บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่
บทที่ 4 การสูญเสียและการเริ่มต้นใหม่
การเดินทางที่ยาวนานและแสนเหน็ดเหนื่อยจากเมืองหลวงมายังเมืองอวี้ไห่ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากแดดร้อนจัดสลับกับฝนตกอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นศัตรูที่ทำให้เจียงหย่าเสวี่ย ลูกสาวคนโตของเจียงซิ่วเหยาต้องป่วยไข้ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง แม้นางจะเป็นเด็กที่แข็งแรงและมีความอดทนมากแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญกับการเดินทางที่เหนื่อยล้าและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย นางก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บป่วยที่เข้ามากล้ำกลายได้
ในระหว่างการเดินทาง คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันก็มักจะพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างไม่คาดคิด
"เฮ้อ วันนี้ร้อนจัดจนเหงื่อท่วมตัว แต่พอพ้นเที่ยงไปฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว นี่มันอะไรกันนักหนา"
คนขับรถม้าบ่นออกมา ขณะที่มือของเขากุมบังเหียนแน่นเพื่อควบคุมม้าไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปบนถนนที่ลื่นจากฝน
"ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน" ผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบ
"มันทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเยอะจริง ๆ นายหญิงและคุณหนูก็ต้องลำบากไปด้วย ข้าหวังว่าเราจะไปถึงเมืองต่อไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก"
"ใช่ ข้าก็หวังเช่นนั้น เราทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากันเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะคุณหนูเจียง ข้าเห็นนางป่วยมาตั้งแต่เริ่มการเดินทาง ใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้" คนขับรถม้าตอบพร้อมถอนหายใจยาว เพราะว่าเดินทางด้วยกันมานาน ทำให้มีความรู้สึกเป็นห่วงผูกพันนั้นเป็นเรื่องปรกติ อีกทั้งนายหญิงก็ใจดีกับพวกเขามากไม่ว่าพวกนางกินอะไร พวกเขาก็จะได้กินเช่นนั้น ทำให้พวกเขานั้นตั้งใจที่จะดูแลพวกนางไปจนถึงจุดหมายมาก เขามองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหวังว่าสภาพอากาศจะปรานีพวกเขาบ้างในวันถัดไป
เจียงหย่าเสวี่ยเริ่มมีไข้ตั้งแต่วันแรกๆ ในการเดินทาง เจียงซิ่วเหยาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวและความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องเดินทางต่อ เจียงซิ่วเหยาทำได้เพียงซื้อยาสมุนไพรจากเมืองที่ผ่านเพื่อบรรเทาอาการของลูกสาว ยาสมุนไพรนั้นช่วยให้อาการดีขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ไม่นานเจียงหย่าเสวี่ยก็กลับมาเป็นไข้และไออย่างรุนแรงอีกครั้ง ความหวังที่นางจะฟื้นตัวค่อย ๆ จางหายไปเมื่อเห็นลูกสาวที่รักค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละคืน เจียงซิ่วเหยานั่งอยู่ข้างเตียงของลูกสาว มองดูเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนหลับอย่างยากลำบาก นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ลูกเพื่อลดไข้ และลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก นางภาวนาให้ลูกสาวฟื้นคืนแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ยิ่งนางภาวนา อาการของเจียงหย่าเสวี่ยกลับยิ่งแย่ลง อาการไอที่รุนแรงขึ้นทุกวัน เสียงไอแหบแห้งที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนทำให้เจียงซิ่วเหยารู้สึกปวดใจอย่างที่สุด นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก แต่ทุกสิ่งที่ทำกลับดูไร้ประโยชน์เมื่อเจียงหย่าเสวี่ยยังคงอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน เจียงหยวนเจี๋ยน้องชายของเจียงหย่าเสวี่ย กลับไม่แสดงอาการป่วยหรือเหนื่อยล้าเหมือนพี่สาว ทั้งที่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด เขาดูเหมือนจะชอบการเดินทางครั้งนี้มากด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เขารู้สึกอิสระ เขาไม่ต้องอยู่ในจวนที่เต็มไปด้วยสายตาของคนที่มองเขาเหมือนเป็นสิ่งแปลกประหลาด เด็กน้อยคนนี้รู้สึกถึงความสุขที่ได้เห็นท้องฟ้ากว้างและทุ่งหญ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกว่าตัวเองได้หลุดพ้นจากกรงที่ขังเขามาตลอด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการเดินทางนี้เต็มไปด้วยความลำบาก แต่สำหรับเขา มันคือโอกาสที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น ความรู้สึกของการเป็นภาระยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเจียงหยวนเจี๋ย เขาเห็นพี่สาวที่นอนป่วยอย่างหนัก และเห็นมารดาที่ต้องทนทุกข์เพราะความห่วงใยที่มีต่อลูก เขารู้สึกผิดที่ตนเองกลับไม่มีอาการป่วยเหมือนพี่สาว ทั้งที่เขาอ่อนแอมากกว่า ความคิดเช่นนี้ทำให้เด็กน้อยรู้สึกเจ็บปวด เขามักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในรถม้า ไม่กล้าแสดงความสุขที่เขามีต่อการเดินทางครั้งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขารู้สึกดีในขณะที่พี่สาวกำลังทุกข์ทรมาน ความรู้สึกขัดแย้งเหล่านี้ทำให้หัวใจของเจียงหยวนเจี๋ยเต็มไปด้วยความสับสนและความเศร้า แม้ว่าเขาจะพยายามยิ้มให้มารดาและพี่สาว แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียคนที่เขารักไป
คืนหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นกว่าปกติ เจียงหย่าเสวี่ยมีอาการไข้สูง ร่างกายของนางสั่นสะท้านตลอดเวลา ริมฝีปากซีดเขียวและแห้งแตก ใบหน้าซีดเผือดเหมือนไร้ชีวิต มือที่อ่อนแรงของนางเกาะกุมมือของเจียงซิ่วเหยาไว้แน่น นางมองไปที่มารดาด้วยสายตาที่พร่ามัว เสียงพูดแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
"ท่านแม่...ข้ารู้สึกหนาวเหลือเกิน..."
เจียงซิ่วเหยากุมมือลูกสาวไว้แน่น น้ำตาของนางไหลอาบแก้ม นางรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอและความทุกข์ทรมานของลูกที่รัก ใจของนางแทบจะแตกสลายเมื่อเห็นเจียงหย่าเสวี่ยที่เคยสดใสและแข็งแรงกลับต้องทนทุกข์เช่นนี้ นางพยายามฝืนยิ้มและตอบลูกด้วยเสียงสั่น ๆ
"ไม่เป็นไรนะลูกรัก..ท่านแม่อยู่ที่นี่แล้ว ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...อย่าเพิ่งท้อใจนะ เจ้าใหญ่ของแม่ เจ้าจะต้องหายดี"
คำพูดที่ออกมานั้นแม้จะเต็มไปด้วยความหวัง แต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้มกลับบ่งบอกถึงความกังวลและความกลัวที่ซ่อนอยู่ นางหวังเพียงให้ลูกของนางฟื้นคืนความแข็งแรงและมีชีวิตต่อไป แต่ความจริงที่เห็นกลับทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกทุบทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เจียงหย่าเสวี่ยกลับไม่ตอบ นางเพียงแค่หลับตาลงอย่างอ่อนแรงและนิ่งเงียบไป ร่างกายที่ร้อนจัดกลับค่อยๆ เย็นเฉียบลง ลมหายใจของนางค่อย ๆ หลุดลอย เจียงซิ่วเหยาที่กอดร่างลูกสาวเอาไว้ตลอดเวลาค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง นางพยายามกัดฟันแน่นเพื่อไม่ยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า นางฝืนบอกตัวเองว่าลูกสาวของนางไม่เป็นอะไร นางจะต้องปลอดภัย ตอนนี้นางแค่เหนื่อยมากก็เลยหลับตาเท่านั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ได้โปรดเถอะสวรรค์!!!…ท่านอย่าได้…พวกท่านอย่าได้…!!
ความคิดที่ต้องสูญเสียลูกสาวนั้นทำให้นางไม่สามารถที่จะหายใจออกมาได้
"เสวี่ยเออร์ เจ้าใหญ่ของแม่ ...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร..แม่….แม่กอดลูกเอาไว้แล้ว อุ่นหรือไม่ลูกแม่ เจ้าอุ่นหรือยัง แม่กอดเจ้าแล้ว อุ่นหรื..อุ่นหรือไม่ลูกรัก ...เจ้าจะต้องไม่...ไม่เป็นอะไรนะ "
พูดพลางกอดร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของลูกสาวแล้วโยกร่างกายไปมาเหมือนกับเป็นการกล่อมนางให้หลับ
"เจ้าเพียงแค่หลับไปเท่านั้น...ท่านแม่จะดูแลเจ้าเอง...เจ้าจะไม่เป็นอะไร...เจ้าจะต้องปลอดภัย ที่เมืองอวี้ไห้ สะ ...สวยมากแม่รู้ว่าลูกต้องชอบ ลูกอดทนหน่อย แม่....แม่จะอยู่ตรงนี้ แม่จะไม่ปล่อยเจ้าไป แม่จะกอดเจ้าเอาไว้แน่นๆ ลูกรัก แม่กอด..."
เจียงซิ่วเหยาพูดซ้ำ ๆ ราวกับเป็นการสะกดจิตตัวเอง น้ำเสียงสั่นเครือและแผ่วเบา นางจับมือของลูกสาวไว้แน่นราวกับจะยึดลูกสาวให้อยู่กับนางตลอดไป หัวใจของเจียงซิ่วเหยาเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ น้ำตาของนางไหลลงอย่างไม่อาจหยุดได้ ขณะนั้นเอง ป้าจวงที่นั่งอยู่ข้างๆ มาตลอดค่อยๆ ยื่นมือมาจับที่ชีพจรของเจียงหย่าเสวี่ย นางวางมือลงไปครู่หนึ่งมือของนางสั่นอย่างรุนแรง เมื่อยกออกจากข้อมือผอมบางนั้น นางไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งน้ำตาของนางเริ่มเอ่อล้น ความเงียบที่ปกคลุมในเวลานั้นกลับเป็นเหมือนเสียงกรีดร้องที่ก้องกังวานในใจของเจียงซิ่วเหยา
ในความมืดของค่ำคืน ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งค่ายพัก เสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้าทำให้บรรยากาศดูเย็นเยียบและเงียบงันยิ่งขึ้น ในขณะที่ทุกคนหลับสนิท วิญญาณของหลี่หนิง ผู้ที่เคยเป็นอัจฉริยะจากยุค 21 ได้หลุดลอยจากภพของตนอย่างไม่ทราบสาเหตุ วิญญาณนั้นหลงทางในความว่างเปล่า จนกระทั่งพบกับร่างของเจียงหย่าเสวี่ยที่นอนสงบนิ่งอยู่ ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง หลี่หนิงถูกดึงเข้าไปในร่างนั้นโดยไม่สามารถต่อต้านได้
ทันใดนั้น วิญญาณของหลี่หนิงก็เข้ามาอยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ย นางรู้สึกถึงความหนักอึ้งของร่างกาย และความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่ว นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความมืดรอบตัวทำให้นางรู้สึกสับสนและงุนงง นางไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ร่างกายของนาง นางมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีหญิงคนหนึ่งนั่งกอดร่างนางเอาไว้แน่น เนื้อตัวของหญิงคนนั้นสั่นเทาอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย หลี่หนิงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือที่กุมไว้ นางรู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่มาจากหญิงคนนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ความทรงจำของร่างเดิมก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวของหลี่หนิง นางเห็นภาพของเจียงหย่าเสวี่ยที่เติบโตมาในความรักและความห่วงใยของผู้เป็นแม่ นางรับรู้ถึงความทรมานที่ร่างนี้ต้องเผชิญจากการเจ็บป่วย และความเจ็บปวดที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญเมื่อลูกสาวของนางป่วยหนัก หลี่หนิงสัมผัสได้ถึงความรักที่เจียงซิ่วเหยามีต่อลูกสาวของนาง ความรักที่ยิ่งใหญ่และไม่ยอมแพ้น้ำตาของหลี่หนิงไหลออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นน้ำตาของร่างนี้ที่ร้องไห้ออกมา เพราะนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างลึกซึ้ง ความรักและความสูญเสียที่ท่วมท้นในหัวใจของเจียงซิ่วเหยาได้ทำให้หลี่หนิงรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย และนั่นทำให้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้หญิงผู้นี้ได้พบกับความสุขอีกครั้ง
"ทะ..ท่าน…ท่านแม่..."
เสียงที่หลุดออกมาจากปากนางนั้นแผ่วเบาและสั่นเครือ หลี่หนิงรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับหญิงคนนี้ ความรักและความห่วงใยที่มากมายจนทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดในใจ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอและเจ็บปวด แต่วิญญาณของหลี่หนิงกลับรู้สึกถึงพลังที่ลึกลับอยู่ในร่างนี้ นางไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางรับรู้ได้ชัดเจนคือ หญิงคนนี้รักและห่วงใยนางอย่างสุดหัวใจ
ราวกับเสียงสวรรค์ เจียงซิ่วเหยาสะดุ้งอย่างแรงจากนั้นนางก็กรีดร้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของราตรี มันเป็นเสียงกรีดร้องของความดีใจ ที่ตนได้ของรักกลับคืนมา…
“เสวี่ยเออร์ เสวี่ยเออร์ลูกแม่…ฮื่อออออ”
รุ่งเช้า เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านของรถม้า เจียงซิ่วเหยาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้า นางมองไปที่ลูกสาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ และสังเกตเห็นว่าลูกสาวของนางกำลังลืมตาขึ้น เจียงซิ่วเหยารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก นางยิ้มทั้งน้ำตาและก้มลงไปกอดลูกสาวไว้แน่น
"เจ้าใหญ่! เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหนหรือไม่ บอกแม่เร็วเข้า ลูกอยากจะกินอะไรบอกท่านแม่มาเร็ว"
หลี่หนิงที่อยู่ในร่างของเจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่ท่วมท้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้คือ นางจะต้องปกป้องหญิงคนนี้และเด็กน้อยอีกคนที่นั่งมองนางตาแป๋วอยู่นั่น นางกวาดสายไปที่ร่างเล็กผอมของเด็กน้อยและในที่สุดก็เห็นบางอย่างที่ไม่ปรกติ ที่มือของเขา…มือของเขามีนิ้วงอกออกมาเกินหนึ่งนิ้ว เด็กน้อยรู้สึกถึงการจ้องมองของพี่สาวที่แปลกไป และเมื่อเขามองตามสายตาเขาก็เห็นว่าพี่สาวกำลังจ้องมาที่มือที่มี 6 นิ้วของเขา ด้วยความกังวลเขาจึงค่อยๆซ้อนมือข้างนั้นเอาไว้ข้างหลังและขยับออกห่างพี่สาวเล็กน้อย เขาคิดว่านางคงจะไม่เห็น แต่ทว่าหลีหนิงที่ตอนนี้คือ เจียงหย่าเสวี่ยนั้นรู้สึกและเห็นนางเข้าใจความรู้สึกของน้องชายดีเพราะความทรงจำจากร่างนี้ นางไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย พลางคิดในใจว่า เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะจัดการให้เองน้องชาย….
“ท่านแม่ข้าอยากจะกินโจ๊กผักเจ้าค่ะ” นางตอบออกมาเบาๆ ในที่สุด เจียงซิ่วเหยานั้นดีใจมากที่รู้สาวฟื้นและสามารถโต้ตอบได้นางรีบกุลีกุจอไปทำอาหารเองทันที ทั้งๆ ที่ป้าจวงบอกว่าจะทำให้นางก็ไม่ยอม
ความสูญเสียและความเศร้าที่เจียงซิ่วเหยาต้องเผชิญได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับการมาถึงของหลี่หนิง แม้ว่าเจียงซิ่วเหยาจะไม่รู้ว่าลูกสาวของนางได้จากไปแล้ว และวิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริง แต่หลี่หนิงตั้งใจว่าจะทำให้หญิงคนนี้มีความสุขอีกครั้ง นางจะใช้ชีวิตในร่างนี้เพื่อทดแทนความรักและความห่วงใยที่เจียงซิ่วเหยาได้มอบให้ และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวนี้ได้อีกต่อไป
***ไรท์ถึงกับน้ำตาซึมเลยความรู้สึกของการสูญเสียมันบีบหัวใจจริงๆ เกือบไปแล้ว****