บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ขายโสม

บทที่ 9 ขายโสม

“ข้าพบดงโสมเจ้าค่ะท่านแม่!!!” เสียงกระซิบของลูกสาวนั้นแผ่วเบาแต่ทว่าเสียงที่นางบอกนั้นดังสนั่นในหัวของเจียงซิ่วเหยา

“อะ..อะไรนะลูกรัก เจ้าพูดอีกทีซิ”

เจียงซิ่วเหยาเอื่อมมือมาจับมือของลูกสาวและเขย่าเบาๆ เจียงหย่าเสวี่ยหันไปมองป้าจวงและพยักหน้าให้เล็กน้อยจากนั้น ป้าจวงก็นำตะกร้าใบหน้าเข้าไปวางไว้ในรถม้าปิดผ้าหน้าหน้าต่างให้เรียบร้อยและหันไปพยักหน้าให้คุณหนูเล็กของนางประมาณว่าเรียบร้อย เสร็จแล้วนางก็เดินไปหากลุ่มของคนขับรถม้าและคนคุ้มกันที่กำลังนั่งกินอาหารที่พวกนางทำโดยพวกเขาได้แยกไปนั่งไกลพอสมควร ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ป้าจวงแบกมา

ป้าจวงเดินไปหาอาหานและสั่งให้เขาทำความสะอาดไก่ทันที พลางหันไปบอกคนคุ้มกันว่าวันนี้พวกนางจะย่างไก่เพิ่ม เมื่อพวกเขาเห็นว่าวันนี้จะมีเนื้อเพิ่มขึ้นจึงวางชามโจ๊กและรีบไปช่วยอาหานจัดการไก่ทันที ใครเล่าจะไม่อยากกินเนื้อ เป็นอันว่าทั้งคนคุ้มกันคนขับรถม้าพากันเอาไก่ออกไปทำที่ลำธารที่อยู่ไม่ไกลแทนซึ่งเป็นการดีต่อเจียงหย่าเสวี่ยที่จะได้นำโสมและเห็ดหลินจือมาให้ท่านแม่ดู

เมื่อเจียงซิ่วเหยาเดินเข้าไปในรถม้าที่ปิดประตูผ้าม่านเรียบร้อย ชั่วครู่ที่นางมองเห็นโสมขนาดใหญ่เกือบเท่าหัวไชเท้าที่วางอยู่บนพื้นพร้อมกับเห็ดหลินจือที่ขึ้นอยู่เป็นดง นางถึงกับสะดุ้งตกใจ มือที่กำลังจะยกขึ้นปิดปากก็สั่นอย่างห้ามไม่ได้

"นี่...นี่มันโสมจริงๆ หรือ? ข้าไม่เคยเห็นโสมที่มีแขนขาคล้ายคนเช่นนี้มาก่อนเลย!"

เจียงซิ่วเหยาพูดพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ตรงหน้าของนางคือโสมที่ดูราวกับมีชีวิต

"ท่านแม่! นี่แหละโสมที่ข้าพบ!" เจียงหย่าซวี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่ยื่นมือไปลูบหัวโสมเบาๆ เหมือนมันเป็นเด็กน้อยตัวหนึ่ง

"ข้าพบมันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันเหมือนกับจะโผล่ขึ้นมาให้ข้าเก็บง่ายๆ เลยเจ้าค่ะ"

เจียงซิ่วเหยาส่ายหน้า "ดง...เจ้าบอกว่ามันเป็นดงจริงๆ หรือ? โสมและเห็ดหลินจือเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง ข้าเองเคยได้ยินแต่ว่ามีผู้คนต้องบุกป่าฝ่าดงแทบทั้งชีวิตถึงจะได้มาแต่ละต้น แต่เจ้า...กลับพูดว่ามันขึ้นเป็นดง!" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจและไม่เข้าใจเจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตกใจและแปลกใจ มือยังคงสั่นอยู่ขณะมองดูเห็ดหลินจือที่ขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ตรงนั้น

"ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ เพราะว่าข้าป่วยหนักมานานท่านเทพป่าเขาคงจะสงสารข้า และให้ข้ามีโชคบ้างเจ้าค่ะ ข้" เจียงหย่าซวี่หัวเราะเบาๆ ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องปกติ

เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจเบาๆ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความตกใจก็เริ่มอ่อนโยนลง มองดูลูกสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยความภาคภูมิใจ

"เจ้าช่างเป็นเด็กที่มีโชคจริงๆ เสวี่ยเออร์ลูกแม่ คงจะเป็นเช่นที่เจ้าว่าท่านเทพคงเห็นใจพวกเราจึงได้ให้เจ้าได้พบดงโสมเห็ดหลินจือเข้าแบบนี้"

ไม่นานป้าจวงและเสี่ยวลิ้วก็เดินตามเข้าไปในรถม้า พวกเขานั่งล้อมวงเพื่อหารือกันในเรื่องการขายโสมและเห็ดหลินจือที่เก็บมาพวกเขาตกลงกันว่าจะแบ่งขายที่เมืองชิงเฉิงซึ่งอยู่ข้างหน้า

“เมื่อถึงเมืองชิงเฉิงที่อยู่ข้างหน้า……เราจะต้องหาโอกาสขายโสมและเห็ดหลินจือในนั้นได้เจ้าค่ะ” เจียงหย่าเสวี่ยเริ่มเปิดบทสนทนา ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เจียงหยวนเจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ฟังด้วยความสนใจ ยกมือขึ้นถาม

“พี่ใหญ่ ถ้าเราขายได้ เงินที่ได้มาจะเยอะแค่ไหนหรือขอรับ?”

เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มอย่างอบอุ่น นางลูบหัวน้องชายของตนเบาๆ “มันจะมากพอที่จะทำให้พวกเราไม่ต้องลำบากอีกนานเลยหล่ะเงินที่ได้จะช่วยให้ท่านแม่และพวกเราอยู่ได้อย่างสุขสบาย มีบ้านที่แข็งแรงและอาหารที่เพียงพอ ไม่ต้องห่วงไปนะ”

ป้าจวงเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าว่าถ้าเราจะขาย ควรต้องเลือกขายในร้านยาที่น่าเชื่อถือ หรือไม่ก็หาคนกลางที่เชื่อถือได้ มิฉะนั้นอาจจะถูกกดราคา หรือเล่ห์เหลี่ยมจากพวกพ่อค้าที่มีประสบการณ์”

ท่านแม่เสริมขึ้น “ถูกแล้ว การขายโสมและเห็ดหลินจือเช่นนี้ ถ้าเราขายให้กับร้านยาที่ใหญ่และน่าเชื่อถือ เราจะได้ราคาที่สูง และไม่ถูกหลอกง่ายๆ”

เจียงหย่าเสวี่ยฟังทุกคนและพยักหน้าเบาๆ “เอาอย่างนี้แล้วกัน เมื่อตอนที่เราเข้าเมือง เราจะหาข่าวเกี่ยวกับร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองก่อน และดูว่ามีคนกลางที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ข้าจะไปขายเอง แต่ป้าจวงจะต้องอยู่เคียงข้างข้าด้วย”

ป้าจวงยิ้มและตอบรับทันที “เจ้าค่ะ คุณหนูเล็ก บ่าวจะอยู่ข้างคุณหนูเองไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”

เจียงหยวนเจี๋ยที่ยังตื่นเต้นกับการขายของก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าการขายโสมในตลาดใหญ่ๆ นั้นจะเป็นอย่างไร!”

เจียงหย่าเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก เจ้าเล็กเจ้ายังเด็กอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นข้าไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงเอาไว้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังเองนะ”

เจียงหยวนเจี๋ยทำท่าทีผิดหวังแต่ก็ยอมรับคำสั่งของพี่สาวของตน นางตบหัวน้องชายเบาๆ เป็นการปลอบใจก่อนที่ท่านแม่ที่มือซ้ายถือโสมอายุ1000ปี มือขวาถือเห็ดหลินจือดอกใหญ่กว่าใบหน้าของนางและยืนขึ้นใบหน้าของนางเชิดขึ้นมาเล็กน้อย ชายเสื้อปลิวไสวเบาๆ จากลมที่ไหนก็ไม่รู้พัดมา ก่อนจะค่อยๆ หันไปหาทุกคนและเอ่ยขึ้นมาว่า

“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วเรามาเตรียมตัวเดินทางกันเถอะ ข้ารู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเรา”

ขบวนรถม้าของเจียงหย่าเสวี่ยและพวกเดินทางต่อไปยังเมืองชิงเฉินทันทีหลังจากที่พวกเขากินไก่ย่างแสนอร่อยนั้นหมด การเดินทางไม่ได้นานเท่าไรนัก ในช่วงใกล้เที่ยง พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความคึกคัก สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ค้าร้านรวงเต็มไปด้วยสินค้ามากมายหลากหลายชนิด ตั้งแต่อาหาร ผัก ผลไม้ ผ้าแพร เครื่องประดับ ไปจนถึงอาวุธยุทธภัณฑ์

“ว้าววว เมืองชิงเฉิงใหญ่จริงๆ มีคนมากมายเลย”

เจียงหยวนเจี๋ยอุทานอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาของเขาเป็นประกายเมื่อได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พลางคิดว่าชีวิตนอกจวนเจียงนี้ช่างอิสระและเป็นชีวิตที่ดีจริงๆ เขาชอบมากเลยแบบนี้

เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของน้องชาย “ใช่แล้ว เมืองใหญ่นั้นเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็ต้องระวังตัวด้วย มันไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะมีเจตนาดี”

พี่อาหานและป้าจวงต่างพากันพยักหน้า “ขอรับ พวกข้าจะคอยระวังหลังให้คุณหนูเล็กและทุกคนเอง”

เมื่อเข้ามาในเมือง พวกเขาพยายามมองหาที่พักก่อนเมื่อได้ที่พักที่เหมาะสม ป้าจวงก็เป็นผู้จัดการติดต่อเรื่องห้องพัก และให้เจียงหย่าเสวี่ยกับเจียงหยวนเจี๋ยได้พักผ่อนทันที

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงก็เริ่มออกเดินสำรวจเมืองเพื่อหาข้อมูลเรื่องร้านยาที่สามารถขายโสมได้ นางพบว่ามีร้านยาขนาดใหญ่ชื่อว่า “หยูอี้ถัง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องการซื้อขายสมุนไพรคุณภาพสูง และเป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่เอาเปรียบชาวบ้าน เพราะว่าเวลายังไม่ค่ำเจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงก็ตัดสินใจไปยังร้านยาหยูอี้ถังเพื่อติดต่อขายโสม พวกนางเดินผ่านตลาดที่เต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนเดินสวนไปมา สองข้างทางมีร้านขายของเรียงรายเต็มไปหมดช่างเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาจริงๆ เจียงหย่าเสวี่ยที่มาจากอนาคตนั้นย่อมต้องตื่นตาตื่นใจกับตลาดโบราณแบบนี้อยู่แล้ว ขณะที่ป้าจวงที่เดินแบกตะกร้าตามมานั้นนิ่งกว่ามากตามสไตล์จอมยุทธหญิง นางเดินเคียงข้างเจียงหย่าเสวี่ย คอยดูแลความปลอดภัยรอบๆ ตัวเมื่อมาถึงหน้าร้านยาหยูอี้ถัง เจียงหย่าเสวี่ยเงยหน้ามองป้ายร้านที่ประดับด้วยตัวอักษรสีทองที่ดูสง่างาม นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปหาป้าจวง

“ป้าจวง พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

เมื่อเข้าไปในร้าน กลิ่นของสมุนไพรและยาจีนอวลขึ้นมา ทำให้เจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกถึงความขลังและศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่แห่งนี้ ภายในร้านเต็มไปด้วยชั้นวางสมุนไพรต่างๆ และพนักงานที่กำลังยุ่งกับการเตรียมยาส่งให้กับลูกค้า

เจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงเดินเข้าไปที่โต๊ะ พนักงานต้อนรับซึ่งเป็นหญิงสาวในชุดยาที่ดูเรียบร้อยยิ้มและทักทาย

“สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านมาซื้อหรือมาขายสมุนไพรเจ้าคะ?”

เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบ

“ข้ามีสมุนไพรที่หายากที่ต้องการจะขาย ไม่ทราบว่าทางร้านของท่านจะสนใจหรือไม่”

พนักงานต้อนรับได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบกล่าวด้วยความสุภาพ

“เป็นสมุนไพรชนิดไหนเจ้าคะ"

นางสงสัยปนคาดหวังเพราะว่าช่วงนี้ทางร้านยาหยูอี้ถังของนางนั้นได้รับความกดดันจากทางร้านใหญ่ที่เมืองหลวงมากเพื่อให้หาสมุนไพรหายากชนิดนั้นให้จงได้ แต่ก็อย่างที่บอกมันเป็นสมุนไพรหายากแล้วจะมีคนมาขายง่ายๆ ได้อย่างไร ดังนั้นช่วงนี้ที่ร้านของนางจึงมีบรรยากาศมึนๆ อื่นๆ พอสมควร เมื่อเด็กสาวที่มากับหญิงชราบอกว่ามีสมุนไพรหายากนางก็อดคาดหวังไม่ได้ และเมื่อเด็กสาวคนนั้นวางตะกร้าไม้ไผ้บนโต๊ะและเมื่อนางชะโงกหน้าเข้าไปดูสมุนไพรที่อยู่ข้างในเท่านั้น จากดวงตาเรียวเล็กของนางก็เบิกออกกว้างเกือบเท่าไข่ไก่ มือไม้ของนางสั่นไปหมดก่อนจะเงยหน้ามองสองป้าหลานและเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันสั่นว่า

"โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าจะไปตามหลงจู๊มาเดี๋ยวนี้…เอะ…ไม่ๆ พวกท่านตามข้ามาเลยเจ้าค่ะ ตามมาข้างในเลย”

พูดเสร็จนางเป็นคนที่ถือตะกร้าไม้ไผ้นั้นเองเลยเพราะกลัวสองป้าหลานจะเปลี่ยนใจ เอาไว้ด้วยนี่ล่ะดีแล้ว นางพาทั้งคู่เข้าไปอีกหน้าที่น่าจะเป็นห้องรับรอง และรีบเดินไปบอกเด็กในร้านให้ไปตามหลงจู๊มาด่วน และนางก็เดินไปชงชานั้นดีมาต้อนรับพวกนางทันทีพร้อมขนมสำหรับกินกับชาด้วย ตามกฎเมื่อมีสมุนไพรมีราคามาขายต้องต้อนรับด้วยชาชั้นดีนี่คือกฎของทางร้าน

ไม่นานนัก หลงจู๊ก็เดินเข้ามาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูมีความรู้และความชำนาญในด้านสมุนไพร เขามองเจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนจะกล่าว

“ข้าหลงจู๊ของร้านยาหยูอี้ถัง ข้าได้ยินว่าท่านมีสมุนไพรที่ต้องการขาย ให้ข้าดูหน่อยขอรับ?”

เจียงหย่าเสวี่ยหันไปพยักหน้าให้ป้าจวง นางค่อยๆ เปิดตะกร้าและหยิบโสมหัวหนึ่งออกมา โสมหัวนั้นมีรูปร่างเหมือนคนและมีรากที่สวยงามหลงจูีเมื่อเห็นว่าสมุนไพรที่นำมาขายเป็นอะไรก็ถึงกับอุทานเบาๆ

“โสม!!! มันเป็นโสมจริงหรือ มา… มาขอข้าจับดูหน่อยเถอะ"

เมื่อมือของเขาสัมผัสและดูตามลวดลายวงกลมที่พันวนรอบๆ ต้นโสมที่อยู่ในมือหน้าของเขาก็สว่างไสวราวกับไฟส่อง

"พันปี!!!.มันเป็นโสมพันปีและยังคงสมบูรณ์แบบขนาดนี้...ไม่น่าเชื่อ รอดแล้วเสี่ยวเหม่ยร้านหยี่อี้ถังของพวเรารอดแล้ว!!!”

เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยืนสั่นอยู่ด้านข้าง เขามองเจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงด้วยความสุภาพมากขึ้น

“แม่นางสมุนไพรนี้มีคุณค่าสูงมาก ท่านต้องการจะขายใช่หรือไม่?”

เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ “หากว่าหลงจู๊ให้ราคาดีข้ายินดีจะขายให้กับร้านท่าน”

หลงจู๊ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า

" ข้าให้ราคาสำหรับโสมพันปีนี้ที่สามพันตำลึงขอรับนี่เป็นราคาที่สูงมากจริงๆ” พูดเสร็จก็พยักหน้าขึ้นลงเหมือนกับบอกว่าราคาที่เขาเสนอนั้นสุดยอดแล้วนั้นเอง

ป้าจวงจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความชั้นเชิง

“ท่านหลงจู๊ข้าคิดว่าโสมพันปีนี้มีค่ามากกว่านั้น ท่านลองคิดดูสิว่า หากท่านนำโสมเหล่านี้ไปขายให้กับพวกชนชั้นสูงในเมืองหลวง ท่านจะสามารถทำกำไรได้มากกว่าเป็นสองถึงสามเท่าแน่ๆ”

หลงจู๊ยิ้มเล็กน้อย “ท่านพูดถูก โสมพันปีนั้นหายาก ราคาที่ข้าเสนอก็สูงมากแล้วนะขอรับอีกอย่างการจะไปเมืองหลวงนั้นระยะทางก็ไกลข้าเกรงว่า….” แม้อยากจะได้แต่ด้วยสัญชาตญาณของพ่อค้าก็จำเป็นต้องต่อรอง

ป้าจวงหัวเราะเบาๆ “หากว่านำไปขายที่เมืองหลวงกำไรที่ท่านจะได้คงอีกหลายเท่า ยิ่งเป็นโสมที่มีอายุถึงพันปีแบบนี้ข้าไม่คิดว่ามีใครในเมืองนี้ที่จะกล้าปฏิเสธโสมพันปีที่มีคุณภาพเช่นนี้” ป้าจวงก็ต่อรองอย่างผู้รู้จริงเช่นกัน

“แต่ถึงแม้ว่าจะไปที่เมืองหลวงราคาก็ใช่ว่าจะสูงไปกว่านี้นะขอรับ ของท่านพิจารณาราคาที่ข้าเสนอ”

หลงจู๊ยังคงเล่นเกมส์ต่อรองราคา เพราะถึงแม้ว่าทางเมืองหลวงนั้นจะให้เขาซื้อโสมที่อายุเยอะได้ในราคาที่สูงมากกว่า10000 ตำลึงแต่ว่าหากว่าซื้อถูกได้ย่อมดีกว่าจริงหรือไม่ เขาจึงยังคงอยากจะต่อรองราคาต่อไป

ป้าจวงยิ้มเบาบางบนใบก่อนที่จะลงมือโหดทันที

“โสมหัวนี่ข้าขาย 10500 พันตำลึง ถ้าท่านเห็นด้วยก็ตอบตกลงหาไม่ก็อย่าทำให้พวกข้าเสียเวลาเลยเจ้าค่ะ”

หลงจู๊ร้านหยูอี้ถังเมื่อได้ยินราคาเขานั้นสะดุ้งอย่างแรงเกือบตกเก้าอี้เลยทีเดียว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางนึกว่าพวกนางสองคนเป็นหญิงเขาก็นึกว่าจะเป็นกวางเด็กสมันน้อย เสียอีกที่ไหนได้นี่มันแม่เสือเฒ่าชัดๆ เคี้ยวกว่าเขาอีก!!! ก่อนที่เขาจะกระแอมทำให้ลำคอโล่งเล็กน้อยและเอ่ยว่า

“ราคาที่ท่านเสนอก็ไม่เหลือทางเดินให้ข้าเลย ท่านช่วยลดให้หน่อยเถิดขอรับ”

ตอนนี้เขานั้นรู้ว่าตัวเองเป็นรองจะใช้ไม้แข็งไม่ได้ต้องใช้ไม้อ่อน

“ข้าก็เหลือ 500 ตำลึงที่ห้อยอยู่ให้ท่านต่อรองแล้วอย่างไรเล่าหรือว่าท่านจะไม่เอา” ป้าจวงไม่ยอมผ่อนปรนจริงๆ

ป้าจวงพูดเสร็จก็ยืนขึ้นและค่อยๆ ดึงตะกร้าเตรียมที่จะออกจากร้าน หลงจู๊นั้นต้องรีบยื้อตะกร้าเอาไว้สุดฤทธิ์ภาพที่เห็นนั้นเป็นที่ขบขันสำหรับเจียงหย่าเสวี่ยที่หญิงชายชราสองคนต่างก็ยื้อแย่งตะกร้าไม้ไผ่กันอยู่

“เอา ๆ ขอรับ ข้าเอา…ข้ายอมแล้ว เช่นนั้นก็ราคา 10000 ตำลึงขาดตัวเถอะ”

พูดเสร็จพลางเช็ดเหงื่อที่ออกเต็มไปหน้า เพราะเกือบที่จะเสียโสมพันปีนี้ไปแล้ว

“ท่านเป็นนักต่อรองที่เก่งมาก ข้ายอมรับในความสามารถของท่านจริงโสมหัวนี้พวกข้าซื้อแล้วขอรับ"

เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและยกนิ้วโป้งให้ป้าจวง นางนี่ช่างเป็นของแทร่จริงๆ ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับหลงจู๊ว่า

“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ พวกเขาขอเป็นตั๋วแลกเงิน7000 ตำลึง อีก 3000 ตำลึงของเป็นเงินเจ้าค่ะใส่ในตะกร้าใบนี้ได้เลย" ราวกับตะกร้าใหญ่ใบนี้นำมาเพื่อเตรียมใส่เงินตำลึงที่แสนหนักอึ้งจริงๆ …

เมื่อจัดการเรื่องราคาเสร็จหลงจู๊รีบให้เอาโสมเข้าไปใส่กล่องเก็บอย่างรวดเร็วราวกับกลัวพวกนางเปลี่ยนใจ และกล่าวเพิ่มเติม

“ข้ามีข้อเสนอหนึ่งให้ท่าน หากว่าพวกท่านยังมีของดีเหลืออยู่ ในอีกสองวันข้างหน้า โรงประมูลมังกรเหินซึ่งเป็นโรคประมูลประจำเมืองนี้จะมีการประมูลสมุนไพรและของล้ำค่าต่างๆ หากท่านต้องการ ข้าแนะนำให้ท่านนำของล้ำค่าไปประมูลได้ท่านเพียงบอกที่หน้าโรงประมูลว่ามา ร้านขายยาหยู่อี้ถังแนะนำเท่านั้นพวกเขาจะให้ท่านเข้าไปได้”

ที่หลงจู๊เอ่ยเช่นนี้เพราะเขาคิดว่าสองป้าหลานคู่นี้น่าจะยังมีของดีเหลืออยู่แน่นอนเพราะท่าทางที่ไม่หยีล่ะหรือง้องอนคนซื้อนั้นบอกได้เลยว่าพวกเขายังมีของดีอีกมาก นี่คือการมองจากคนมีประสบการณ์สูงอย่างเขานั้นเอง

เจียงหย่าเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกาย นางหันไปหาป้าจวง “ป้าจวง ท่านคิดว่าอย่างไร?”

ป้าจวงยิ้มและพยักหน้า “ข้าคิดว่าเป็นความคิดที่ดี การประมูลอาจทำให้เราได้ราคาที่สูงกว่าที่เราคิดไว้ และท่านยังมีโอกาสได้เห็นตลาดที่แท้จริงของโสมนี้ด้วยเจ้าค่ะคุณหนูเล็ก” ป้าจวงไม่ได้พูดเสียงดังนัก

เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า “ตกลงพวกข้าสนใจเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านเจ้าของร้านสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

เจ้าของร้านยิ้มและกล่าว “ขอให้โชคดีขอรับ”

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เจียงหย่าเสวี่ยและป้าจวงก็ได้รับเงินตามที่ต้องการก็เดินแบกเงินออกมาจากร้าน ท่าทางการแบกนั้นเหมือนกับว่าเงิน 3000 ตำลึงนั้นไม่ได้หนักหนาสำหรับนางเลย (ก็เงินพวกนั้นเข้าไปในมิติหมดแล้ว ตอนนี้ป้าจวงแบกตะกร้าเปล่านั้นเอง)

พวกนางเดินออกมาต่างก็รู้สึกถึงความโล่งใจและความสำเร็จที่ได้ช่วยครอบครัวให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก และยังตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ที่รออยู่ในการประมูลที่จะมาถึง….

**** ตอนหน้าไปโรงประมูลต่อเลยค่ะ ตอนนี้ต้องหาเงินให้เยอะ จะได้ไปสร้างอนาจักรที่เมืองอวี้ไห่กัน****

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel