บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิด
บทที่ 2 เผชิญโลกภายนอก / ของขวัญวันเกิด
ภาพสุดท้ายที่เหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเจียงเห็นและกลับไปรายงานให้กับเจ้านายของพวกเขาแต่ละคนก็คือ ภาพของหญิงสาวที่มีสภาพไม่ต่างจากดอกไม้กลีบบอบบางที่โดยฝนกระหน่ำจนบอบช้ำแต่ทว่ายังแข็งใจเดินออกมา มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือจูงมือลูกชาย และมีบ่าว 4 คนที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเดินตามถนนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
"เจี๋ยเออร์ เสวี่ยเออร์ ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่ยังอยู่กับพวกเจ้าเสมอ"นางพูดกับลูกๆ ของนางเบาๆ
เจียงหย่าเสวี่ยที่ร้องไห้เสียงสั่น
"ท่านแม่...เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ? ทำไมท่านพ่อถึง..."
เจียงซิ่วเหยาพยายามยิ้มอย่างเข้มแข็งไปที่ลูกสาว
"ไม่เป็นไรนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะพาพวกเจ้าไปในที่ที่ปลอดภัย เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย"
ป้าจวงหันมาพูดกับเจียงซิ่วเหมย"ฮูหยินเจ้าคะ เราแวะพักที่โรงเตี้ยมข้างหน้านั้นก่อนดีไหมเจ้าคะ? ดูเหมือนคุณหนูทั้งสองจะเหนื่อยกันมากแล้ว"
เจียงซิ่วเหยา "คุณหนู!! ต่อไปป้าจวงเรียกข้าว่าคุณหนูเถอะ..ตอนนี้ไม่มีฮูหยินอีกแล้ว เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ เจี๋ยเออร์กับเสวี่ยเออร์คงจะหิวแล้วจริงไหมลูก?"
เจียงเจี๋ยเออร์และเจียงหย่าเสวี่ย พยักหน้า"หิวเจ้าค่ะ/เจ้าขอรับ ท่านแม่..."
เจียงซิ่วเหยา "ดีแล้ว พวกเราไปพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน"
"เฮ้อ น่าสงสารจริง ๆ นะ นั่นใช่ฮูหยินใหญ่จากจวนเจียงหรือเปล่า?" หญิงชาวบ้านคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"ใช่แล้ว ข้าเคยเห็นนางตอนยังรุ่งเรืองอยู่ แต่นี่...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง เดี๋ยวข้าจะแอบไปถามยายเฒ่าจงตอนนี่นางออกมาซื้อของ ไว้จะมาเล่าให้เจ้าฟัง"
นางเอ่ยบอกเพื่อนของนางในการหาข่าวและจะมาช่วยกันไขความอยากรู้นี้ให้ได้ราวกับเป็นภารกิจที่จะต้องกระทำ หากไม่ทำจะกินข้าวไม่อร่อยอย่างไรอย่างนั้น
"ใครจะไปคิดว่าคนที่เคยสูงส่งขนาดนั้นจะต้องมาตกต่ำถึงเพียงนี้ ข้าเห็นตอนที่พวกนางถูกบ่าวรับใช้ในจวนโยนออกมาราวกับเป็นของไม่มีค่ามีราคา หาใช่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แล้วสงสารนัก ดูเหมือนลูกๆ ของนางจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ…เฮ้อ… พวกคนใหญ่คนโตนี้ทำอะไรคนธรรมดาแบบพวกเรานี้คาดไม่ถึงจริงๆ "
มีอีกเสียงที่ค้นพบสัจธรรมของชีวิต ดังขึ้นข้างๆ พวกนางสองคน พวกนางจึงหันไปทางนั้นและขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยจากนั้นการนินทาระยะเผาขนก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตามประสาจีนมุงอยากรู้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
"แต่ว่าเจ้าดูสิ นางยังคงดูเข้มแข็งอยู่นะ ไม่ได้อ่อนแอหรือน่าสมเพชเลยนางจูงมือลูก ๆ อย่างนั้น ราวกับว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวของนางได้ ผู้หญิงที่บอบบางแบบนางใครจะนึกว่าจะเข้มแข็งขนาดนี้ได้ "
หญิงที่อยู่ในกลุ่มพูดต่อด้วยความทึ่งและมีหลายคนพยักหน้าตามที่นางพูดด้วย
"ก็จริง... ข้าว่าลูก ๆ ของนางคงจะไม่เข้าใจความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เห็นท่าทางของนางแล้ว ข้าคิดว่านางคงจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ" เพื่อนของนางเสริมพร้อมกับมองตามเจียงซิ่วเหยาที่จูงลูก ๆ และขบวนบ่าวเล็กๆ ที่เดินห่างออกไป
"แต่ก็นะ ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนในเมืองหลวงนี่ใจดำกันจริง ๆ ทุกคนแค่สนใจตัวเองไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปพัวพันกับคนที่ตกต่ำแล้ว" ชายชราที่วิ่งมาดูเหตุการณ์ตั้งแต่แรกพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเห็นใจ
"เจ้าก็พูดถูก เราเองก็ทำได้แค่มองเท่านั้น" เพื่อนของเขาตอบพร้อมถอนหายใจ “แต่ข้าก็หวังว่าพวกเขาจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัยสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ และเด็กๆ เสียจริง ท่านเสนาก็ช่างใจดำเหลือเกินจะให้ออกจากจวนก็ไม่ให้เวลาพวกนางเก็บของเรียกรถม้าเลย แบบนี้พวกนางจะเดินได้ถึงไหนกัน เฮ้ออ..”
จากนั้นก็มองภาพที่หญิงสาวที่เคยมีความสูงส่งต้องเดินฝ่าฝูงชนด้วยความยากลำบาก แต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูเข้มแข็งและพร้อมที่จะปกป้องลูก ๆ และคนของนางอย่างเต็มกำลัง
เจียงหย่าเสวี่ยที่เดินเคียงข้างมารดานั้นร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา นางเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอมาโดยตลอด ทำให้นางหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก นางตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับผู้คนมากมายและบรรยากาศที่แสนวุ่นวายนางยังตั้งตัวไม่ทันจริงๆ ที่อยู่ ท่านพ่อก็โยนท่านแม่ออกมาจากจวน และท่านพ่อยังไม่ต้องการพวกนางอีก…ทำไมท่านพ่อถึงได้ทำแบบนั้น ทำไมถึงไม่รักพวกนางเหมือนกับที่รักลูกๆ ของแม่รองบ้าง นี่คือสิ่งที่เด็กสาวคิด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดหวั่น
เจียงหย่าเสวี่ยเกาะแขนมารดาไว้แน่นราวกับจะหาแหล่งพึ่งพิง มือเล็ก ๆ ที่จับมือของมารดาสั่นเทาด้วยความกลัว ใบหน้าที่บอบบางซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น แต่ความอบอุ่นจากมือของมารดาที่จับนางไว้ก็ช่วยให้นางมีความมั่นใจขึ้นเล็กน้อย แววตาของเจียงหย่าเสวี่ยที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอค่อย ๆ เริ่มแฝงไปด้วยความเข้มแข็งตามแบบที่มารดาแสดงให้เห็น ขณะที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่คน แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการแบกข้าวของ แต่ก็ยังคงเดินตามอย่างจงรักภักดี พวกเขารับรู้ได้ถึงความสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ และต่างก็พร้อมที่จะร่วมฝ่าฟันไปกับนายของตน
ผู้คนในเมืองหลวงที่เดินผ่านต่างเหลือบมองพวกเขาด้วยความสนใจ บ้างหัวเราะเยาะ บ้างกระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ พวกเขาเห็นเพียงครอบครัวที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย ท่ามกลางความโหดร้ายของชีวิตในเมืองหลวง เจียงซิ่วเหยาและลูก ๆ ต้องเดินฝ่าฝูงชนอย่างยากลำบาก แต่แม้จะไม่มีใครช่วย พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ข้าวของที่บ่าวรับใช้ทั้งสี่แบกอยู่ทำให้การเดินเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แต่ทุกคนก็ยังคงพยายามสุดความสามารถ
///////
ปักกิ่งปี 2024
ณ ลานกว้างใหญ่ที่ถูกจัดอย่างหรูหราและสง่างาม ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการแสดงความยินดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เนื่องในงานวันเกิดของปรมาจารย์อัจฉริยะ หลี่หนิงหญิงสาวที่มีอายุเพียง 35 ปี เธอที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะด้านจิตรกรรมในรอบ 100 ปีของ ความสามารถในการวาดภาพและการถ่ายทอดพลังจิตลงในผลงานทำให้หลี่หนิงได้รับการเคารพอย่างมากมายจากศิษย์และบุคคลในวงการศิลปะ ผู้คนต่างมาแสดงความเคารพและมอบของขวัญให้เธอในโอกาสพิเศษนี้
หลี่หนิง"ขอบคุณทุกคนมากที่มาในวันนี้ ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนและความรักจากพวกเธอทุกคน"
ลูกศิษย์คนหนึ่ง"อาจารย์หลี่คะ นี่คือของขวัญที่ฉันค้นพบจากร้านขายของโบราณที่เมืองเฉิงตู เห็นว่าพวกเขาได้มันมาจากสุสานที่ค้นพบไม่นานมานี้ค่ะ ฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับอาจารย์อย่างมากเลยค่ะ มันดูเหมือนมีความลับอย่างไรไม่รู้ ฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะชอบ"
หลี่หนิง ยิ้มและยื่นมือรับของขวัญ "พู่กันโบราณอย่างนั้นหรือ? ช่างลึกลับเสียจริง ๆ ขอบใจมากนะ พวกเธอช่างเอาใจใส่กันดีจริง ๆ"
ลูกศิษย์อีกคน "อาจารย์คะ ลองเปิดดูสิคะ พวกเราเองก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง"
เมื่อหลีหนิงเปิดกล่องเธอเห็นพู่กันโบราณที่อยู่ในกล่องนั้นดูสวยงามและลึกลับ ขนพู่กันที่ดูเหมือนจะนุ่มละมุนกลับมีแสงเรืองรองบางเบา ละม้ายคล้ายกับละอองเวทมนตร์ที่ลอยอยู่รอบๆ ขนพู่กัน เมื่อเธอยกมันขึ้นมองใกล้ๆ จะเห็นลวดลายโบราณที่สลักไว้บนด้ามจับ ลวดลายเหล่านั้นไม่ใช่เพียงลายเส้นธรรมดา แต่กลับดูเหมือนอักษรเวทมนตร์ที่มีพลังลี้ลับแฝงอยู่ แสงจางๆ จากลวดลายสลักนั้นคล้ายกับว่ายังมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ราวกับมันกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง พู่กันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอคอยผู้ที่คู่ควรที่จะใช้มัน พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในทำให้หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่เธอไม่อาจอธิบายได้
หลี่หนิงมองพู่กันด้วยความประทับใจ "ดูสิ ขนพู่กันนุ่มมาก และลวดลายบนด้ามจับก็มีความละเอียดอ่อน เหมือนกับมีบางอย่างแฝงอยู่จริง ๆ"
ลูกศิษย์คนเดิม "อาจารย์ลองใช้ดูสิคะ บางทีอาจจะมีพลังพิเศษก็ได้นะคะ ฮ่า ๆ"
หลี่หนิงหัวเราะเบา ๆ "คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกจริง ๆ เหมือนกับว่ามีพลังอะไรบางอย่างที่ดึงดูดฉันอยู่"
หลี่หนิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากพู่กันนี้ มันราวกับว่ามันกำลังเชื้อเชิญให้เธอสัมผัสอย่างใกล้ชิด ด้วยความประทับใจ เธอค่อย ๆ ใช้นิ้วมือเรียวลูบไปตามปลายพู่กันที่นุ่มละมุน แต่ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีขนพู่กันเส้นหนึ่งที่แข็งเหมือนเข็ม หลี่หนิงยังไม่ทันจะขยับมือกลับ ขนพู่กันเส้นนั้นก็ทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของเธอ
“โอ๊ย!”
เธอร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะเห็นเลือดหยดหนึ่งซึมออกมาจากปลายนิ้ว เลือดหยดนั้นหยดลงไปบนพู่กันโบราณ มันซึมเข้าไปในขนพู่กันอย่างรวดเร็ว และเกิดบางสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น …พู่กันเหมือนกับมีชีวิต มันดูดซับเลือดของเธออย่างกระหาย ราวกับมันกำลังดื่มเลือดในชั่วพริบตา โลกทั้งใบของหลี่หนิงก็พลันมืดดับลง เสียงผู้คนที่กำลังเฉลิมฉลองรอบกายเธอก็หายไป ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป เหมือนกับถูกดึงดูดเข้าไปสู่ความว่างเปล่า เธอไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป ร่างของเธออ่อนแรง และหลี่หนิงก็วูบลงไปทันที ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกสิ่งที่เธอรับรู้ได้
เสียงของผู้คนรอบข้างตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความตกใจ แต่หลี่หนิงกลับไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว มีเพียงความมืดที่เข้าปกคลุมสติและทำให้ทุกอย่างดับมืดลง…ไปตลอดกาล…
******** รีดที่รัก อย่าลืมกด หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์มาเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะค่ะ อยากได้กำลังใจเยอะๆ อยากปั่นๆ 555 ****
***พู่กันขนที่ดูนุ่มนวล****