3
“แต่วิ” เธอเกรงใจเขาเป็นอันมาก
“หรือคุณอยากจะตกงานตอนนี้เลย แต่งตัวไม่เอาไหน ทำงานไม่ได้เรื่อง คุณมีอะไรดีบ้าง บอกผมมาหน่อยซิ” ถ้อยคำทำร้ายจิตใจและตรงไปตรงมาจนเธอพูดไม่ออกทำให้เธอต้องกัดปากตัวเอง ในขณะที่ร่างสูงของทัพพ์เดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ แตะข้อศอกของเธอให้เดินตามเข้าไปในห้องเสื้อชื่อดัง
“เลือกชุดให้เลขาของผมหน่อย ให้ดูดีกว่าที่เธอสวมใส่อยู่ตอนนี้” ทัพพ์พูดอย่างเป็นงานเป็นการ พนักงานยกมือไหว้ทัพพ์อย่างอ่อนน้อม ประหนึ่งว่ารู้จักมักคุ้นกันดี และค่อนข้างเคารพทัพพ์เป็นอันมาก อีกทั้งยังกุลีกุจอจัดหาเสื้อผ้ามากมายมาให้เธอลองสวมใส่ดู ในขณะที่ทัพพ์เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่ห้องรับรองแขกบนโซฟาเนื้อดีราคาแพง
พนักงานในร้านนำน้ำมาเสิร์ฟให้เขาดื่มเพื่อนั่งรอเลขาสาวอย่างใจจดจ่อ
“มาแล้วค่ะ” ประโยคของพนักงานสาวแลดูอ่อนน้อมต่อทัพพ์เป็นอันมาก เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังแห่งนี้
ที่เธอรู้ก็เพราะว่าตอนลองชุด พนักงานคุยจ้อว่าทัพพ์สนิทกับคุณสร้อยสุดา หรือคุณสร้อยเจ้าของร้านเป็นอันมาก
ทัพพ์ยืนขึ้นเต็มความสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร สายตากวาดมองรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของเลขาสาวคนสวยที่มีแว่นตาหนาเตอะปิดบังใบหน้าเอาไว้จนเกือบครึ่งหน้า
เขาเดินเร็ว ๆ เข้ามาประจันหน้ากับเธอ ก่อนจะถอดแว่นตาของเธอออกไป วิจิตราตกใจ รีบควานมือไปด้านหน้า สายตาของเธอพร่ามัวและมองอะไรไม่เห็นเอาเสียเลย
“ท่านประธานคะ วิมองอะไรไม่เห็นเลยค่ะ”
“อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” เขาทำเสียงดุ
ทัพพ์เดินถอยหลังไปหลายก้าว มองเลขาคนสวยที่ไม่สวมแว่นอยู่ในชุดเข้ารูปทันสมัยอย่างพึงพอใจไม่น้อย
“ผมชอบชุดนี้ แล้วก็ไปจัดมาอีกหลาย ๆ ชุด ผมอยากให้เลขาของผมแต่งตัวดูดีทุกวัน” ประโยคของเขา ทำให้พนักงานประจำร้านกุลีกุจอไปจัดหาชุดมาให้หญิงสาวที่ยืนงง ๆ อยู่ที่เดิมเพราะควานมือไปด้านหน้าก็มองอะไรไม่เห็น แถมแว่นตาก็ยังหายไปอีก
“ท่านประธานคะ”
“ว่าไง”
“ขอแว่นให้วิด้วยค่ะ วิมองอะไรไม่เห็นจริง ๆ” เธอทำเสียงอ้อนเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ต่อไปผมจะไม่ให้คุณใส่แว่นแล้วนะ”
“ทำไมคะ”
“มันไม่เหมาะกับคุณยังไงล่ะ”
“วิไม่ใส่แว่นก็มองไม่เห็นสิคะ แล้วแบบนี้วิจะใช้ชีวิตยังไงล่ะคะ” เธอเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าเหลอหลา
“มีวิธีอื่นที่จะช่วยให้มองเห็นนอกจากใส่แว่นอีกนะ”
“วิชอบใส่แว่นค่ะ มันไม่ยุ่งยาก”
“แต่มันเกะกะตา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ก่อนจะให้พนักงานจัดเสื้อผ้าใส่ถุงใบใหญ่ให้
“ไปเถอะ” เขาก้มลงไปกระซิบบอกเลขาสาวที่ได้แต่ยืนงงๆ อยู่กลางร้าน
“วิมองไม่เห็น” เธอย้ำอีกครั้ง คิดว่ามองไม่เห็นทางแบบนี้จะเดินได้ยังไงกันล่ะ
“เกาะแขนผมเอาไว้ เดี๋ยวผมจะพาเดินออกไปจากร้านเอง” วิจิตราไม่อยากเกาะแขนเขาหรอก แต่เพราะว่าเธอเดินเองไม่ได้ ถ้าเดินเองน่าจะไปชนกับกำแพงจนหน้าผากได้เลือดหรือปูดโน ดังนั้นในตอนนี้ก็คงต้องอาศัยพึ่งพิงเขา
ทัพพ์ยกยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะพาเลขาสาวไปยังร้านตรวจวัดสายตา เพียงไม่นานเธอก็ได้สวมใส่คอนแทคเลนส์อันใหม่ที่ใส่ง่ายและทำให้ดวงตาชุ่มชื่น นั่นทำให้การมองเห็นของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง
“มันก็ไม่ได้ใส่ยากอะไรหรอกนะ”
“แต่ใส่แว่นมันไม่สิ้นเปลืองนี่คะ”
“ผมต้องการเลขาที่ดูดีทุกระเบียบนิ้ว ส่วนเรื่องงานค่อยๆ ปรับไป เพราะคุณก็ไม่ได้ทำงานแย่นักหรอก แต่ชอบง่วงนอนในเวลางานเท่านั้น” เขาพูดตามตรง นั่นทำให้วิจิตราไม่กล้าเถียงเขาอีก เพราะถ้าเกิดทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาเธออาจจะโดนไล่ออกเสียตอนนี้ก็เป็นได้
“ผมหิวข้าว”
“ท่านประธานหิวข้าวแล้วเหรอคะ งั้นวิขอตัวก่อนนะคะ ท่านประธานจะได้ไปกินข้าว” เธอตอบพาซื่อ
ทัพพ์มองเธอแล้วขำในใจ วิจิตราเป็นผู้หญิงซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัยกับใคร แถมยังไร้จริตมารยา ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงรีบทอดสะพานให้เขา บอกว่าหิวเหมือนกันและขอไปกินข้าวด้วย แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับไม่รู้อะไรเสียบ้างเลย
เขาเป็นผู้ชาย ใช่ว่าจะไม่พิศมัยเรื่องการมีเซ็กซ์อันเป็นความสุขสุดยอดอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องพร้อมที่จะแยกย้าย ไม่ผูกมัด วิน ๆ กันทั้งคู่ ถ้าหากอยากมีอะไรกับเขาเพื่อจะจับเขา ด้วยเห็นว่ามีเงินมีฐานะและร่ำรวย คิดจะเกาะเขากิน หรือให้รับผิดชอบโดยการแต่งงาน เขาไม่เอาอย่างแน่นอน เหมือนอย่างเลขาคนก่อนที่พยายามจะปลุกปล้ำเขาทุกวิถีทาง จนเขาต้องออกปากให้เธอออกไปจากชีวิตโดยการยื่นซองขาวให้เธอ และบอกเธอไปตรง ๆ ว่าไม่ชอบพฤติกรรมที่เธอกระทำกับเขา
“คุณต้องไปกินข้าวกับผม” เขาเองก็ไม่ชอบอ้อมค้อม ในเมื่อเธอไม่เข้าใจว่าเขากำลังชวนเธอไปกินข้าวด้วย เขาจึงต้องบอกความต้องการออกไปตรง ๆ เธอจะได้รับรู้และปฏิบัติตามอย่างไม่มีบิดพลิ้ว
“อ้อ... ค่ะ” ดูเหมือนวิจิตราจะไม่กล้าปฏิเสธเจ้านายหนุ่ม แม้จะไม่ชอบหลายอย่างที่เขาพูดออกมาคล้ายบังคับ เหมือนพวกเผด็จการ แต่เธอก็สำนึกว่าไม่ควรทำให้เขาต้องหงุดหงิดใจไปมากกว่านี้ เพราะดีไม่ดีเธอจะถูกไล่ออกจากงาน
การที่เราทำอะไรก็ตามแล้วต้องพึ่งคนอื่น นั่นคือความอึดอัดอย่างหนึ่ง วิจิตราจึงพยายามที่จะพึ่งพิงตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะหากว่าวันหนึ่งไม่มีใครคอยช่วยเหลือ หรือให้เธอพักพิง เธอจะได้ยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่ต้องเกาะแข้งเกาะขาขอร้องให้ใครเมตตา ให้ต้องถูกสึกสมเพชเวทนา
"กินร้านนี้แล้วกัน” เขาเป็นคนตัดสินใจ ในขณะที่เธอเดินตามเขาเข้าไปในร้าน
ร้านอาหารหรูแบบนี้ราคาคงแพวลิ่ว บอกได้คำเดียวเลยว่าเธอไม่มีเงินจ่าย ค่าเสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ควักเงินจ่ายให้เขาเลย เพราะมัวแต่มองอะไรไม่เห็น เขาจ่ายเงินตอนไหน พาออกจากร้านตอนไหนเธอเองยังไม่รู้เลย
“เรื่องเสื้อผ้า วิจะทยอยคืนเงินให้ท่านประธานนะคะ” เธอเข้าเรื่องเลย เพราะไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร ที่สำคัญก็คือ หากเขาไม่พาไปซื้อเสื้อผ้าร้านนั้น เธอก็คงซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ขายตามร้านโนเนมทั่วไปที่พอคิดว่าใส่ได้และเรียบร้อยไม่น่าเกลียดจนเกินไปนัก
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก”
“แต่เงินเดือนของวิไม่เยอะหรอกนะคะ วิมีภาระทางบ้านที่ต้องดูแลด้วย ในแต่ละเดือนวิอาจจะคืนคุณได้ไม่เยอะนะคะ” เธอรีบออกตัวไว้ก่อน เพราะหากว่าการผ่อนเสื้อผ้าพวกนี้ มีค่าใช้จ่ายงอกออกมาจากเงินเดือนเยอะมาก เธอคงไม่มีปัญญาจ่าย
“ผมจะให้คุณทำงานล่วงเวลาดีไหม คุณจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเสื้อผ้าพวกนั้น และเงินเดือนของคุณก็ยังได้เท่าเดิม แต่ถ้าขยัน ปีต่อไปผมจะเพิ่มเงินเดือนให้”
“จริงๆ เหรอคะ” วิจิตราเอ่ยถามอย่างดีใจ
“จริงสิ แต่ถ้าทำงานล่วงเวลา อาจจะกลับบ้านไม่ตรงเวลา หรือต้องไปค้างคืนที่อื่นนะ คุณโอเคใช่ไหม” ทัพพ์เอ่ยถามเลขาสาว
“เอ่อ... วิต้องช่วยที่บ้านทำงานด้วยน่ะค่ะ เกรงว่าจะไม่สะดวก” เธอต้องช่วยบิดาและมารดาเลี้ยงเตรียมอาหารเอาไว้ขาย หากต้องไปทำงานล่วงเวลาหรือไปค้างคืนที่ไหนพวกท่านคงไม่ยอมแน่ ๆ
“งั้นผมจะไปขออนุญาตพ่อกับแม่ของคุณที่บ้านดีไหม”
“จะดีเหรอคะ” เธอเอ่ยถามอย่างตกใจ รู้อยู่เต็มอกว่าพวกท่านต้องไม่อนุญาตแน่ ๆ มารดาเลี้ยงเคยพูดว่า ห้ามเธอป่วยเจ็บตาย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีคนช่วยทำกับข้าวให้บิดาขาย และทางบ้านก็จะขาดรายได้ซึ่งมีแค่ทางเดียวที่พอจะหาเงินได้