บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน....
บทที่ 3 เจ็บแล้วจำคือคน…
ผืนฟ้าสีครามกว้างใหญ่เบื้องบน เมฆขาวล่องลอยอ้อยอิ่งเป็นระลอกคลื่นเบา ๆ สายลมอ่อนพัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี เสียงล้อรถม้าดังกุกกักบนถนนกรวดแคบและยาว รถม้าสองคันถูกว่าจ้างเพื่อเดินทางจากเมืองหลวงสู่ชนบทอันห่างไกล อดีตในเมืองใหญ่ที่คึกคักและคลาคล่ำด้วยผู้คนค่อย ๆ เลือนรางราวกับความฝัน ที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงความเงียบสงบและเส้นทางอันไม่รู้จบ
ในรถม้าคันหน้า เจียงซิ่วเหยากับลูก ๆ ทั้งสองและป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งเบียดกันเงียบ ๆ ทุกชีวิตในรถม้าดุจดังวิหคปีกหักที่กำลังลี้ภัยออกจากรังที่ไม่อาจอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป อีกคันเป็นที่นั่งของบ่าวรับใช้และสัมภาระที่เหลือ ผู้ติดตามมีเพียงไม่กี่คน สินทรัพย์เพียงเล็กน้อยที่พวกนางรักษาไว้ได้นั้นเปรียบได้กับเชื้อไฟกองสุดท้ายบนถนนสายยาวสู่เมืองอวี้ไห่ เมืองริมทะเลห่างไกลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของมารดาเจียงซิ่วเหยา
ภายในรถม้าคันแรก เจียงซิ่วเหยาโอบลูกชายลูกสาวไว้แนบอก ป้าจวงบ่าวคนสนิทนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยจัดแจงผ้าเช็ดหน้ากับยาแก้ไข้ เด็ก ๆ ดูเพลียแรงและนอนไม่ค่อยสนิท โดยเฉพาะเจียงหย่าเสวี่ย ริมฝีปากบางซีดกับหน้าผากที่ร้อนผ่าวทำให้หัวใจมารดารุ่มร้อนยิ่งกว่าอากาศภายนอก
ในความเงียบงัน ป้าจวงหันมาสบตาคุณหนูของนางเล็กน้อยอย่างลังเล ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาและระมัดระวัง
"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเล็กตัวร้อนมากทีเดียวเจ้าค่ะ ครานี้เราพึ่งออกจากเมืองหลวงมาได้ไม่ไกล ข้าว่าควรหาที่พักให้พักสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?"
เจียงซิ่วเหยาเม้มริมฝีปากแน่น ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงท้องทุ่งอันว่างเปล่า "พักตอนนี้ก็มิได้ง่ายนัก ป้าจวง...เราต้องใช้เงินอย่างระวัง ไหนจะค่ารถม้า ค่าคนคุ้มกัน ค่ากินอยู่ของพวกเราอีก ข้ากังวลว่าเงินที่มีจะร่อยหรอเกินไปก่อนถึงเมืองอวี้ไห่"
"คุณหนูเจ้าคะ ทำไมไม่กลับไปที่บ้านของคุณท่านก่อนล่ะเจ้าคะ ท่านนายอำเภอคงจะยินดีช่วยเหลือพวกเรา" เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจดึงตัวเองออกจากความคิดที่ลอยไปไกลพลางส่ายหน้าเบา ๆ "ข้าไม่อยากทำให้ครอบครัวของท่านพ่อต้องลำบาก ป้าจวงก็ทราบว่า ท่านพ่อแต่งงานใหม่หลังจากที่แม่ของข้าเสีย ข้าไม่อยากเป็นภาระหรือทำให้พวกเขาเดือดร้อน ข้าถือว่าแต่งออกมาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกมา ไม่อาจจะตักขึ้นมาใหม่ได้ ข้าต้องพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักก่อน แล้วค่อยคิดหาหนทางต่อไป"
"ป้าจวง เราต้องวางแผนเรื่องเงินด้วยนะ ข้าได้เก็บเงินส่วนหนึ่งจากการขายเครื่องประดับของข้าเองก่อนที่เราจะออกมาข้ามีเงินอยู่ไม่มากแต่น่าจะพอสำหรับการตั้งตัวในช่วงแรกข้าวางแผนว่าจะใช้เงินนี้ในการหาที่พักเล็ก ๆ ที่เมืองอวี้ไห่ ก่อนจากนั้นอาจจะเปิดร้านเล็ก ๆ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและลูกๆ"
ป้าจวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ "คุณหนูเจ้าคะ บ่าวคิดว่าเงินที่เรามีอยู่ตอนนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการตั้งตัวในระยะยาว แต่หากเราประหยัดและหาหนทางเพิ่มรายได้ไปพร้อมกัน น่าจะพอผ่านช่วงแรกไปได้"
เจียงซิ่วเหยาถอนหายใจเบา ๆ "ข้ารู้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ข้าตั้งใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพาใคร ข้าต้องการพึ่งตัวเองให้มากที่สุด แม้ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากก็ตาม ข้าไม่อยากเป็นภาระให้ใครอีก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของท่านพ่อหรือใครก็ตาม เมืองอวี้ไห่จะเป็นที่ที่เราจะตั้งหลักและเริ่มต้นชีวิตใหม่"
ป้าจวงพยักหน้าจากนั้นนางก็บอกว่าตอนนี้เงินที่พวกนางมีอยู่นั้นประมาณ 900 ตำลึง ในตอนแรกนั้นพวกนางมีเกือบ 1400 ตำลึง แต่เพราะว่าต้องนำมาจ้างรถม้า 2 คัน และยังจ้างคนคุ้มกันมากับรถมาด้วย 2 คน เพราะว่าห่วงเรื่องความปลอดภัย และซื้อขาวของอาหารสำหรับเดินทางไกลอีก ทำให้ตอนนี้พวกนางเหลือเงินอยู่เพียง 900 ตำลึง นี้รวมกับเงินที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาแล้วด้วย เงิน900 ตำลึงจะว่ามากก็มาจะว่าน้อยก็น้อย เพราะว่ามีปากท้องที่ต้องพึ่งพาเงินจำนวนนี้ถึง 7 ปาก และระยะทางที่จะเดินทางนั้นก็ยังอีกไกล เพราะเมืองอวี้ไห่นั้นต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 เดือนทีเดียว ดังนั้นพวกนางทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องประหยัดมากที่สุด แต่หากว่าไม่ไหวจริงๆ นางคิดว่าจะขายเครื่องประดับที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาอย่างน้อยน่าจะมีเงินเพิ่มอีกสัก 300 ตำลึง เจียงซิ่วเหยาวางแผนกับป้าจวง
เจียงซิ่วเหยาเงียบไปพักใหญ่ นางลูบหน้าผากลูกสาวเบา ๆ สลับกับหันไปดูเจียงหยวนเจี๋ย ลูกชายคนเล็กที่นอนขมวดคิ้วราวกับฝันร้าย น้ำเสียงนางคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่ากับใคร
"สองเดือน...สองเดือนถึงจะไปถึงอวี้ไห่ เมืองหลวงที่ข้าเคยอยู่ บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาสลัวอยู่เบื้องหลัง ชีวิตในจวนเจียง...เป็นเหมือนภาพฝันร้ายที่ข้ายังเจ็บแปลบเมื่อระลึกถึง"
ป้าจวงเม้มปากแน่น และในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ย
"คุณหนู...ท่านยังคิดถึงท่านเจียงเฉินหรือเจ้าคะ?"
เพียงได้ยินชื่อนั้น เจียงซิ่วเหยากำชายเสื้อจนยับ นางเบนสายตาออกนอกหน้าต่าง รถม้าอีกคันที่บรรทุกบ่าวรับใช้และสัมภาระตามมาห่าง ๆ เกือบลับสายตา เสียงล้อบดกรวดกลายเป็นดั่งเข็มแทงใจ
"คิดถึงอย่างนั้นรึ? ข้าคิดถึงคนที่เคยสัญญาว่าจะรักและดูแลข้าตลอดไป คิดถึงผู้ชายที่เคยจับมือข้าบอกว่าจะพาไปชมงานเทศกาลดอกไม้ เขาเคยเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน ทำให้ข้ามองโลกเป็นสีชมพู แต่บัดนี้ เขากลายเป็นคนแปลกหน้าที่ข้าไม่อาจจดจำได้อีกต่อไป"
น้ำเสียงนางสั่นเครือ ป้าจวงค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามา "บ่าวจำได้ดีเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณหนูเปี่ยมด้วยความสุข ท่านเจียงเฉินพูดเสมอว่าท่านคือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตเขา แต่เมื่อคุณหนูรองหลิวหลันฟางจากตระกูลใหญ่ก้าวเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยน..."
"หลิวหลันฟาง..." เจียงซิ่วเหยาหลับตาลง ความร้าวรานกรีดผ่านหัวใจ "นางเป็นดั่งอีกโลกหนึ่ง แฝงด้วยอำนาจ ในราชสำนักของอัครเสนาบดีใหญ่ ไหนเลยข้าจะเทียบชั้นได้ เจียงเฉินก็เหมือนจุดเทียนกลางสายลมแห่งความทะยานอยาก เมื่อได้อำนาจ เขาก็ลืมทุกคำสัญญา ลืมแม้กระทั่งว่าข้าเป็นเมียเอก ลืมลูกที่ข้าถือกำเนิดให้เขา ลืมแม้จะเอ่ยคำว่า ‘ครอบครัว’"
นางเงียบไปครู่ ใบหน้าเจ็บปวดกระเพื่อมด้วยน้ำตาที่ไหลเงียบ "ตอนที่ลูกชายข้าเกิดมา...เพียงเพราะมีนิ้วเกินมาอีกหนึ่งนิ้ว พวกเขากลับว่าลูกข้าเป็นอัปมงคล ข้าจำได้ดี วันนั้นท่านนักพรตถูกเชิญมาที่เรือน เขาเอาแต่พูดว่าลูกข้านำความหายนะ เจียงเฉินพยักหน้าตามทุกคำราวกับถูกสะกด ไม่มองแม้กระทั่งดวงตาที่ข้าอ้อนวอน" ความเจ็บปวดครานั้นมันฝังใจนางมาตลอด
"ข้าอ้อนวอนเขา แต่เขาเมินเฉย เขาลืมคำมั่นสัญญาทุกอย่างเหมือนไม่เคยหลุดจากปากเขา ข้ารู้แล้วว่าคนที่เคยรักข้าแทบจะถวายชีวิตนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นคนเย็นชาได้เร็วเพียงใด" เจียงซิ่วเหยากัดริมฝีปากจนเจ็บ "แล้วข้าจะกลับไปบ้านเดิมทำไม? ข้าจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใด? ในเมื่อคำสัญญาจากบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าไว้ใจที่สุดยังเป็นเพียงถ้อยคำลวง"
ป้าจวงจับมือเจ้านายไว้แน่น ประสานสายตาด้วยความมุ่งมั่น "คุณหนูเจ็บครั้งนี้ คงจำไปชั่วชีวิต แต่ความเจ็บนี้จะหล่อหลอมให้เรามีชีวิตต่อไป แม้เส้นทางข้างหน้าจะไม่ง่าย บ่าวเชื่อว่าท่านจะผ่านมันไปได้ เมื่อถึงอวี้ไห่ ท่านกับพวกเด็ก ๆ จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ห่างจากอำนาจ โฉมหน้าปั้นแต่งของความรักจอมปลอม จิตใจท่านจะได้เยียวยาเจ้าค่ะ"
เจียงซิ่วเหยาเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าป้าจวงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ "ใช่ ข้าจะไม่พึ่งพาคำหวานหรืออำนาจของผู้ใดอีกต่อไป การเดินทางครั้งนี้แม้เหนื่อยยาก ข้าก็จะพาลูก ๆ ไปถึงให้ได้!"
จังหวะนั้น เจียงหย่าเสวี่ยครางเบา ๆ ลืมตาขึ้น นางจ้องมารดาด้วยสายตาอ่อนแรง
"ท่านแม่...เราจะไปไหนหรือเจ้าคะ?"
เจียงซิ่วเหยาหยิบผ้าชุบน้ำค่อย ๆ เช็ดหน้าลูกสาว พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น "ลูกจ๋า เราจะไปอวี้ไห่ เมืองติดทะเลที่สวยงาม เป็นบ้านเกิดท่านยายของเจ้า ที่นั่นลมทะเลอ่อนโยน ดอกไม้แปลกตา ผู้คนเป็นมิตร ลูกจะได้พบกับความสงบที่ไม่เคยได้พบในเมืองหลวง"
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหลับตาพริ้มลงอีกครั้ง และนางเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นในน้ำเสียงมารดา เจียงซิ่วเหยาก้มลงจูบหน้าผากบุตรสาวเบา ๆ แล้วหันมาดูลูกชาย ผู้ยังนอนขมวดคิ้ว เธอลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน "เจ้าดีที่สุด ลูกแม่ แม่จะปกป้องเจ้า ไม่ว่าโลกใบนี้จะโหดร้ายเพียงใดก็ตาม"
ป้าจวงมองภาพเบื้องหน้าอย่างซาบซึ้ง ใบหน้านางแฝงด้วยรอยยิ้มบาง
"บ่าวจะอยู่ข้างคุณหนูเสมอ เราจะอดทน เราจะฝ่าฟัน เราจะไม่ยอมให้คำสัญญาลวงไหนมาทำร้ายพวกเราได้อีก"
นอกหน้าต่าง รถม้ายังคงแล่นไปข้างหน้า ทุ่งหญ้ากว้าง ต้นไม้สูงชะลูด เมืองหลวงที่เคยมีทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นเพียงความทรงจำเลือนราง การเดินทางสู่เมืองอวี้ไห่ครั้งนี้อาจยาวนานและท้าทาย แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความหวังเล็ก ๆ ที่จะสร้างชีวิตใหม่ เรียนรู้จากบาดแผลที่ผ่านมา และระลึกเสมอว่า…เจ็บแล้วจำคือคน
**** น้องหย่าเสวี่ยเริ่มป่วยแล้ว เอาใจช่วยท่านแม่ไปด้วยกันนะคะ กดหัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้น และคอมเมนต์ให้กำลังใจกันเยอะ ๆ นะคะ ****