เฟิงหย่าเสวี่ย จิตรกรหัตถ์สวรรค์

375.0K · ยังไม่จบ
Primพริมโรส
115
บท
18.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เรื่องย่อ เจียงหย่าเสวี่ย บุตรสาวของภรรยาเอกเสนาบดีเจียงเฉินแห่งแคว้นต้าเฉิน ต้องพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายหลังจากมารดาของนางถูกใส่ร้ายว่าคบชู้ เนื่องจากน้องชายของเจียงหย่าเสวี่ยเกิดมาพร้อมนิ้วที่เกินมาหนึ่งนิ้วที่มือ ทำให้ตระกูลเจียงรังเกียจและคิดว่าเป็นตัวอัปมงคลจึงหาทางป้ายสีพวกนางเพื่อไล่ออกจากตระกูล อีกทั้งยังมีภรรยารองของเสนาบดีที่เป็นถึงบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่ฮ่องเต้ไว้วางใจคอยยุยงและใส่ร้ายอยู่ตลอดเวลาเพราะต้องการให้ลูกๆ ของตนเป็นผู้สืบทอดตระกูล เจียงซิ่วเหยา มารดาของเจียงหย่าเสวี่ยนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของนายอำเภอเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลแต่งออกมากับเจียงเฉินด้วยความรักสุดหัวใจ ไหนเลยจะมีอำนาจมาต่อสู้กับอิทธิพลของภรรยารอง นางจึงจำต้องหย่าร้างทั้งๆ ที่แสนจะอับอายที่ไม่สามารถที่จะล้างมลทินให้ตัวเองได้ บุตรสาววัย 14 ปี และบุตรชายวัย 8 ขวบที่ตระกูลเจียงไม่ต้องการ ต้องระเห็จออกจากจวนพร้อมทั้งห้ามพวกนางใช้แซ่เจียงอีกต่อไป เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเดิมอับอาย ท่านแม่เจียงซิ่วเหยาจึงไม่พาลูกๆ กลับไปที่ตระกูลเดิมของตน แต่ตัดสินใจพาลูกๆ เร่ร่อนไปอยู่อีกฟากของแคว้นที่ห่างไกล เพราะเส้นทางที่เดินทางนั้นยากลำบากประกอบกับเงินที่เหลือจากสินเดิมที่มีเพียงเล็กน้อยของท่านแม่ ทำให้พวกนางต้องประหยัดกันอย่างมาก ในระหว่างการเดินทางหย่าเสวี่ยป่วยหนักและเสียชีวิต โดยที่เจียงซิ่วเหยาและบ่าวที่มาด้วยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลาวิกฤตวิญญาณของหลี่หนิง ปรมาจารย์จิตรกรจากยุคปัจจุบันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในรอบ100ปี ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ยและตอนที่เธอทะลุมิติมานั้น พู่กันโบราณที่เป็นของขวัญวันเกิดที่เธอได้รับจากลูกศิษย์ของเธอได้ทะลุมิติมาพร้อมกับเธอด้วย เมื่อได้รับความความทรงจำและการฝากฝังครอบครัวจากร่างเดิมทำให้หลี่หนิงหรือเจียงหย่าเสวี่ย จำเป็นต้องใช้ทักษะที่มีเพื่อเอาตัวรอดและปกป้องครอบครัวเล็กๆ ของนางท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตในชนบท และนั่นเองที่ทำให้นางค้นพบพลังลึกลับที่แฝงอยู่ในพู่กันของตน นางพบว่าเมื่อใส่จิตวิญญาณลงในภาพวาด ภาพเหล่านั้นจะมีชีวิตและสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโลกจริงได้ สายน้ำที่วาดกลับเคลื่อนไหว ใบไม้พลิ้วไหวตามสายลม และสัตว์ในภาพที่สามารถขยับราวกับเป็นของจริง ด้วยพู่กันที่มีพลังแห่งหัตถ์สวรรค์ ประกอบกับฝีมือที่เป็นถึงปรมจารย์ในรอบ 100 ปี ของหย่าเสวี่ยวทำให้นางสามารถพลิกฐานะครอบครัวและสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว และพวกนางได้ตั้งตระกูลของตัวเองขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าตระกูลเฟิง เฟิงหย่าเสวี่ยนั้นต้องการที่จะล้างมลทินให้กับมารดาของนาง และทวงคืนศักดิ์ศรีของครอบครัวของนาง และน้องชายผู้นั้นที่พวกตระกูลเจียงรังเกียจนั้นนางจะสอนให้เขาเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังให้ได้ อยากจะรู้นักหากว่าตระกูลเจียงได้รู้ว่าพวกเขาได้ทิ้งหยกล้ำค่าอย่างพวกนางไปพวกเขาจะเป็นเช่นไร!!! มาติดตามและเอาใจช่วยชีวิตของปรมาจารย์จิตรกรสาวสวยคนนี้กัน....

นิยายจีนโบราณข้ามมิตินิยายย้อนยุคฟินๆจีนโบราณแหกหน้านางเอกเก่ง

บทที่ 1 ความอัปยศ

บทที่ 1 ความอัปยศ

ณ คฤหาสน์ตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าจง

ค่ำคืนที่เงียบสงบกลับกลายเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนบ่งบอกถึงชะตากรรมอันเลวร้ายของคนในตระกูลเจียง ภายในจวนใหญ่ของตระกูลเจียง ผู้คนต่างมารวมตัวกันอย่างแน่นหนา เสียงซุบซิบและการพูดคุยกันเบาๆ ของเหล่าคนในตระกูลและบ่าวไพร่ดังขึ้นทั่วบริเวณ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังศาลาที่ใช้สำหรับตัดสินความผิด ศาลาที่เคยสงบเงียบกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและแรงกดดัน

เจียงซิ่วเหยา ฮูหยินใหญ่ของเสนาบดีเจียงเฉินนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางศาลา ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ น้ำตาหยดลงบนพื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดอย่างไม่เป็นธรรม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟังนางเลย ทุกคนต่างมองนางด้วยสายตาเย้ยหยันและรังเกียจ แต่ทว่าแม้นางจะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แต่ความงดงามของนางยังคงโดดเด่นราวกับดอกสาลี่ที่ต้องสายฝนกระหน่ำ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของนางกลับทำให้คนมองรู้สึกทั้งสงสารและริษยาในความงามพิลาศที่สวรรค์ลำเอียงให้นางมามากมาย ความงามอันอ่อนหวานนั้นเป็นที่ริษยาของบรรดาฮูหยินรองและอี้เหนียงทั้งหลายที่ยืนมองเรื่องสนุกและสะใจในความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ ซึ่งไม่มีใครอยากเห็นนางยืนอยู่ในที่สูงเช่นนี้อีกต่อไปหากว่าสามารถเหยียบย่ำได้ก็จะต้องทำทันที

"ข้าไม่ได้ทำ! ข้าบริสุทธิ์! ท่านพี่ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ "

เจียงซิ่วเหยาร้องเสียงสะอื้น นางพยายามอธิบาย แต่น้ำเสียงของนางถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะเยาะและคำพูดที่เต็มไปด้วยการดูถูกจากผู้คนรอบข้าง

“ไม่ต้องมาแก้ตัว! เจ้าถูกจับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังจะปฏิเสธอะไรอีก! นี่หากว่าไม่ถูกจับได้บนหัวท่านพี่คือ แม้แต่เส้นผมก็คงจะกลายเป็นสีเขียวหมดแล้ว”

เสียงของเจียงหลันฟาง ฮูหยินรองของเสนาบดีเจียงเฉินดังขึ้น นางยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าของนางงดงามและเปล่งประกายด้วยความมั่นใจที่มาจากความสูงศักดิ์ เจียงหลันฟางหรือหลิวหลันฟางเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาหลิวตงเฉิน ที่ฮ่องเต้ไว้วางใจครอบครัวของนางมีทั้งอำนาจและฐานะที่คนทั่วไปยำเกรง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยังต้องเกรงใจนาง ใบหน้าของนางฉายแววแห่งความสะใจ ขณะที่สายตาของนางจับจ้องมาที่เจียงซิ่วเหยาราวกับจะเหยียบย่ำให้จมดิน

"ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น! ข้าไม่เคยคิดคบชู้กับบ่าวรับใช้! ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ท่านพี่ ท่านแม่โปรดเชื่อข้าเถิดเจ้าค่ะ ฮื่ออออ!!!" เจียงซิ่วเหยาร้องออกมาน้ำเสียงของนางสั่นเครือด้วยความสิ้นหวัง

"มันเป็นการใส่ร้าย ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดบ่าวคนนั้นถึงมาอยู่ในห้องของข้า! มันเป็นการจัดฉากเพื่อใส่ร้ายข้าจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ ท่านพี่ เชื่อข้าเถอะ"

แต่คำพูดของเจียงซิ่วเหยากลับไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครในที่นั้นที่คิดจะฟังนาง ถึงแม้ว่านางจะพูดความจริงแล้วอย่างไรเล่า?? …ในที่แห่งนี่มีแต่คนที่แข็งแกร่งและระมัดระวังตัวเองเท่านั้นถึงจะอยู่รอด นี่คือความคิดของเหล่าอี้เหนียง ไม่มีความสงสารเห็นใจเลยถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ตาม พวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นท่านเองที่พลาด..ฮูหยินใหญ่.

บ่าวรับใช้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับนางได้หลบหนีไปเมื่อถูกจับได้ ทิ้งให้นางต้องรับความอัปยศไว้เพียงลำพัง สถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนในตระกูลเชื่อว่านางเป็นผู้ผิดจริง เจียงซิ่วเหยาหันสายตาไปมองเจียงเฉิน สามีของนางที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตาเย็นชานั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา ไม่มีแล้วสายตาแห่งความรักใคร่ที่นางเคยได้รับจากเขา ไม่มีอีกแล้วสายตาแห่งความเมตตา..ไม่มีแล้วจริงๆ นางคิดด้วยความเศร้าและสิ้นหวัง

เสนาบดีเจียงเฉินที่นั่งก้มมองร่างของฮูหยินเอกของตนด้วยสายตาเฉยเมย เขาเป็นชายฉกรรจ์ในวัยสี่สิบกว่าที่มีความสง่างามและหล่อเหลาอย่างน่าประทับใจ ความสูงของเขาโดดเด่น รูปร่างสมส่วนด้วยความแข็งแรงแบบนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขายังคงมีท่วงท่าที่องอาจและน่าเกรงขาม แม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้วแต่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ถึงความน่าดึงดูดของเขา ใบหน้าของเขายังคงมีความคมชัดและสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ จมูกโด่งรับกับคิ้วที่เข้ม หน้าผากกว้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด ดวงตาคมเข้มแฝงด้วยประกายเยือกเย็นที่แสดงถึงอำนาจและความเด็ดขาด มุมปากของเขามักจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเบา ๆ ที่ดูทั้งมีเสน่ห์และลึกลับ เส้นผมของเขามีสีดำเข้มตัดกับสีเงินที่แทรกอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งยิ่งทำให้เขาดูมีความน่าดึงดูดในแบบผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์

แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เจียงเฉินก็ยังคงดูดีและมีบารมีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การแต่งกายของเขามักจะเลือกชุดที่ประณีตและดูสง่างาม เครื่องแต่งกายสีเข้มที่เน้นลวดลายสีทองทำให้เขาดูเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยความมั่นคงและอำนาจ ทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน สายตาของผู้คนรอบข้างจะจับจ้องที่เขา ด้วยความเคารพและเกรงกลัว ความหล่อเหลาของเจียงเฉินนั้นไม่ได้มาจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมาจากออร่าของอำนาจ ความมั่นใจ และการควบคุมตัวเองที่เขามีตลอดเวลา

เจียงซิ่วเหยาละสายตาจะสามีของนางและมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของเจียงเฉินที่เคยรักและเอ็นดูนาง แต่บัดนี้กลับมองนางด้วยสายตาแห่งความผิดหวังและเกลียดชัง ความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมดินทำให้นางนั้นแทบหายใจไม่ออก พวกเขามองนางราวกับมองคนแปลกหน้าไม่ใช่คนที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายปีแต่อย่างใด

"เจียงซิ่วเหยา เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นภรรยาเอกแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้หรือ?" เจียงหลันฟางกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ "เจ้าไม่เพียงทำลายเกียรติของตระกูลเจียง แต่ยังทำให้ท่านพี่ต้องอับอายอย่างถึงที่สุด"

จียงหลันฟางนั้นก็พยายามกระพือไฟให้ลุกตลอดเวลา นางไม่ต้องการให้ท่านแม่และท่านพี่สงสารเจียงซิ่วเหยา ไม่เช่นนั้นแผนการทั้งหมดคงจะล้มไม่เป็นท่าแน่

เจียงเฉินเสนาบดีผู้เป็นสามีของเจียงซิ่วเหยา นั่งอยู่บนที่นั่งสูง สายตาของเขาเย็นชาและไร้ความรู้สึก ขณะที่เขามองดูภรรยาที่เขาเคยรักนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า การทรยศที่เขาถูกทำให้เชื่อว่าภรรยาของเขากระทำ ทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง แต่ทว่ามันมีสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังมากกว่าการที่ได้ทราบว่านางคบชู้ เขาจึงไม่ได้คัดคานเรื่องในครั้งนี้ ซึ่งหากว่าฮูหยินรองทำสำเร็จ ปัญหานั้นก็จะถูกกำจัดไปจากจวนเจียงของเขาด้วยนั่นเอง เขาจึงไม่ได้พูดอะไร ทั้งๆ ที่ในใจนั้นก็ทราบดีว่าฮูหยินเอกของเขานั้นได้คบชู้หรือไม่

"เจียงซิ่วเหยา ข้าให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในตระกูลเจียง ข้าให้เจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เจ้ายังกล้าทรยศข้าเช่นนี้อีกหรือ?" เสียงของเสนาบดีเจียงเฉินดังขึ้นอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้าทำให้ข้าและตระกูลเจียงต้องอับอายขายหน้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้ามันน่ารังเกียจเพียงใด?"

เจียงซิ่วเหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น นางก้มหน้าลงต่ำ มือของนางสั่นเทาด้วยความกลัวและสิ้นหวัง

"ท่านพี่ ข้าบริสุทธิ์ ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม ขอท่านโปรดเชื่อใจข้าเถิดเจ้าค่ะ"

แต่เสนาบดีเจียงเฉินกลับไม่สนใจคำพูดของนาง เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้บ่าวรับใช้นำตัวเจียงซิ่วเหยาออกไป

"เจ้าไม่มีสิทธิ์อยู่ในจวนนี้อีกต่อไป ข้าจะหย่าขาดจากเจ้า และเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ พร้อมกับลูกๆ ของเจ้า ข้าไม่ต้องการเห็นพวกเจ้าอีก"

คำสั่งของเจียงเฉินเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของเจียงซิ่วเหยา นางทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาของนางไหลรินไม่หยุด ขณะนั้นเอง เจียงหย่าเสวี่ยก็วิ่งมาที่ศาลาและเข้าไปกอดท่านแม่ของนางทันที พลางเอ่ยว่า

"ท่านพ่อ ท่านพ่อได้โปรดเชื่อท่านแม่สักครั้ง ท่านแม่ไม่มีทางที่จะทรยศท่าน ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อ!"

เจียงซิ่วเหยากอดลูกสาวแน่น น้ำตาของนางยิ่งไหลรินมากขึ้น นางรู้สึกทั้งสิ้นหวังและรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกต้องมาพบกับสถานการณ์เช่นนี้

แต่เจียงเฉินกลับไม่ฟัง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากศาลา ทิ้งให้เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและการดูถูกของคนในตระกูล นางไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง

เจียงหลันฟางยืนมองดูเจียงซิ่วเหยาที่กำลังถูกลากตัวออกไปจากศาลา รอยยิ้มที่มุมปากของนางฉายแววแห่งความสะใจ ในที่สุดนางก็สามารถกำจัดคู่แข่งที่ขวางทางลูกๆ ของนางออกไปได้สำเร็จ นางมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้ม พลางคิดว่านี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในตระกูลเจียง และนางจะต้องทำให้แน่ใจว่าลูกๆ ของนางจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของเจียงซิ่วเหยา

เจียงซิ่วเหยาถูกลากให้กลับมาที่เรือนเพื่อที่จะเก็บของของนาง ในขณะเดียวกันเสนาบดีเจียงเฉินก็ให้คนนำหนังสือหย่าและให้นางประทับตราพร้อมกับยัดตั๋วแลกเงินจำนวน 500 ตำลึงให้และเดินจากไปทันที ท่ามกลางสายตาของเหล่าคนรับใช้และคนในตระกูลที่ยืนมองด้วยความสมเพช พวกนางแม่ลูกและบ่าวรับใช้ที่เป็นสินเดิมมาพร้อมนาง 4 คน พวกเขาช่วยกันเก็บของอย่างรวดเร็วเท่าที่พวกนางจะทำได้ เจียงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปเก็บข้าวของของตนเอง ขณะที่บ่าวทั้ง4 คนต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของของเจียงซิ่วเหยา และยังต้องมาเก็บของของน้องชายวัย 8 ขวบที่ตอนนี้ร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจ สภาพของพวกนางนั้นทั้งน่าเวทนาและโกลาหล

ป้าจวงบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านแม่ต้องรีบเข้ามาปลอบน้องชายพลางเก็บของของคุณชายน้องไปด้วย ขณะที่อาหง กับเสี่ยวจิวและอาหานพยายามจัดการกับข้าวของที่กระจัดกระจาย ท่ามกลางความเร่งรีบและแรงกดดันที่มากขึ้นทุกขณะ จากนั้นพวกนางถูกบ่าวของจวนเจียงคุมบังคับให้รีบออกจากจวน เมื่อถึงประตูมีบ่าวชราที่เป็นคนสนิทของฮูหยินรองผลักพวกเขาลงกับพื้นตรงหน้าประตูจวนใหญ่ จากนั้นไม่นานมีบ่าวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกล่องเล็กให้และบอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าให้นางเก็บเอาไว้ เมื่อนางเปิดดูจึงเห็นว่าด้านในเป็นตั๋วเงิน 300 ตำลึงและมีเครื่องประดับหยกและปิ่นปักผมอีก 2-3 ชิ้น เจียงซิ่วเหยาหันกลับไปมองจวนที่เคยเป็นบ้านของนาง น้ำตาของนางไหลรินลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางรู้ว่านับจากนี้ ชีวิตของนางและลูกๆ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ท่ามกลางความสิ้นหวัง เจียงซิ่วเหยาหันมองไปยังลูกๆ ของนาง เจียงหย่าเสวี่ยและน้องชายที่ยังคงร้องไห้เพราะว่าเสียขวัญและบ่าวทั้ง4 ที่พวกเขายังอยู่ในอาการงงงวย แต่เมื่อเห็นนายของตัวเองถูกหย่าและโยนทิ้งออกมาเหมือนของไม่มีค่าเช่นนี้พวกเขาทั้ง 4 ก็พร้อมที่จะออกจากจวนไม่ขออยู่ในสถานที่โหดร้ายเช่นนี้

"ปัง"

เสียงประตูจวนใหญ่ปิดลงอย่างดังสนั่น เหมือนกับการปิดประตูจากชีวิตที่นางเคยมี เจียงซิ่วเหยาประคองลูกชายของนางไว้ในอ้อมแขนพลางปลอบใจเขาเบาๆ พลางสูดหายใจลึกเพื่อข่มความกลัวและความเศร้า นางรู้ว่าต้องเข้มแข็งเพื่อลูกๆ ของนาง แม้ว่าจะไม่มีบ้านอีกต่อไป แต่นางจะไม่ยอมแพ้ที่จะปกป้องครอบครัวของนางจากโลกที่โหดร้ายใบนี้

****ถูกโยนออกมาจากจวนจริงๆ เสนาเจียงไม่สนใจลูกๆ ของตัวเองเลย ใจร้ายมาก****