3
Chapter 3
“อย่าพูดแบบนั้นสิพร ผมเชื่อว่าความดีของคุณต้องเอาชนะใจยัยบัวได้ในที่สุด ปล่อยแกไปก่อน ตอนนี้ทำอะไรลงไป แกก็ต่อต้านยัยบัวคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า ปล่อยแกไว้แบบนั้นแหละ”
ทรงศักดิ์ถอนใจหนักๆ มองข้าวของในห้องด้วยความหดหู่ใจ พากับสายรีบจัดการเก็บข้าวของที่ถูกโยนทิ้งเข้าที่ สิ่งไหนที่เสียหายมากก็จำต้องทิ้งถังขยะไป
ทรงศักดิ์มองบันไดบ้านด้วยความเคร่งเครียด บุตรสาวขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่ยอมทานข้าวทานปลา จนเขานึกเป็นห่วง แต่เพราะพลอยชมพูเอาแต่ใจ เขาไม่อยากตามใจบุตรสาวอีก
นายหัววัยสี่สิบกุมขมับคิดไม่ตก หรือเขาจะเลี้ยงลูกผิดๆ ชายหนุ่มได้แต่ทอดถอนใจด้วยความไม่สบายใจ ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะตีบุตรสาว แม้จะทำผิดก็ตักเตือนไปตามเรื่อง นี่เขาทำอะไรลงไป เขาทำรุนแรงกับบุตรสาวไปหรือเปล่าหนอ
พรพิมลมองสามีด้วยความเข้าใจ ทรงศักดิ์คงกำลังโทษตัวเองที่ทำโทษลูกแบบนั้น
“คุณคะใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน อย่าโมโหจนทำร้ายแกอีก ไม่อย่างนั้นแกจะยิ่งเตลิด”
พรพิมลเอ่ยเตือน ห่วงใยในตัวลูกเลี้ยงด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“ขอบใจคุณมากที่เข้าใจผม ต่อไปผมจะระงับอารมณ์ให้มากกว่านี้ บัวไม่เคยก้าวร้าวกับผมมาก่อน ผมเลยขาดสติพลั้งมือไปหน่อย”
เขายอมรับความผิด ถอนใจหนักๆ อีกหลายครั้ง พรพิมลวางมือบนหลังมือหนาของสามีเพื่อให้กำลังใจ
“สายไปตามยัยบัวลงมากินข้าวหน่อย”
ทรงศักดิ์หันไปสั่งแม่บ้านเสียงเครียด เขาเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนักกลัวว่าจะไม่สบาย อยากให้พลอยชมพูรู้ว่าถึงเขาจะมีภรรยาใหม่แต่ความรักความห่วงใยของเขาไม่เคยน้อยลงเลยสักนิด
“เอ่อ... คุณบัวบอกว่าไม่ต้องขึ้นไปตามอีกแล้วค่ะ เพราะยังไงก็จะไม่ลงมา”
สายพูดเกรงๆ ยิ่งเห็นใบหน้าเครียดขรึมของผู้เป็นนาย ยิ่งคอหด ทรงศักดิ์ใจดีต่อลูกน้องก็จริง แต่เวลาโมโหน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
“คุณคะ ให้พรไปดูหนูบัวไหมคะ” พรพิมลอาสา
“อย่าเลย เดี๋ยวบัวจะอาละวาดใส่คุณเสียเปล่าๆ”
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้น แต่ทำให้ผู้เป็นภรรยาหน้าสลดทันที
“แบบนั้นยิ่งต้องไป เชื่อพรเถอะค่ะ ขอพรได้คุยกับหนูบัวก่อน พรรู้สึกได้ว่าแกไม่ใช่เด็กก้าวร้าว ความจริงแกเป็นเด็กน่ารักนะคะ”
ทรงศักดิ์มองพรพิมลนิ่งเหมือนกำลังตัดสินใจ เธอเป็นคนใจเย็นเสมอ ครานี้ก็เช่นกัน ถ้าเป็นคนอื่นจะมีใครทนอารมณ์รุนแรงของบุตรสาวเขาได้บ้าง แม้พลอยชมพูจะไม่เคยก้าวร้าวกับเขามาก่อน แต่เวลาโมโหพาเคยเปรยๆ ว่าเหมือนเขาไม่มีผิด ใครก็เอาไม่อยู่
“งั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน”
พากับสายมองสบตากันยิ้มๆ รวมถึงหัสดินที่ยิ้มให้มารดาเพื่อให้กำลังใจ
“พี่พาจัดอาหารให้พรด้วยนะคะ”
พรพิมลหันไปพูดกับแม่บ้านที่รีบกุลีกุจอจัดสำรับให้คุณหนูของนางอย่างไม่อิดออด อยากให้พลอยชมพูได้ทานอาหารดีกว่าขังตัวอยู่แต่ในห้องแบบนั้น
พรพิมลเคาะประตูห้องลูกเลี้ยง ก่อนจะได้ยินเสียงกระชากพูดตอบออกมาจากข้างในห้อง
“ป้าพาไม่ต้องมาตามหนูหรอกค่ะ หนูไม่อยากกินข้าวกับผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ลูกของเค้าด้วย”
พลอยชมพูซบหน้ากับหมอนร้องไห้ด้วยความเสียใจ ริมฝีปากแดงๆ สั่นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
พรพิมลลอบถอนใจหนักๆ ก่อนเคาะประตูอีกครั้ง
“ป้าไม่ได้ยินหรือไง หนูบอกว่าไม่กิน”
เด็กสาวกระชากประตูออกด้วยอารมณ์รุนแรง ชะงักเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“หนูบัวทานอะไรเสียหน่อยนะคะ น้าเอาอาหารขึ้นมาให้ ของโปรดหนูทั้งนั้นเลย”
พลอยชมพูมองพรพิมลด้วยสายตาเกลียดชัง
“คงทำดีเอาหน้าคุณพ่อล่ะสิ อย่าคิดว่าหนูจะหลงกลคุณอีกคน ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำดีกับหนูหรอก”
เด็กสาวกระชากเสียงด้วยความไม่ชอบใจ เธอแอบคิดว่าบิดาจะมาตามเธอเสียอีก
นึกไปถึงตอนเด็กๆ และการดูแลของบิดาหลังจากมารดาจากไป รู้สึกน้อยใจยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เธอคงหมดความหมาย ไม่มีความสำคัญอีกแล้วในสายตาของท่าน ท่านไม่มาตามไม่เท่ากับการให้คนที่เธอเกลียดชังตั้งแต่ไม่เห็นหน้าขึ้นมาตามแบบนี้
“กินเสียหน่อยนะคะ ไม่งั้นจะไม่สบายเป็นโรคกระเพาะเอาได้”
พรพิมลพูดเสียงปรานี สีหน้าและแววตาเป็นห่วงนั้นทำให้พลอยชมพูหวั่นไหวไม่น้อย แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เด็กสาวเชิดหน้าขึ้น ปัดความห่วงใยนั้นออกไปจากใจหมดสิ้น
“อยากให้หนูไม่สบายแล้วตายไปล่ะสิ คุณจะได้ครอบครองบ้านหลังนี้ แล้วก็สมบัติของคุณพ่อ อย่านึกว่าหนูไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่”
พลอยชมพูเบ้ปากไม่ชอบใจ ดูถูกดูแคลนอีกฝ่ายชัดเจน
“ถ้าหนูบัวไม่ยอมกิน เกิดไม่สบายขึ้นมาจริงๆ น้าต้องดีใจสิ ถ้าไม่อยากให้น้าได้ครอบครองสมบัติที่นี่ก็ต้องแข็งแรงเอาไว้ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเสียก่อน เพราะคนที่ฉลาดย่อมไม่ทำลายตัวเองแบบนี้ ขนาดตัวเองยังไม่รักจะให้คนอื่นมารักได้ยังไงกัน”
แม้คำพูดจะกล่าวไปอีกทาง แต่สายตาอ่อนโยนและใบหน้านั้นไม่ได้เป็นไปตามคำพูด พลอยชมพูขมวดคิ้วยุ่ง กำลังคิดว่ามารดาเลี้ยงจะมาไม้ไหนกันแน่
“อนุญาตให้น้าเอาอาหารเข้าไปไว้ในห้องนะคะ ถ้าหนูไม่สบายขึ้นมา คงไม่มีใครมาดูแลหรอก คนอื่นยุ่งๆ กันทั้งนั้น ใครจะมามัวดูแลคนป่วย แถมไม่รักตัวเองอีก” พรพิมลแสร้งว่า
“ทำไมถึงไม่มีใครมาดูแล นี่คุณกับลูกคงคิดฮุบทุกอย่างรวมถึงคนของหนูไปด้วย อย่าหวังเลยว่าจะทำแบบนั้นได้สำเร็จ”
พลอยชมพูฉุนจัด ยิ่งถูกยั่ว ยิ่งอยากเอาชนะอีกฝ่ายแบบเด็กๆ
“ถ้าไม่อยากให้น้าฮุบทุกอย่างที่ควรจะเป็นของหนูก็ต้องกินสิคะ ถ้าไม่กินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทรัพย์สมบัติพวกนั้นตกเป็นของน้าของลูก ก็อย่าโวยวายแล้วกัน”
พรพิมลได้มีโอกาสเดินเข้ามาในห้องเด็กสาวได้สำเร็จ วางอาหารรสเลิศที่นางกับแม่บ้านวัยกลางคนทำเอาไว้บนโต๊ะใกล้ๆ กับเตียงกว้าง
“อย่าหวังเลยว่าจะเป็นแบบนั้น คิดจะแช่งให้หนูตายก่อนเหรอคะ ไม่สมหวังหรอก เพราะหนูจะไม่อ่อนแอให้ใครมารังแกได้”
พลอยชมพูเดินไปพูดใกล้ๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน อยากเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผิดหวัง แต่เด็กสาวไม่ได้เห็นแววนั้น เห็นแค่เพียงสายตาอ่อนโยนเหมือนเดิม
... ทำไมต้องมาทำสายตาแบบนี้ให้เราด้วยนะ
“ค่ะ น้าจะคอยดู คนเก่งแบบหนู แต่ถ้าไม่ยอมกินอะไร ระวังนะคะ น้าจะฮุบสมบัติให้หมด เพราะคนที่ต่อกรกับคนอื่นได้ต้องมีแรงกำลัง ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียวไม่ได้หรอกค่ะ ต้องใช้สมอง ใช้สติ แล้วคิดก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนตัดสินใจเท่านั้น”
พรพิมลพูดจบก็เดินออกไปด้านนอก เด็กสาวมองตามหลังไปก่อนกระชากประตูปิดเต็มแรง
แม่เลี้ยงวัยสามสิบเก้าหันมามองประตูยิ้มๆ หวังว่าลูกเลี้ยงคงยอมกินอาหาร เพราะดูแล้วพลอยชมพูเป็นคนอยากเอาชนะ มีทิฐิพอสมควร การจะออดอ้อนพูดดีๆ คงไม่ได้ผล การที่จะให้อีกฝ่ายทำตามความต้องการมีหลายวิธี
บางคนต้องพูดจาดีๆ บางคนต้องแกล้งให้อยากเอาชนะ บางคนต้องบังคับ แล้วแต่นิสัยของแต่ละคน จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้
นางใช้วิธีนี้เพราะคิดว่าดีที่สุด เด็กฉลาดแบบพลอยชมพูจะต้องไม่ยอมแพ้อะไรแน่นอน และไม่ยอมให้ใครมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตน
เด็กสาวหันมองอาหารตรงหน้า กลิ่นหอมกำลังยั่วยวนให้น้ำย่อยเร่งหลั่งออกมา เธอรู้ดีว่าอาหารฝีมือป้าพาอร่อยแค่ไหน โดยไม่รู้ว่าวันนี้มีอีกคนร่วมทำอาหารอยู่ด้วยเช่นกัน และเป็นคนที่เธอไม่ชอบหน้าที่สุด
พลอยชมพูรีบรับประทานอาหารด้วยความหิว เธอคิดตามคำพูดของพรพิมล เธอจะต้องแข็งแรงไม่เป็นอะไรเด็ดขาด ต้องอยู่ขัดขวางสองแม่ลูกนั่นให้ถึงที่สุด