บทนำ (2)
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งแว่วมา
“ร้านเวียงพิงค์ยินดีต้อนรับค่ะ ต้องการดอกไม้แบบไหนบอกได้เลยนะคะ ทางเรายินดีจัดให้ตามต้องการค่ะ” เจ้าของร้านคนสวยเอ่ยต้อนรับโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้ามาใหม่ก่อน เพราะมัวแต่สาละวนกับการจัดช่อดอกไม้ให้กับลูกค้าหนุ่มอยู่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องปรับเปลี่ยนสีหน้าในทันที
“ร้านหล่อนใกล้จะปิดตัวลงรึยังยัยพิ้งค์ ถ้าใกล้แล้วอย่าลืมบอกให้ฉันกับพ่อแกรู้ล่วงหน้านะจะได้หาคนมาเช่าต่อ รู้ใช่ไหมว่าเราต้องเสียรายได้ต่อเดือนไปมากน้อยแค่ไหน แทนที่จะได้เงินใช้อย่างสบาย ๆ ต้องมาให้แกเปิดร้านบ้าๆนี่ขึ้นมาทั้งที่ดูก็รู้ว่ามันไม่น่าจะไปรอด คุณวิชาญไม่น่าจะใจอ่อนยอมแกเลยจริง ๆ” สตรีมีอายุเอ่ยถากถางลูกเลี้ยงสาวอย่างไม่คิดจะสนว่ามีใครนั่งอยู่ในร้านและได้ยินบทสนทนาที่บ่งบอกความใจร้ายของตัวเองแม้แต่น้อย
“มาถึงก็ปากไม่เป็นมงคลเลยนะคะน้ามณี ถ้ารู้ว่าพูดดี ๆด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ควรมาเหยียบที่นี่นะคะ เพราะที่นี่ต้องการความสงบกรุณาอย่ามาสร้างความวุ่นวายให้กับร้านหนูเลยค่ะ คนทำมาหากินไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำด้วยนาน ๆ หรอกนะคะคุณน้า” เวียงพิงค์วางมือจากการจัดดอกไม้ชั่วคราว เพราะขืนจัดต่อไปผลงานคงออกมาไม่ดีแน่ ปะทะฝีปากกับแม่เลี้ยงทีไรมักจะกินเวลานานตลอด บางครั้งการอยู่เงียบๆก็ไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ ดีที่ว่าตอนนี้มีลูกค้าแค่คนเดียวไม่อย่างนั้นแล้วเธอต้องรับฝีปากกับคนตรงหน้าให้หลายสายตาได้ดูแน่ ลูกน้องก็ดันไม่อยู่ด้วยเพราะอยู่ในช่วงพักกลางวันเธอเลยไม่มีใครทำงานแทนได้
“นังพิ้งค์!” นางมณีขึ้นเสียงตวาดกร้าว ลูกเลี้ยงคนนี้ไม่กินเส้นกับนางและลูกสาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมันไม่ยอมลงให้อย่างที่ควรจะเป็น
“เป็นแค่แม่เลี้ยงอย่ามาเหิมเกริมให้มากนักนะคะ เอาเวลามายุ่งเรื่องของหนูเนี่ยมันเปล่าประโยนช์มาก ๆ เลยรู้ไหมคะ ถ้าว่างมากก็ช่วยไปดูแลลูกสาวสุดที่รักของตัวเองเถอะค่ะ และเชิญกลับออกไปได้แล้วเพราะที่นี่เป็นร้านขายดอกไม้ไม่ใช่สถานที่ทะเลาะวิวาท” นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางประตูโดยไม่มองหน้าแม่เลี้ยงปากร้ายแต่อย่างใด เจอหน้ากันทุกครั้งก็ต้องมีเรื่องให้ได้ปะทะกันตลอดชาตินี้คงดีกันยากและไม่คิดจะญาติดีด้วยหรอก แม้มันจะเป็นความปรารถนาของพ่อเธอก็ไม่อาจจะทำใจยอมรับได้
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่แรกอย่างปริญนั่งนิ่งอยู่กับที่เหมือนกับไม่มีตัวตนอยู่ในนี้ ที่เห็นว่าอ่อนหวานบอบบางดูนุ่มนิ่มแบบนั้นเวลาโมโหขึ้นมาก็สามารถโต้ตอบได้เผ็ดร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ สงสัยเขาต้องมองเธอใหม่เสียแล้วล่ะ ไม่ใช่มองใหม่ในทางที่ไม่ดีแต่มันกลับดีมาก ๆ ที่เธอสามารถปกป้องตัวเองได้จากยัยแม่เลี้ยงใจร้ายที่จงใจสาดใส่ความร้ายกาจตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน
“ฉันจะตั้งตารอดูวันย่อยยับของร้านแกนังพิ้งค์ คงอีกไม่นานนี้หรอก” ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ก็ใช้วาจาเฉือดเฉือนก่อนจะสะบัดหน้าใส่อย่างทระนงตัว
เวียงพิงค์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับมาคืนร่างโดยเร็ว เพราะรู้ตัวว่าตอนนี้มีคนนอกที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าพิศมัยนี้ด้วย
“ขอโทษด้วยนะคะที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้อยากให้เกิดเลยจริง ๆ นะคะ” รีบขอโทษขอโพยลูกค้าหนุ่มอย่างเกรงใจที่ต้องมานั่งเสียเวลากับเรื่องส่วนตัวของเธอเช่นนี้ ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ชายคนนี้จะมาใช้บริการร้านเธอแน่ ๆ
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ครับ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแบบนั้นหรอกนะครับคุณผู้หญิง ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่รีบ ดังนั้นเลิกคิดมากเรื่องที่คิดว่าทำให้ผมเสียเวลาได้แล้วนะครับ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ” เขาย้ำให้เธอได้รู้สึกดีขึ้นจะได้ไม่เก็บไปคิดให้กลัดกลุ้ม เพราะแค่เรื่องเมื่อกี้ก็หนักสมองมากพอแล้ว
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจฉัน” เธอยิ้มอย่างดีใจและรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับงานของตัวเองต่อทันที
ไม่นานช่อกุหลาบโต ๆ ก็ส่งถึงมือของลูกค้าหนุ่มหล่อที่นั่งรออย่างใจเย็น เวียงพิงค์ตั้งใจว่าจะไม่คิดเงินเขาเพราะอยากจะตอบแทนในน้ำใจที่เขาไม่คิดจะว่ากล่าวที่เธอทำให้เขาเสียเวลา
“ช่อนี้ฉันขอไม่คิดเงินคุณละกันนะคะ เป็นการขอโทษที่ทำให้เสียเวลาค่ะ” เธอชิงบอกก่อนที่เขาจะควักเงินออกมาจ่าย
“ของซื้อของขายจะมาให้กันฟรี ๆ แบบนี้ผมไม่เห็นด้วยนะครับ คิดเงินผมเถอะครับอย่าใจดีกับลูกค้าเลยเท่าไหร่ผมก็ยินดีที่จะจ่ายให้” เขาไม่คิดจะรับมันมาฟรี ๆ หรอกนะ ลูกค้าเธอก็ใช่ว่าจะเยอะ ร้านมันต้องมีเงินทุนหมุนเวียนถึงจะทุนหนาแค่ไหนแต่ก็ไม่ดีที่ทุก ๆ เดือนเจ้าของจะต้องใช้เงินเก็บตัวเองโปะค่าใช้จ่าย หากวันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หลายครั้งไม่ต้องให้ฟรีกับลูกค้าทุกคนเลยหรือยังไง
“แต่ฉันไม่สบายใจจริง ๆ นะคะคุณ” เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นี่นา
“ผมก็ไม่สบายใจที่ต้องเอาเปรียบคุณแบบนี้” เปิดกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบธนบัตรใบสีเทาออกมาห้าใบยัดใส่มือบางของคนที่อิดออดไม่ยอมที่จะคิดเงินเขา
“มันเยอะไปแล้วค่ะแค่สองใบก็พอ” เห็นเงินในมือก็ตาโตกุหลาบช่อนี้มันไม่ถึงห้าพันหรอก พอเธอทำท่าจะคืนเขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธซะอย่างนั้น
“ถือว่าเป็นทิปจากผมละกันนะครับคุณเวียงพิงค์” ขยิบตาแล้วยิ้มก่อนจะรับช่อกุหลาบแสนสวยมาไว้ในอ้อมแขนให้เจ้าของร้านคนสวยที่ยืนงงมองหน้าเขาตาปริบ ๆ กว่าจะได้สติลูกค้าใจป้ำก็เดินไปถึงหน้าประตูแล้วเรียบร้อย
“ขอบคุณที่ใช้บริการร้านเรานะคะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” โค้งคำนับแล้วยิ้มหวานให้เมื่อเขาหันกลับมามอง แล้วคำถามที่ว่ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเธอได้อย่างไรก็ยังคิดไม่ตก แต่ในทางกลับกันมันคงไม่แปลกที่เขาจะรู้ว่าเจ้าของร้านชื่ออะไร
อืม จะว่าไปผู้ชายคนนี้หล่อใช้ได้เหมือนกันนะ ไม่สิไม่ใช่แค่ใช้ได้สิหล่อมากเลยแหละ ทรงผมเธอไม่รู้ว่ามันเรียกทรงอะไรแต่มั่นใจว่าไม่ได้เซตอย่างแน่นอนเพราะเส้นผมสีดำมันทิ้งตัวเป็นธรรมชาติปรกหน้าผากตัดกับใบหน้าหล่อขาวใส ขนคิ้วสีเดียวกับผมแต่ไม่เข้มมากมีความโค้งแบบแมน ๆ รับกับดวงตาเรียวชั้นเดียว จมูกโด่งเป็นสันมันพุ่งมากจนน่าอิจฉา ริมฝีปากออกสีชมพูอ่อน เค้าโครงหน้าดูดีลงตัวหมดทุกอย่าง รูปร่างก็สูงใหญ่กว่าเธอมากเหมือนเป็นพวกนักกีฬาเลย แต่คงไม่ใช่หรอกน่าจะชอบออกกำลังกายมากกว่า
“พอ ๆ เลิกคิดเพ้อถึงลูกค้าได้แล้วเวียงพิงค์” สลัดความคิดพวกนี้ออกจากหัวแล้วกลับไปทำงานของตนเองต่อจะได้เลิกฟุ้งซ่านถึงผู้ชายที่เพิ่งจากไป ไม่ได้ตั้งใจจ้องอะไรขนาดนั้นแต่แปลกที่เธอดันจำรายละเอียดเขาได้ดีขนาดนี้