บทที่ 1 ความรู้สึกที่รุนแรง
ดอกกุหลาบสีชมพูหวานแหววในแจกันขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้กลางโต๊ะตรงหัวเตียงภายในห้องนอนสีทึบบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าของห้องไม่ชอบสีสันอะไรมากมายนักแต่กลับมีดอกไม้อยู่คู่กับกระบอกฉีดน้ำ กลีบสวยๆที่เคยสดเคยเบ่งบานเริ่มจะคล้ำลงตามวันและเวลาแม้เจ้าของจะดูแลประคบประหงมมันดีขนาดไหนก็ตาม
“จมูกฉันเริ่มจะติดใจกลิ่นหอมๆของพวกแกแล้วสิเนี่ย จะรีบเหี่ยวเฉากันไปไหนหึ เอาให้คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไปหน่อยสิ” บ่นอย่างไม่คิดจะจริงจังอะไรเขาหอบพวกมันมาอยู่ที่คอนโดจะครบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่ได้เอาไปให้แม่อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีโอกาสได้เฉียดเข้าไปใกล้ร้านเวียงพิงค์อีกเลย เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการสอบ ไม่รู้ป่านนี้เจ้าของร้านคนสวยจะมีคนมารุมจีบมากน้อยแค่ไหนแล้วเหมือนกัน คิดถึงแล้วก็อยากจะเห็นหน้าขึ้นมาครามครัน ถ้าไม่ติดว่ามีนัดกับเพื่อนเขาคงแจ้นไปด้อมๆมองๆแถวหน้าร้านและเผลอ ๆ อาจจะหาข้ออ้างในการเข้าไปซื้อดอกไม้อีกจนได้
“เฮ้ย! แกชอบดอกกุหลาบตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้ปริ๊นท์ สีชมพูแหววยังกับตุ๊ดเด็กแน่ะ ขัดกับบุคลิกแมนๆของแกแท้” น้ำเสียงตกใจของผู้ที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเพื่อนดังสนั่น
“สาวคนใดคนหนึ่งให้มันมาอะดิ ไม่มีทางที่ไอ้นี่มันจะคึกชอบเองหรอกน่า แหกปากตะโกนทำไมก็ไม่รู้อยู่ใกล้กันแค่นี้ ประสาทฉิบหายเลยไอ้ควายเคนโด้” แทนไทผลักหัวคนเอ็ดตะโรอย่างรำคาญหู แค่เพื่อนได้ดอกไม้จะต้องตกใจปานโลกจะแตก
พวกมันสองตัวมาห้องทีไรความสงบสุขในชีวิตเขาต้องปั่นป่วนทุกทีสิน่า ไอ้สิ่งที่ไม่อยากให้เห็นมันก็เห็นกันจนได้ ปริญนั่งมองหน้าเพื่อนสลับกันไปมาอย่างเอือมระอา
“บอกมาเลยว่าใครให้ดอกกุหลาบช่อโตกับแกไอ้คุณชายปริ๊นท์ ฉันรู้จักปะวะ อย่าทำให้ต่อมอยากรู้ของฉันทำงานหนักนะเว้ย รายงานมาซะดี ๆ ให้เดาคนๆนี้ต้องพิเศษมากแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแกคงไม่เก็บเอาไว้จนมันเหี่ยวคาห้องนอนหรอกจริงไหม” เคนโด้เค้นคำตอบจากเพื่อนที่เอาแต่นั่งปิดปากเงียบ
“ไม่มีใครให้ฉันทั้งนั้นแหละโว้ย! เห็นว่ามันสวยดีเลยซื้อมาประดับห้องจบนะ พวกแกออกไปได้แล้วเกะกะชะมัดเลย เดี๋ยวข้าวของในฉันพังหมดยิ่งเซ่อซ่ากันอยู่ด้วย” ลุกขึ้นยืนแล้วเดินลากคอเพื่อนทั้งสองคนให้ออกจากห้องนอน
“โหกไม่เนียนอย่ามาริลวงฉันไอ้ควายปริ๊นท์ ถึงหน้าแกจะตายสนิทแต่อย่าคิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดแกนะโว้ย!” แทนไทแยกเขี้ยวใส่แล้วสะบัดตัวออกห่าง เพื่อนที่สนิทกันมากอย่างพวกเขาทำไมจะไม่รู้นิสัยใจคอกันว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร
“เออ แถมยังเปลี่ยนเรื่องได้หน้าด้านๆด้วย ปกติไม่เคยจะหวงห้องกับเพื่อนกับฝูงหรอก พอมีดอกกุหลาบสีชมพูอยู่ในนั้นทำมากลบเกลื่อนเชียวแหละ ถ้าไม่เข้าไปก็คงจะไม่รู้หรอกว่ามันมีความลับที่ซ่อนเร้นไม่อยากให้ได้ใครล่วงรู้ ชิช๊ะไอ้ปริ๊นท์” เคนโด้แสดงความคิดเห็นอย่างมีหลักการณ์บ้าง
“แล้วแต่พวกแกจะคิดละกันนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นแหละ หิวข้าวใครหิวก็ตามมาหรือถ้าอยากเป็นหมานั่งเฝ้าห้องให้ก็ไม่ว่าอะไรนะแต่บอกไว้ก่อนเป็นหมาฉันต้องหาข้าวกินเองนะเพราะไม่มีเวลาให้อาหาร” พูดขึ้นลอย ๆ แล้วเดินไปทางประตู สองหนุ่มที่ไม่อยากจะเป็นหมาเฝ้าห้องต่างวิ่งตามหลังเจ้าของห้องไปติดๆ พลางโวยวายกันไปตลอดทางตามประสาวัยรุ่นที่ชอบคุยกันเสียงดัง
ภายในห้องนั่งเล่นที่มีความโอ่โถงตกแต่งอย่างเรียบหรู โซฟาหลุยส์ชุดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง จอทีวีแอลซีดีติดฝาผนังที่คุณภาพคมชัดเปิดทิ้งไว้แต่ไม่มีใครสนใจที่จะดูมัน เพราะแต่ละคนล้วนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองเพียงอย่างเดียว กระทั่งนางมณีเป็นฝ่ายเปิดการพูดคุยขึ้นมา
“คุณจะให้ยัยพิ้งค์สนุกกับการเล่นขายดอกไม้ไปอีกนานแค่ไหนกันคะคุณวิชาญ” นางมณีเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารเพื่อมองหน้าสามีวัยห้าสิบกว่าที่ก้มหน้าก้มตาอยู่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ค
“ยัยพิ้งค์ไม่ได้เล่นขายของอย่างที่คุณพูดสักหน่อย เลิกคิดอะไรไม่เข้าท่าสักทีเถอะคุณน่ะ” ลูกสาวคนโตของเขาเวลาทำอะไรมักจะจริงจังเสมอ ถ้าไม่มั่นใจคงไม่ถึงขั้นเปิดร้านขึ้นมาหรอก
“ไม่ได้เล่นขายของมันก็เหมือนเล่นจริงๆนั่นแหละค่ะ วันก่อนฉันบังเอิญผ่านไปแถวนั้นเลยแวะเข้าไปดูร้านยัยพิ้งค์แล้วก็ไม่เห็นจะมีลูกค้ามาใช้บริการเลย เปิดต่อก็รอวันเจ๊งอย่างเดียว สู้คุณบอกให้แม่ลูกสาวคนดีของคุณคืนตึกมาให้คนเช่าต่อเถอะค่ะ อย่างน้อยๆเราก็ได้ค่าเช่าทุกเดือน ทำเลทองอย่างนั้นเรียกเท่าไหร่คนที่อยากจะทำธุรกิจก็พร้อมที่จะจ่ายอย่างที่แล้วๆมาไงคะ เด็กอย่างนั้นบริหารอะไรยังไม่ได้ดีหรอกคุณเชื่อฉันเถอะคุณวิชาญ” รายได้ที่สูญหายไปมันไม่ได้ทำให้เดือดร้อนอะไรเลยก็จริงแต่เธอไม่อยากให้นังเด็กอวดดีนั่นมีความสุขกับสิ่งที่มันกำลังทำอยู่ต่างหาก
“นั่นสิคะคุณพ่อ ถ้าพี่พิ้งค์ไม่มีลูกค้าเข้าร้านทุกวันๆอย่างที่คุณแม่บอกร้านดอกไม้ก็ขาดทุนแย่สิคะ และอีกหน่อยก็คงจะต้องมาขอเงินคุณพ่อไปหมุนแน่ๆเลยค่ะ ธิดาว่าให้ปิดไปเลยคุณพ่อจะได้ไม่ต้องให้เงินไปละลายเล่นจริงไหมคะคุณแม่ขา” ธิดาลูกสาวคนเล็กที่เกิดจากภรรยาคนปัจจุบันแสดงความคิดเห็นออกมาบ้างหลังจากที่นั่งฟังมารกาพูดมาพักใหญ่
“พอ! เงียบทั้งคู่นั่นแหละ ยัยพิ้งค์เพิ่งจะเปิดร้านได้แค่ไม่เท่าไหร่เองจะมาพูดเรื่องเจ๊งอะไรกัน แล้วที่พูดถึงกันน่ะมันลูกสาวของฉันไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อย จะอคติอะไรกับยัยพิ้งค์นักหนา ถ้าฉันจะให้เงินลูกมันผิดตรงไหนม่ทราบ ทีเธอสองคนแม่ลูกฉันยังให้ไปละลายเล่นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ได้เลย เห็นว่าไม่พูดไม่ว่าเข้าหน่อยชักจะได้ใจกันใหญ่ ทุกวันนี้อยู่กันอย่างสุขสบายนั่งเป็นคุณนายชี้นิ้วสั่งยังไม่พอใจกันอีกใช่ไหม อยากจะลองลำบากดูบ้างไหมล่ะจะได้จัดให้” เมื่อฉุนขาดแล้วอารมณ์ก็พุ่งขึ้นสูงจนต้องลุกขึ้นเพื่อหลีกหนีออกไปและทิ้งประโยคที่ทำให้คนที่ไม่เคยลำบากได้กังวลใจ
“คุณแม่ขาคุณพ่อจะไม่ตัดเงินเราใช่ไหมคะ ธิดาไม่ยอมนะคะคุณแม่ขา อย่าให้คุณพ่อทำอย่างนั้นนะคะ คราวหน้าคราวหลังคุณแม่ก็อย่าพูดถึงพี่พิ้งค์ให้มันมากนัก” คิ้วเรียวขมวดกันจนยุ่งอย่างกังวลเพราะกลัวความลำบาก
“ไม่หรอกลูกรัก ไม่ต้องกลัว คุณพ่อแค่ขู่เราไปอย่างนั้นเอง ท่านไม่ปล่อยให้เราสองคนต้องลำบากอย่างที่พูดหรอกจ้ะเชื่อแม่เถอะนะลูกสาว แล้วแม่ก็จะพยายามไม่เอ่ยถึงนังนั่นให้คุณพ่อผิดหูผิดใจอีกละกัน” ปลอบใจลูกสาวแล้วก็ปลอบใจตัวเองไปด้วย วันนี้เธอไม่ได้พลั้งปากในการพูดถึงลูกเลี้ยงเลยแม้แต่น้อยเลยทำให้ต้องรับแรงอารมณ์ของผู้เป็นสามีเช่นนี้