บทที่ 4
“ซูหนิง เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ขณะที่เซียนหนุ่มพูดเช่นนั้น ร่างของเขากดทับบนตัวนาง มิหนำซ้ำยังใช้มือเพียงข้างเดียวรวบข้อมือทั้งของข้างของนางไว้เหนือหัว
ซูหนิงไม่เคยถูกใครทำให้จนตรอกเช่นนี้มาก่อนจึงเริ่มรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ที่นางกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำกับนางเช่นนี้ ทว่าเซียนผู้นี้กลับมีพละกำลังมหาศาล ทั้งยังควบคุมนางในเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
“เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าเป็นสหายของเจ้า”
นางแยกเขี้ยวใส่เขาอย่างดุร้าย แน่นอนว่าคำพูดของเขานางไม่มีทางเชื่อ และต้องโต้กลับไป
“สหายทำกันอย่างนี้หรือ เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
เขายิ้มมอย่างจนใจ
“เมื่อครู่เจ้าเป็นฝ่ายกางกรงเล็บพุ่งใส่ลำคอของข้า เหมือนต้องการสังหารข้าให้ตาย หากข้าไม่จับเจ้ากดลงกับพื้น เจ้าก็คงทำร้ายข้าจนถึงตายใช่หรือไม่ ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าสงบสติอารมณ์เสียก่อนถึงจะยอมปล่อย”
เป็นอีกครั้งที่เซียนหนุ่มผู้นี้พูดความจริง ก่อนที่นางจะอยู่ในท่าจนตรอกเช่นนี้ นางกางกงเล็บแหลมคมพุ่งเข้าใส่เขา ตั้งใจใช้ปลายเล็บที่ทั้งแหลมทั้งคมแทงทะลุลำคอของเขาให้ตายในคราเดียว ทว่าการกระทำของนางวู่วามเกินไป จึงทำให้เซียนหนุ่มมองเจตนาออก เขายื่นมือออกมาคว้าแขนของนาง จากนั้นพวกเราก็ต่อสู้พันตู สุดท้ายนางก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยสภาพอย่างที่เห็น
“เจ้าเป็นใคร” นางกัดฟันถามด้วยความกังขา
“ข้าเป็นสหายของเจ้า”
คำตอบของเขาทำเอานางแค่นเสียงขึ้นจมูกอีกครา
“หึ ไม่มีเซียนคนไหนเป็นสหายกับผี เจ้าคิดว่าข้าโง่นักหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดข้าถึงรู้ชื่อของเจ้าล่ะ”
“เพราะข้าเหี้ยนอย่างไรเล่า เจ้าเซียนโง่!”
“ไม่ใช่”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดของนาง คำว่าเซียนโง่ไม่ได้ทำให้เขามีโทสะสักนิด พอเห็นแบบนี้นางก็ยิ่งมีอารมณ์กรุ่นๆ ในอก
“ถึงเจ้าจะเหี้ยน แต่ใช่ว่าจะมีผู้อื่นรู้จักชื่อของเจ้าเสียหน่อย”
ได้ยินคำพูดนั้น นางเม้มปากเงียบโดยไม่รู้ตัว ช่างสมเหตุสมผลยิ่งนัก ถึงกระนั้นเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกยังคงบอกให้นางห้ามไว้ใจเขา
แม้มือทั้งสองถูกรวบอยู่ในท่าที่เสียเปรียบ แต่ซูหนิงก็อุตส่าห์เอียงศีรษะ เหยียดมุมปากถามอีกฝ่าย
“เจ้าต้องการอะไร”
เขายิ้มแผ่วเบา พร้อมตอบคำถาม
“พูดตามตรง ข้าอยากให้เจ้าละทิ้งความแค้นในชาตินี้เสีย แล้วเข้าสู่วัฏสงสารเพื่อเกิดใหม่มีชีวิตที่ดี”
“วาจาของเจ้าช่างน่าฟังเสียจริง” นางค่อนขอด ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “สุดท้ายแล้ว ความตั้งใจของเจ้าก็คือต้องขับไล่วิญญาณของข้าไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
แววตาของเซียนหนุ่มมีความหมายอย่างที่พูดจริงๆ เขาไม่ได้เสแสร้ง หากซูหนิงเป็นผีทั่วไป วาจาของเขาคงสั่นสะเทือนความรู้สึกของนาง ทว่านางเป็นวิญญาณอาฆาตแค้น ความรู้สึกแค้นในอกยังไม่เบาบางลง แล้วจะเข้าสู่วัฏสงสารทั้งอย่างนี้ได้อย่างไร
นางแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“ข้าเป็นวิญญาณอาฆาตมานานเท่าไรแล้วก็ยังไม่รู้ แต่จู่ๆ เจ้ามาบอกให้ข้าหยุดความแค้นเอาตอนนี้เนี่ยนะ ช่างเป็นเซียนที่โง่เขลาเสียจริง”
“เจ้าแก้แค้นไปแล้ว ควรพอได้แล้ว”
หนนี้คำพูดของเซียนหนุ่มสั่นสะเทือนความรู้สึกของนางอย่างจัง
“เจ้าจะบอกว่า ข้าแก้แค้นชายชั่วกับหญิงแพศยานั่นแล้วรึ!?”
“ใช่ เจ้าแก้แค้นพวกเขาไปแล้ว”
ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เหตุใดนางจำอะไรไม่ได้เลยเล่า อีกอย่างความแค้นในหัวใจนางก็มิได้ลดน้อยลง ความรู้สึกบอกนางเช่นนั้น และนางยังคงเป็นวิญญาณอาฆาตที่ติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ สิ่งที่เขาพูดจะเชื่อถือได้หรือ
“จะ-เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไร ไม่มีทางที่ข้าแก้แค้นพวกเขาแล้ว ไม่มีทาง!”
เขาเม้มปาก สายตาที่มองลงมาทางนางให้ความรู้สึกว่ากำลังเห็นใจ
“ข้าถึงบอกให้เจ้าสงบสติอารมณ์ไม่ใช่หรือ”
อึก!
ซูหนิงอับจนคำพูด หากนางไตร่ตรองให้ดี ทุกถ้อยคำ ทุกปฏิกิริยาของเขาล้วนแสดงออกมาอย่างจริงใจ แต่กระนั้นจะให้นางเชื่อใจคนแปลกหน้าง่ายๆ ก็กระไรอยู่
เห็นนางยังคงไม่เชื่อถือ เซียนหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นดังนี้
“เดิมทีพวกเราอยู่เมืองหยางทางใต้และเป็นสหายกันตั้งเด็ก ปีที่เจ้าอายุสิบหก มีเศรษฐีผู้หนึ่งที่เดินทางมาทำการค้าที่บ้านเกิดของเราและเกิดถูกใจเจ้าขึ้นมา จึงสู่ขอเจ้าอย่างเป็นทางการและพาเจ้าออกเมืองหยาง ตอนข้ารู้เรื่องนี้ก็เป็นหลังจากที่เจ้าแต่งงานและเดินทางออกจากเมืองหยางแล้ว”
เซียนหนุ่มพูด สายตาคล้ายกับรำลึกถึงอดีต
“หลังจากเจ้าออกจากเมืองหยาง ข้าที่เดิมทีไม่มีสหายอยู่แล้วก็ละทิ้งเรื่องราวทางโลก มุ่งสู่ทางธรรม ตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเซียนเหมือนอย่างอาจารย์ แต่การปฏิบัติธรรมของข้ากลับไม่บรรลุผลเสียที กระทั่ง...ได้ยินข่าวว่าเจ้าหายสาบสูญในอีกสี่ปีต่อมา”
ซูหนิงอึ้งกับเรื่องราวเหล่านั้น
“สาบสูญหรือ? เป็นไปได้อย่างไร”
“เศรษฐีผู้นั้นบอกกับทางบ้านของเจ้าว่า เจ้าหนีตามคนเลี้ยงม้า”
แววตาของเซียนหนุ่มแสดงออกว่าไม่ได้โกหก ซูหนิงเองก็เริ่มจับอะไรบางอย่างได้ นางคิดพลางคาดเดา
ในความทรงจำก่อนตายของนาง คล้ายกับมีประโยคหนึ่งที่นางแพศยาลี่เอ๋อร์พูดว่า ‘นายท่านเลือกเอาแล้วกันเจ้าค่ะ ระหว่างไปตามหมอมารักษาฮูหยิน พอนางฟื้นขึ้นมา เชื่อเถอะว่านางต้องเอาเรื่องท่านอย่างถึงแน่นอน หรือจะ...สังหารนาง แล้วบอกทางบ้านของนางว่านางหนีตามชู้ แบบไหนเป็นทางออกที่ดีกว่า’ ไม่คิดว่าหลังจากที่พวกเขาสังหารนางแล้วจะใส่ร้ายนางจริงๆ
เซียนหนุ่มพูดต่อ
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นคนเช่นนั้น จึงให้อาจารย์ตรวจดวงชะตาเจ้า”
หลังตรวจดวงชะตาของซูหนิง อาจารย์ส่ายหน้าคล้ายหมดหวัง เขาจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นอายแปลกๆ เดิมทีคิดจะบอกกับทางบ้านของนาง ทว่าทางนั้นเองก็ไม่เชื่อสิ่งที่เศรษฐีคนนั้นกล่าวหา จึงตั้งใจตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเรื่องราวของคนที่หายสาบสูญ ทั้งอยู่ต่างเมืองเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายจนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด
กระทั่งหนึ่งปีต่อมา ทางบ้านของซูหนิงได้ยินข่าวสะเทือนขวัญว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีผู้นั้นถูกวางเพลิง ตัวเศรษฐีและภรรยาใหม่ถูกไฟคอกตาย ทั้งยังมีสาวใช้และบ่าวอีกไม่น้อยที่ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บ ถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง
เมื่อผู้ต้องสงสัยชิงตายไปก่อนเช่นนี้ อีกทั้งซูหนิงก็หายสาบสูญ ทางบ้านของนางจึงจนปัญญาจะสืบค้นความจริงของนางต่อ ปล่อยให้ทุกวันดำเนินไปโดยมีความหนักอึ้งค้างคาในหัวใจ
“เจ้าบอกว่าข้าแต่งงานตอนอายุสิบหก และหายสาบสูญในอีกสี่ปีต่อมา แสดงว่าตอนนี้ข้าอายุยี่สิบปีอย่างนั้นหรือ”
นางพึมพำ แทนที่จะสนใจเรื่องทางบ้าน หรือการที่เศรษฐีกับภรรยาใหม่ของเขาถูกไฟคอก นางกลับสนใจเรื่องอายุ
เซียนหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่นางคาดเดา
“เจ้าตายตอนอายุยี่สิบก็จริง แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว”
“เช่นนั้นข้าก็อายุสี่สิบ!?”
ข้อเท็จจริงนี้ทำเอานางตกใจมาก
“ข้าแก่ขนาดนั้นเชียว?”
เขาเม้มปาก ไม่ได้ไขข้อกังขาในส่วนนั้น นางจึงไม่พูดถึงเรื่องอายุอีก แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จากที่เจ้าพูด ถ้าข้าแต่งงานกับเศรษฐีผู้นั้น แน่นอนว่าเขาก็ต้องเป็นสามีชั่วของข้า ส่วนภรรยาใหม่ของเขาก็คือหญิงแพศยาลี่เอ๋อร์ หากพวกเขาถูกไฟคอกตาย แล้วทำไมข้ายังคงยึดติดอยู่กับความแค้น หรือว่าการที่พวกเขาตาย ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
นางคาดเดาอย่างสับสน
“เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมด เพียงแต่เจ้าไม่รู้ตัว ดังนั้นข้าถึงบอกอย่างไรว่าเจ้าได้แก้แค้นพวกเขาไปแล้ว สมควรหยุดได้แล้ว”
“พวกเขาถูกไฟคอกก็เพราะข้าหรือ”
คำตอบของเซียนหนุ่มก็คือการพยักหน้า
นางหรี่ตา แล้วพูดอย่างค่อนขอด
“ว่าแต่ว่า เรื่องของข้า เจ้าช่างรู้ดียิ่งนัก”
“หลายปีมานี้ ข้าบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นเซียน เพียงแค่ถอดจิตมองอดีตของคฤหาสน์หลังนี้ก็เข้าใจหมดสิ้น” เซียนหนุ่มอธิบายอย่างช้าๆ “ส่วนสาเหตุว่าทำไมเจ้าถึงลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้น และยังคงยึดติดอยู่ที่นี่ อาจเป็นเพราะเจ้าแค้นเสียจนเลือกจดจำเพียงเหตุการณ์ก่อนตาย หรืออาจมีเหตุผลอย่างอื่นที่เพียงแค่ตัวเจ้าเท่านั้นที่รู้ก็เป็นได้ ซูหนิง ถึงคนพวกนั้นทำบาปต่อเจ้าก่อน แต่เจ้าก็สังหารมนุษย์ สร้างบาปกรรมไม่น้อยไปกว่าพวกเขา เจ้าอยากเป็นคนประเภทเดียวกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
‘คนประเภทนั้น’ หมายถึงกลายเป็นคนชั่วอย่างนั้นสินะ
ซูหนิงเงียบคิด เซียนหนุ่มเองก็เงียบ เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบในคฤหาสน์ร้างจึงยิ่งตกอยู่ในบรรยากาศแสนวังเวง และในตอนนั้น สายตาของเซียนหนุ่มเปลี่ยนเป็นมองนางด้วยความเศร้า
“ซูหนิง ขอโทษที่ข้ามาหาเจ้าช้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คงไม่สร้างเวรกรรมมากมายเช่นนี้”
“เจ้าช่างรู้ดีจังนะ”
นางกระแหนะกระแหน ทว่าเขากลับไม่โกรธ ซ้ำยังพูดอย่างใจเย็น
“จริงอยู่ว่าบางเรื่องไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวเอง แต่เจ้าอย่าลืม บางเรื่องก็มีเพียงบุคคลที่สามเท่านั้นที่มองออก”
ได้ยินคำพูดนั้น ซูหนิงยิ้มเย็น
“เจ้าเซียนโง่ เจ้าน่าสนใจดีนี่”
เขายิ้มบางเป็นคำตอบ
“เจ้าชื่ออะไร”
นางถามเขาในที่สุด
ดวงตาดำขลับของเขาทอประกายเศร้าอีกครั้ง
“แม้แต่ชื่อของข้าเจ้าก็ลืมแล้ว?”
นางย่นคิ้ว ตอบกลับอย่างไม่พอใจ
“เจ้าก็ลองมาเป็นผีอาฆาตอย่างข้าดูสิ แล้วจะรู้ว่าเรื่องไหนลืมเลือน เรื่องไหนจดจำ!”
สิ้นคำพูดเย้ยหยันของซูหนิง เซียนหนุ่มใช้แววตาเศร้าสร้อยมองมาที่นางพร้อมตอบ
“ข้าก็คือ...เสิ่นเจียงหวง”