2
“มานี่” เขาดีดตัวลุกจากเก้าอี้ตัวใหญ่ที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะลากข้อมือเธอไปที่ห้องพักส่วนตัวด้านใน วิจิตราขืนตัวเอาไว้ เขาก็ดันร่างของเธอไปตรงหน้ากระจก
“เธอเห็นอะไรในกระจกบอกฉันซิ” เขาถามเสียงดุ สีหน้าแลดูบึ้งตึงไม่น้อย
“เห็นเอ่อ... ตัวเองค่ะ แล้วก็มีท่านประธานด้วยนะคะ” พอหันไปตอบเช่นนั้นเธอก็ได้รับสายตาพิฆาตจากเขาในทันที
“คุณว่าคุณแต่งตัวแบบนี้เหมือนคนอายุเท่าไหร่”
“ไม่ทราบค่ะ” เธอก้มงุด
“คุณเป็นเลขาของผม แต่แต่งตัวเหมือนแม่บ้านในบริษัท ดูเสื้อผ้าที่คุณใส่ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณแต่งตัวโป๊ ๆ หรืออะไรหรอกนะ แต่อย่างที่บอก แต่งให้มันทันสมัยปราดเปรียวกว่านี้ คุณเองจะได้ดูดีด้วย คุณเล่นใส่กระโปรงยาวมาทำงานทุกวัน เดินสะดุดหกล้มวันนึงกี่รอบแล้ว ไหนตอบผมมาซิ แล้วไอ้แว่นตาหนาเตอะของคุณอีก มองยังไงก็เหมือนครูระเบียบ” เขาเป็นคนตรงและนี่เป็นรอบที่สองที่เขาบ่นเรื่องการแต่งตัวของเธอ
หญิงสาวก้มมองตัวเองก็เห็นจริงตามนั้น เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ติดกระดุมจนถึงคอ สวมกระโปรงยาวถึงน่อง รองเท้าคัชชูสีดำส้นเตี้ย กับกระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่มีข้าวของด้านในมากมายก่ายกองไปหมด ยกเว้นเครื่องสำอางของผู้หญิงสำหรับแต่งหน้าให้ดูดีอยู่เสมอ
“วิจะปรับปรุงเรื่องการแต่งตัวให้ดูดีขึ้นค่ะ” เธอรับปากเขาอีกครั้ง
“เดือนที่แล้วคุณก็รับปากผมแบบนี้ แต่คุณก็ยังแต่งตัวแย่เหมือนเดิม ถ้าคุณแต่งตัวแบบนี้แต่ทำงานได้ดีไม่มีที่ติผมอาจจะมองข้ามมันไปได้บ้าง แต่นี่คุณง่วงนอนในที่ทำงาน แอบงีบหลับแล้วก็พิมพ์งานผิดประจำ ถ้าไม่เพราะพี่ชายของผม ผมไม่รับคุณเข้าทำงานหรอกนะจะบอกให้” เขาเท้าสะเอวมองเธออย่างเอาเรื่อง นั่นทำให้วิจิตราเผลอก้าวถอยหลังด้วยความกลัว จนเกือบไปชนเข้ากับกระจกบานใหญ่ทางด้านหลัง
“นี่คุณระหวังหน่อยสิ” เขารีบดึงแขนของเธอเอาไว้ กลัวเธอจะไปชนเข้ากับกระจกทางด้านหลังแล้วหล่นลงมาตกแตกได้รับบาดเจ็บเอาได้
“วะ! ว้าย” เธอร้องเมื่อเขากระชากแขนของเธอเอาไว้ นั่นทำให้เธอสะดุดขาตัวเองจนหกล้มลงบนตัวของเขา
ทัพพ์เองก็เสียหลักเพราะไม่คิดว่าเธอจะล้มลงมาทับบนตัวของเขา ทำให้ทั้งสองหกล้มไปด้วยกัน
“นี่คุณ!” ทัพพ์เสียงดังใส่คนเหนือร่างที่ทาบทับอยู่บนตัวของเขา แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ เขาก็ถึงกับตกตะลึง
แว่นหนาเตอะของเธอหลุดออกจากใบหน้าสวยหวานที่เขาไม่เคยได้เห็นชัดๆ เช่นนี้มาก่อน เพราะแว่นตาของเธอปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ
“ขะ... ขอโทษค่ะท่านประธาน” วิจิตรารีบลุก ในขณะที่ทัพพ์แกล้งกอดรัดหล่อนเอาไว้แน่น
“ทะ... ท่านประธาน อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” เธอตะเกียกตะกายลุกขึ้น เลยล้มทับไปบนร่างของเขา ริมฝีปากจุ๊บไปที่ปากหนาเต็ม ๆ ทำเอาหล่อนถึงกับตาโต แก้มสาวแดงเรื่อร้อนผ่าว นึกในใจว่าคงต้องโดนเขาตำหนิอีกแน่ ๆ
“คุณนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ เลย” เขาทำเสียงดุใส่ แกล้งกอดรัดเธอเอาไว้แน่น
“ปล่อยวิด้วยค่ะท่านประธาน” เธอเพิ่งรู้ว่าที่ลุกไม่ขึ้นก็เพราะว่าอ้อมแขนแกร่งของเขานี่แหละที่กอดรัดเธอเอาไว้แนบอก
“ก็คุณทับผมเอาไว้แบบนี้ ผมจะลุกได้ยังไงกันล่ะ” เขาพูดไปอีกทาง ในขณะที่ร่างกายของเธอทาบทับเขาอยู่
วิจิตราสายตาสั้นตั้งแต่เด็ก เธอจึงมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน ในขณะที่ทัพพ์มองใบหน้าของเลขาสาวจอมเฉิ่มแต่แสนน่ารักได้อย่างชัดเจน
“ขอโทษค่ะ วิจะพยายามลุกนะคะ” เธอขยับตัวไปมา ร่างกายท่อนล่างเสียดสีกันมากขึ้น นั่นทำให้ทัพพ์สำนึกว่าควรปล่อยเธอ ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้ายังอยู่ในลักษณะนี้ เขานี่แหละจะจับเธอปล้ำทำเมียเสียตั้งแต่ตอนนี้
เขายอมคลายอ้อมแขนออกอย่างแสนเสียดาย ในขณะที่เลขาสาวของเขากำลังควานมือหาแว่นตาหนาเตอะของเธอ
ทัพพ์จัดการหยิบแว่นตาที่หล่นทำตกพื้นขึ้นมาสวมให้เลขาสาว เธอกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้น
“ขอบคุณค่ะท่านประธาน” ในครานี้แม้จะมีแว่นตาหนาเตอะ แต่เขาก็สามารถมองทะลุแว่นไปถึงความสวยน่ารักของเธอได้
เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าเลขาสาวของเขาน่ารักน่าใคร่ขนาดนี้ ปกติสมภารจะไม่กินไก่วัด แต่ไก่วัดตัวนี้เนื้อตัวหอมกรุ่น ชวนเชิญอยากให้เขาได้ลิ้มลองเนื้อแสนหวานเสียเหลือเกิน
“ผมคิดว่ารสนิยมการแต่งตัวของคุณคงไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าผมยังปล่อยให้คุณไปเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเองแบบนี้ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปผมจะเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้คุณเอง ดีไหม” ท้ายประโยคเขาเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ได้อยากรอฟังคำตอบอันใด ปล่อยให้เธอได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
“คุณไปทำงานได้แล้ว เย็นนี้ผมจะพาคุณไปเลือกซื้อเสื้อผ้า” เขาสรุปเสร็จสรรพหลังจากไล่เธอออกมาจากห้องแบบนิ่มนวล แทนที่จะพูดประโยคที่ว่า ไสหัวออกไปจากห้องซะ
วิจิตราทำงานอย่างว้าวุ่นใจไปหมด เธอทั้งเกร็งทั้งทำตัวไม่ถูกที่จะต้องไปเลือกซื้อเสื้อผ้ากับเจ้านายหนุ่มมาดดุ ปากร้ายเช่นทัพพ์
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยเถอะคุณ ผมไม่ได้พาคุณไปฆ่าไปแกงเสียหน่อย แค่จะพาไปซื้อเสื้อผ้าก็เท่านั้นเอง” เขาทำเสียงดุใส่เธอเมื่อพาเธอมาที่รถ
“ขอโทษค่ะ”
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ต้องขอโทษบ่อยก็ได้นะ” ประโยคนั้นของเขาทำให้เธอเผลอกัดปากเล็กน้อย
“สายตาสั้นตั้งแต่เด็กเหรอ” พอขึ้นมานั่งบนรถด้วยกัน เขาก็ชวนคุย ทัพพ์มีคนขับรถประจำตัวเป็นชายวัยกลางคนพูดน้อยแต่ดูใจดีชื่อน้าชัย
“ใช่ค่ะท่านประธาน” วิจิตราตอบอย่างอ่อนน้อม
“ทำไมไม่ใส่คอนแทคเลนส์ล่ะ จะได้ไม่เกะกะ”
“ถนัดใส่แว่นมากกว่าค่ะ” เธออุบอิบตอบ เขาจึงเงียบเสียงลงไม่ได้ถามอะไรต่อ
พอไปถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เขาก็พาเธอเดินเข้าไปในห้องเสื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัด วิจิตราถึงกับขาแข็ง ก้าวขาไม่ออกโดยพลัน
“เป็นอะไร ทำไมไม่เดินเข้ามาในร้าน” เสียงดุๆ ของเจ้านายหนุ่มทำให้วิจิตรารีบส่ายหน้าดิก
“ทำไม” เขาถามย้ำอีกครั้ง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังสงสัยในท่าทีของเธอ
“ร้านนี้มันแพงมาก ๆ เลยนะคะ เสื้อตัวเดียวเท่ากับค่าข้าวทั้งเดือนของวิเลย วิว่าเราไปซื้อเสื้อผ้าร้านอื่นกันดีกว่าค่ะ” คนพูดมีท่าทีเหลอหลา แต่ดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของทัพพ์ เขาไม่เคยนึกเอ็นดูหญิงใดเท่านี้มาก่อน
“ร้านอื่นของเธอ หมายถึงเสื้อผ้าประเภทที่เธอใส่อยู่นี่น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม กวาดสายตามองเสื้อผ้าเฉิ่มเชยของเธอไม่วางตา
“ท่านประธานบอกว่าจะเลือกเสื้อผ้าให้วิ มันคงจะไม่เชยเหมือนอย่างที่วิเลือกหรอกค่ะ เสื้อผ้าร้านทั่วไปวิก็ใส่ได้ค่ะ แถมยังประหยัดเงินอีกด้วย”
“เงินเดือนที่ผมให้คุณ ผมคิดว่าคุณพอจะซื้อเสื้อผ้าร้านนี้ได้นะ”
“วิไม่มีเงินหรอกค่ะ” เธอจะบอกเขาได้อย่างไรว่า เงินเดือนของเธอมันหมดตั้งแต่วันแรกที่ออก ไหนจะให้บิดา ไหนจะให้น้อง ๆ
ค่ากินของเธอก็คือข้าวแกงที่บิดาและมารดาเลี้ยงขาย เธอไม่ได้กินอาหารกลางวันที่ศูนย์อาหารของบริษัทเหมือนคนอื่น แต่แอบไปกินข้าวที่พามาจากบ้าน ที่ม้าหินอ่อนในสวนเงียบ ๆ คนเดียว
“งั้นผมจะจ่ายให้คุณก่อน คุณก็ค่อยทยอยคืนผมก็ได้” เขาบอกอย่างใจป้ำ