๒ ยังไม่ทันจะรักก็อกหักซะแล้ว (๑)
๒
ยังไม่ทันจะรักก็อกหักซะแล้ว
วันที่ไม่มีเรียนหล่อนมักจะว่างช่วงเช้า จึงมาทำงานบ้านเป็นการตอบแทนเจ้าของบ้านซึ่งให้ที่อยู่อาศัยและมีเมตตามาตลอดหลายปี กลายเป็นความรักและเคารพต่อคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายของบ้าน พยายามทำตัวไม่ให้มีปัญหาและเจียมตนตลอดเวลา
งานในบ้านเสร็จเรียบร้อย จึงออกมากวาดใบไม้ใบหญ้าและตัดแต่งกิ่งของต้นไม้เลื้อย ระหว่างนั้นก็แอบเหลือบมองรั้วบ้านเป็นระยะ ยอมรับว่าตั้งแต่วันที่รับรู้ถึงความใจดีของกษมา รวมทั้งรูปลักษณ์สุดหล่อสุภาพบุรุษของเขา
ทำให้เธอแอบปลื้มชายหนุ่มอยู่ในใจ...
ถึงรู้ว่ามันไม่ควรเพราะเขาอยู่สูงเกินจะอาจเอื้อม แต่ก็บอกตัวเองว่าชอบกษมาเหมือนปลื้มดารา ไม่ได้หวังจะครอบครอง รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้
“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ” รถยนต์คันหรูขับเข้ามาจอดในโรงรถ เธอรีบหลุบตามองพื้นพลางกวาดหญ้าเป็นกองพูน ค่อยตักใส่บุ้งเต้านำขึ้นรถเข็นจะได้เอาไปทิ้งหลังบ้าน
ร่างหนาเดินเข้ามาหาหญิงสาวพลางทักทายอย่างเป็นกันเอง ดวงตากลมมองรองเท้าหนังเงาราคาแพงที่เขาสวม ก่อนจะไล่มายังกางเกงแสลคสีเข้ม ก่อนเงยจ้องหน้าอีกฝ่ายพลางตอบเสียงเบา จากสาวที่กล้ากระหน่ำตีเขาไม่ยั้งและต่อปากต่อคำไม่หยุด บัดนี้เก็บปากเก็บคำไม่กล้าพูดเกินสามประโยคด้วยซ้ำ
“วันนี้วันอาทิตย์ค่ะ” คนที่เพิ่งกลับไทยและวุ่นกับงานถึงกับพยักหน้าอย่างเชื่องช้า เขาลืมวันลืมคืนเสียสนิท
“ลืมไปเลย...นี่ขนมเอาไปให้คนอื่นกินด้วยนะ ฉันซื้อมาฝากขากลับจากที่ทำงานน่ะ เขาบอกกันว่าเป็นขนมชื่อดังน่าจะอร่อย ชิมแล้วมาบอกด้วยว่าอร่อยจริงหรือเปล่า” ยื่นถุงขนมมากมายไปตรงหน้าหล่อน
ลินน์รีบรับของเหล่านั้นมาถือเอาไว้ เธอแอบอมยิ้มพลางกล่าวเสียงเบา ยิ่งประทับใจในความแสนดีของอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“ขอบคุณค่ะ” ร่างสูงเดินเข้าไปในบ้านแล้ว แต่เธอก็เหลียวมองตามจนสุดสายตา พลันยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน เดินฮัมเพลงไปหลังบ้านแล้ววางถุงขนมมากมายไว้โต๊ะอาหารของแม่บ้านที่มักมานั่งรับประทานร่วมกัน
ป้าน้อยที่ทำอาหารเย็นเพื่อจะได้นำขึ้นโต๊ะใหญ่ก็หันมามองหลานสาว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับถุงขนมราคาแพง
“ขนมอะไรน่ะลินน์”
“คุณก่อซื้อมาฝากทุกคนจ้ะ บอกว่าเป็นขนมเจ้าดัง” นั่งลงที่เก้าอี้พลางหยิบกล่องขนมออกจากถุง เปิดกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางยิ้มกว้างยามนึกถึงใบหน้าคมที่จ้องตน ยอมรับว่าอีกฝ่ายหล่อเหลาจับใจจนสร้างความประทับใจได้แต่แรกเจอ
ทว่าเรื่องหน้าตายังเป็นรอง เพราะนิสัยของกษมาต่างหากที่เอาชนะใจหล่อนได้อยู่หมัด
เขาเป็นคนร่ำรวยที่มองพวกตนเป็นคนเท่าเทียม ไม่เคยมีสายตาเหยียดหยันเลยสักครั้ง กลับอ่อนน้อมและเป็นกันเอง ยิ่งคิดถึงก็ยิ้มไม่หุบ พร้อมเอ่ยถามป้าด้วยความสงสัย
“น่ารักแบบนี้ตลอดเลย”
“ยังไงเหรอป้า” เธอชอบที่จะได้ฟังเรื่องของกษมา ตาเป็นประกายตั้งใจฟังยิ่งกว่าเรียนในห้องซะอีก มือเท้าคางแล้วจ้องป้าน้อยตาไม่กระพริบ
“ตอนยังไม่ไปเรียนเมืองนอกก็ชอบซื้อของกลับมาให้พวกป้าตลอด ทั้งของคาวของหวานหรือเสื้อผ้า แถมยังไม่ถือยศถืออย่าง ป้าเลยอยู่บ้านนี้ได้นานเพราะเจ้านายดี” พอพูดถึงเจ้านายก็ชมไม่ขาดปาก ทั้งสามคนถือเป็นผู้มีพระคุณต่อตนเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกหอบผ้ามาหางานทำที่เมืองหลวง ก็คิดจะมาเป็นสาวโรงงานแต่เพื่อนชวนมาทำงานที่บ้านปัณณทัตซะก่อน กะมาทำงานเล่นๆ หารายได้พิเศษหลังเลิกงาน แต่พอได้ทำก็อยู่ยาวจนไม่คิดจะกลับบ้านเกิดด้วยซ้ำ
งานสบายเจ้านายก็ใจดี...แล้วอย่างนี้จะไปไหนรอด
“อ้อ” พยักหน้าแววตาเพ้อ นึกอยากมาอยู่ที่นี่ให้เร็วกว่านี้ มุมปากยกยิ้มทั้งสองข้างจนป้าน้อยที่กำลังทำอาหารต้องหันมามองหลายเพราะไม่เห็นอีกฝ่ายตอบโต้อะไร พลันเห็นด้วงตากลมโตเป็นประกาย เพ้ออยู่ในโลกของตัวเองก็ถอนหายใจหนัก
นึกรู้ทันว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร จึงได้เตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าฐานะที่ต่างไม่มีทางที่ลินน์จะสมหวัง ถึงหลานสาวของตนจะสวยหยาดฟ้า
แต่ก็เกรงว่าจะเป็นได้แค่ของเล่นคนรวย...
“หยุดคิดเลยลินน์ เขากับเราอยู่กันคนละชั้น ห้ามคิดเกินเลยเด็ดขาด” เตือนด้วยความหวังดีไม่อยากให้หลานสาวหวังสูงเกินตัว ด้วยรู้ว่าคนอย่างกษมาคงไม่มีทางเหลียวมามองลินน์ หรือหากอยากเชยชมก็คงเป็นได้แค่ของเล่น
หรือดอกไม้ริมทางให้ได้เด็ดดมพอคลายเบื่อ...แล้วทิ้งลงพื้นไม่ไยดี
หญิงสาวไม่ได้โต้ตอบเพราะคิดเช่นเดียวกับป้า เธอจึงเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการเปลี่ยนพูดถึงเรื่องอื่น ช่วงบ่ายว่างจึงเดินเข้าห้องเพื่อทำรายงาน ทว่ามีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาเข้าจมูก จนหล่อนไม่อาจทำงานได้ ตัดสินใจปิดโน้ตบุ๊กเดินออกมาข้างนอก
“วันนี้ป้าทำอะไรกินเหรอ กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ทำรายงานไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย” แม่บ้านนั่งล้อมวงรับประทานอาหารด้วยกัน หลังจากทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่เพิ่งเสร็จ ถึงจะมีคนอาศัยเพียงแค่สามคนแต่เพราะขนาดความกว้างใหญ่ของตัวบ้านและรอบนอกอาคาร จึงใช้เวลามากโขกว่าทุกอย่างจนสะอาดเรียบร้อย
ร่างบางเลื่อนเก้าอี้ตัวว่างแล้วนั่งลง น้ำลายสอทันทีเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า รีบคดข้าวใส่จานพลางหยิบช้อนส้อมมาถือไว้
“หมูผัดสะตอ กินสิๆ” ยื่นอาหารที่ถือเป็นทีเด็ดให้หญิงสาวได้ชิม เธอไม่รอช้าตักใส่จานก่อนกินคำโต พยักหน้าแล้วทำตาโตเมื่อรสชาติอร่อยถูกปาก ไม่พูดจากับใครเอาแต่กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วก็ต้องหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อของบุตรชายบ้านปัณณทัต
ยอมรับว่าถูกตาต้องใจชายหนุ่ม แต่ก็ทำได้เพียงคิดคนเดียวในใจไม่กล้าพูดออกไป ความแสนดีของเขา และรอยยิ้มอ่อนโยนที่เธอได้รับ...ใครบ้างจะไม่หลงเขา
“วันนี้ใครมาบ้านเหรอน้า เห็นมีรถจอดอยู่หน้าบ้าน เพื่อนของคุณก่อเหรอ” ลินน์แอบชะเง้อมองถึงตนจะไม่เห็นก็ตาม
“ไม่ใช่เพื่อน คนนี้เป็นแฟน” แต่คำตอบที่ได้รับสร้างความตระหนกแก่หล่อนเป็นอย่างมาก จนไม่สนใจอาหารตรงหน้า แล้วเผลอถามเสียงดังจนทุกสายตาหันมามองเป็นตาเดียว เห็นเขายุ่งกับงานจึงคิดว่าไม่น่าจะมีสาวข้างกาย
หารู้ไม่ว่าตอนนี้กษมามีเจ้าของแล้ว
“แฟน คุณก่อมีแฟนเหรอ” สีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ภาวนาให้ได้ยินคำตอบที่ไม่ทำร้ายจิตใจ ทว่าไม่อาจหนีความจริงพ้น
“มีแล้วสิหล่อออกขนาดนั้น เขาชื่อคุณส้มเป็นแฟนกับคุณก่อตั้งแต่เรียนป.ตรีจนคุณก่อกลับมาไทยก็ยังรักกันหวานชื่นเหมือนเดิม” พูดให้ฟังถึงหญิงสาวที่ได้ครอบครองใจลูกชายบ้านปัณณทัต เธอไม่ทราบมาก่อนเพราะไม่มีใครบอกและไม่สนใจจะถาม
พอได้รู้วันนี้หัวใจก็เหมือนถูกฉีกขาด ความอยากอาหารลดลงจนแทบติดลบ เกือบจะวางช้อนส้อมอย่างอ่อนแรง แล้วฟังแม่บ้านคนอื่นพูดถึงงานมงคลที่ใกล้จะมาถึง เพราะความรักของทั้งคู่สุกงอมเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ต้องร่วมหอลงโรงในไม่ช้า
“ฉันว่าอีกไม่นานคงได้แต่งงานกัน บ้านปัณณทัตจะได้มีเรื่องมงคลแล้วก็มีคุณหนูตัวน้อยมาวิ่งเล่น คุณท่านคงมีความสุขน่าดู”
“ใช่ๆ” ทุกคนพูดคุยอย่างมีความสุข ยกเว้นลินน์ที่นั่งบื้อเป็นใบ้ไปเรียบร้อย เธอคิดไม่ออกเหมือนกันว่าตนจะยิ้มมีความสุขแล้วอวยพรให้คู่บ่าวสาวในวันแต่งงานเขาได้หรือเปล่า
รู้ว่าตนไม่คู่ควรกับกษมา...แต่ความแสนดีของเขาก็ทำให้เธอหลงใหลได้ปลื้ม
จนก่อเกิดเป็นความรักในระยะเวลาชั่วข้ามคืน...
กลับจากที่ทำงานกว่าจะถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เธอทักทายกับลุงยามที่เฝ้าในตู้เล็กหน้ารั้ว มองเรือนหลังใหญ่ที่เปิดไฟสว่างด้านหน้า ก่อนเดินอ้อมมาทางด้านหลัง พร้อมพึมพำยามที่เห็นหน้าต่างห้องของกษมา
“เฮ้อ ยังไม่ทันได้รักก็อกหักซะแล้วไอ้ลินน์ ตัดใจเถอะ” ถอนหายใจพลางก้มหน้ามองผืนหญ้าที่ตัดเรียบเสมอกัน แม้จะดึกและพรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่ความคิดฟุ้งซ่านจนเธอไม่ง่วง เลือกเดินมาที่สวนหลังบ้านเพื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจ
แต่กลับพบเงาตะคุ่มเหมือนวันนั้นไม่มีผิด ซึ่งคราวนี้หล่อนจะไม่พลาดซ้ำความผิดเดิมอีกแล้ว จึงเพ่งสายตามองให้แน่ใจ ก่อนร่างหนาจะหันกลับมาจ้องเธอไม่ทันให้ตั้งตัว ถึงกับสะดุ้งตัวโยนพลางเรียกชื่อเจ้านายเสียงดัง
“คุณก่อ! ตกใจหมดเลยค่ะ” เผลอมองค้อนเขาวงโตก่อนได้สติ รีบยกมือขอโทษขอโพย แต่ร่างหนาไม่ได้ติดใจอะไร เขายิ้มขำท่าทีของหล่อนแล้วเอ่ยหยอกเย้าเป็นกันเอง
“อะไร คิดจะตีฉันอีกแล้วเหรอ” พูดถึงเรื่องคราวก่อนที่หญิงสาวยังคงรู้สึกผิดไม่หาย จึงรีบส่ายหน้าจนหัวแทบหลุดเพื่อปฏิเสธ ใครจะกล้าตีกษมาล่ะ ครั้งนั้นยังคงรู้สึกผิดไม่หายเพราะตีเต็มแรงไม่ยั้งมือสักนิด ครอบครัวเขายังไม่เอาเรื่อง
ถือว่าเป็นบุญของหล่อน จนกลายเป็นรู้สึกติดค้างอีกฝ่าย...