไปหลังร้านเพื่อเข้าห้องน้ำ แล้วรีบออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง เดินขึ้นไปเสิร์ฟชั้นสองซึ่งเป็นโซนวีไอพี มีแต่ลูกค้ากระเป๋าหนักทั้งนั้น จึงต้องยิ้มแย้มเอาไว้บริการให้เต็มที่
ทว่าระหว่างที่เดินผ่านบันไดหนีไฟ มีช่องกระจกใสที่สามารถทองทะลุข้างในได้ หางตาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพลอดรักอย่างไม่อายใคร เธอคงจะเดินผ่านไปหากไม่ฉุกคิดได้ว่าคุ้นหน้าฝ่ายหญิงเหมือนเป็นคนรู้จัก
“อื้อ ตรงนี้เหรอ” ใบหน้าหวานแหงนขึ้นยามชายหนุ่มก้มลงมาสูดดมกลิ่นหอมที่ลำคอระหง และนั่นทำให้ลินน์เห็นหล่อนชัดขึ้น ปากอวบอิ่มเผยอค้างด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนที่ตัวเองรู้จักอย่างดี
และเธอคือแฟนของกษมา!
“คุณส้ม...” พึมพำเสียงเบาก่อนจะรีบหลบเมื่อดวงตากลมหันมามองเธอ
“ปล่อยก่อน เหมือนฉันเห็นเพื่อน” จากความปรารถนาที่มีล้นเปี่ยม แปรเปลี่ยนทันทีเมื่อหล่อนหันไปพบผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักไม่นาน ผลักฝ่ายชายออกอย่างรวดเร็วแล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าทรง ก่อนเดินไปเปิดประตูบันไดหนีไฟ ค่อยคว้าแขนเรียวเอาไว้อย่างแรงไม่มีออมมือ
“ว้าย!” ลินน์ร้องด้วยความตกใจ คิดจะเดินหนีแต่ไม่ทัน
“เมื่อกี้เห็นอะไรหรือเปล่า” มองชุดพนักงานเสิร์ฟแล้วก็ได้แต่เยาะเย้ยในใจ ในบ้านปัณณทัตก็เป็นแค่คนใช้ พออยู่ข้างนอกก็เป็นเพียงเด็กเสิร์ฟ ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบเคียงเธอได้สักนิด
“ไม่ค่ะ ไม่เห็น” ส่ายหน้าทำไม่รับรู้ ทั้งที่เห็นเต็มสองตา
“ปิดตาแล้วเก็บปากของเธอไว้ให้ดี ถ้าไม่อยากเดือดร้อน!” คำขู่พร้อมแรงกำแน่นที่แขนทำให้หล่อนนึกกลัว จึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ค่ะ” ตวิษาปล่อยแขนเธอแล้วเดินหนีไปทางอื่นอย่างโมโห เพราะถูกขัดความสุข อีกทั้งความลับยังเปิดเผยให้คนอื่นทราบ
ว่าตลอดเวลาที่กษมาไปต่างประเทศ...
หล่อนมีผู้ชายมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาในชีวิตไม่หยุด!