บทที่ 5
เสิ่นเจียงหวง?
ชั่วขณะที่เซียนหนุ่มเอ่ยชื่อของตนออกมา ในความรู้สึกของนางราวกับคุ้นเคยกับบุคคลชื่อนี้ แต่ทว่า จนแล้วจนรอดนางกลับนึกอะไรไม่ออกที่เกี่ยวกับเขา
เห็นนางพยายามเค้นสมองคิด สุดท้ายก็ต้องถอดใจเพราะนึกอะไรไม่ออก แววตาของเขาจึงยิ่งแสดงความความเศร้าสร้อยออกมา
“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ?”
ก็ใช่น่ะสิ! นางเถียงเขาในใจ
เขายิ้มบาง ยังคงเป็นรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ
ยามนี้พระอาทิตย์เริ่มปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า แสงสว่างค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในคฤหาสน์ร้าง แม้มิได้อาบไล่ทั้งบ้านให้สว่างเจิดจ้าอันเนื่องมาจากรอบบ้านมีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกทึบ ถึงกระนั้น แค่มีแสงอาทิตย์ก็เพียงพอทำให้บรรยากาศที่หดหู่วังเวงในยามค่ำคืนอ่อนจางลงไม่น้อย
เมื่อแสงอาทิตย์ปรากฏ ทั้งเขาทั้งนางต่างพึ่งรู้สึกตัวว่าเช้าแล้ว
แม้ซูหนิงดูดกลืนพลังวิญญาณของมนุษย์มาไม่น้อย จนมีพลังวิญญาณเหนือกว่าผีทุกตนบนภูเขา เหี้ยนเสียจนทำให้คฤหาสน์หลังนี้ถูกกล่าวขานว่าน่ากลัว แต่ผีทุกตนย่อมไม่ชอบแสงอาทิตย์ ซูหนิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
นางมองเซียนหนุ่มแวบหนึ่ง จากนั้นหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขาในชั่วพริบตาสั้นๆ
เอาไว้พระอาทิตย์อัสดงเมื่อไหร่และเขายังอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ นางจะทำให้เขารู้ว่า การที่นางมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากกว่าผีทุกตนบนภูเขาแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พอคิดเรื่องนี้ ซูหนิงอยากรู้ใจจะขาดว่าพลังวิญญาณเซียนจะมีรสชาติหอมหวานเพียงไร
หลังจากวิญญาณของซูหนิงวูบหายไปต่อหน้าต่อหน้า เสิ่นเจียงหวงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มอย่างจนใจ เข้าใจดีว่าแม้เป็นวิญญาณแต่ก็ต้องพักผ่อน ทว่าลึกลงไปในเสี้ยวของหัวใจกลับรู้สึกเสียดายที่การสนทนาของพวกเราต้องจบลงอย่างรวดเร็ว
หลายปีก่อน เมื่อรู้ว่าซูหนิงเสียชีวิต ตอนนั้นเสิ่นเจียงหวงเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของสำนักเซียนเล็กๆ ไม่มีพลังมากพอแม้แต่จะตรวจดวงชะตาของคนผู้หนึ่ง ดังนั้นเรื่องค้นหาศพหรือค้นหาวิญญาณของ
ซูหนิงจึงทำไม่ได้ สำคัญมากกว่านั้น เขาไร้สิทธิ์ ไร้วาจาจะเอ่ยถึงเรื่องการตายของนาง เพราะตามหลักแล้วเขาเป็นเพียงแค่คนนอก
อีกประการสำคัญ ปีนั้นอาจารย์กำลังบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ขั้นบรรลุแจ้งเห็นฟ้า เป็นการบรรลุขั้นเซียนที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ช่วงเวลานี้เซียนที่บำเพ็ญตบะในขั้นสูงจะมีมารผจญ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ทว่าเขาผู้เป็นศิษย์จำเป็นต้องบำเพ็ญตบะข้างกายอาจารย์ตลอดเวลา คอยเฝ้าระวังมิให้อาจารย์ถูกมารขัดขวาง
ได้บำเพ็ญเพียรพร้อมกับอาจารย์ บวกกับระหว่างบำเพ็ญเพียรเผลอตัดอาลัยจากซูหนิงไปด้วย เสิ่นเจียงหวงจากศิษย์ระดับชั้นธรรมดาจึงได้บรรลุกลายเป็นเซียนในที่สุด ถึงแม้ไม่ใช่เซียนระดับสูง ทว่าก็ยังมีพลังมากพอจะส่งวิญญาณที่แปรเปลี่ยนเป็นปีศาจดวงหนึ่งไปสู่สุขคติได้
ด้วยประการนี้ ตอนที่เสิ่นเจียงหวงบรรลุเซียนจึงเป็นอีกยี่สิบปีให้หลัง
เมื่อรู้สึกตัวว่าทิ้งซูหนิงมานานถึงเพียงนี้ เขาจึงล่ำลาอาจารย์ ดั้นด้นมาถึงเมืองอิงเยว่เพื่อปลดปล่อยวิญญาณของซูหนิง
จำได้ว่าเศรษฐีที่มาสู่ขอซูหนิงมาจากเมืองอิงเยว่ แซ่อี๋ นามว่าจั่นเฟิง หลังสอบถามชาวเมืองอิงเยว่เกี่ยวกับเศรษฐีตระกูลอี๋ผู้นี้ ก็รู้ว่าคฤหาสน์ตระกูลอี๋เกิดเพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อน เศรษฐีอี๋และภรรยาใหม่ของเขาถูกไฟคอกตายในครานั้น
เสิ่นเจียงหวงเชื่อเสมอว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกันหลายเรื่อง ให้บังเอิญว่าหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ครานั้น คฤหาสน์ตระกูลอี๋อันใหญ่โตก็กลายเป็นคฤหาสน์รกร้าง ที่มีวิญญาณอาฆาตของสาวงามสิงสู่
ด้วยเหตุผลนี้เอง เสิ่นเจียงหวงจึงเดินทางมาที่คฤหาสน์ร้างหลังนี้ และในที่สุดเขาก็ได้พบนาง
ซูหนิง...สหายสมัยเด็กของเขา
เนื่องจากเสิ่นเจียงหวงบรรลุเซียนจึงไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่ม ดังนั้นระหว่างรอการปรากฏตัวของซูหนิงอีกครั้ง เขาจึงเข้าสู่สมาธิ หลับตานั่งนิ่งในคฤหาสน์ร้าง ราวกับรูปปั้นมนุษย์ที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว ทั้งสะอาดทั้งบริสุทธิ์ เหมือนเทพเทวดาที่ลงมาจากแดนสรวง
เมื่อเข้าสู่สมาธิ หนึ่งวันสำหรับเสิ่นเจียงหวงราวกับผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ตอนที่เขาลืมตาขึ้น แสงสว่างด้านนอกอ่อนจางลงแล้ว เป็นช่วงพระอาทิตย์อัสดงพอดี ในชั้นบรรยายเองก็เริ่มมีกลิ่นอายเย็นเยือก
เพิ่งคิดอย่างนั้น รอบกายของเสิ่นเจียงหวงก็มีการเคลื่อนไหว เขาจึงรู้ว่าซูหนิงกลับมาหาเขาแล้ว
เสิ่นเจียงหวงยิ้มบาง พร้อมเคลื่อนสายตาไปทิศทางที่มีการเคลื่อนไหว ทว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขากลับไม่ใช่ซูหนิง หากแต่เป็นสตรีรูปร่างเย้ายวนในชุดนางระบำแสนบางเบาจำนวนสี่นางค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาหาอย่างเป็นจังหวะ เสียงดนตรีที่ไม่รู้ถูกบรรเลงมาจากที่ใดดังขึ้น และเพียงชั่วพริบตา นางระบำทั้งสี่ก็เข้ามาประชิดตัวเขา มิหนำซ้ำ พวกนางยังยกแขนลูบคลำเขาทั้งตัวเพื่อยั่วยวน
เมื่อรู้สึกตัวว่าอะไรเป็นอะไร รอยยิ้มของเสิ่นเจียงหวงลู่ลงทันที แววตาที่เป็นประกายอบอุ่นยามนี้มืดครึ้มเหมือนพายุกำลังจะก่อตัว
“เคยบอกเจ้าแล้ว ว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ใช้สตรีล่อลวงข้าไปก็เปล่าประโยชน์”
“ไม่มีบุรุษคนใดไม่สนใจสตรี”
น้ำเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาก่อนที่ร่างวิญญาณของซูหนิงจะปรากฏตรงหน้าเขา
ประโยคเมื่อสักครู่ของนางไม่มีสิ่งใดผิด เกิดเป็นบุรุษย่อมหลงใหลความอ่อนนุ่มของสตรี เพียงแต่เรื่องนั้นใช้ไม่ได้กับเขาเท่านั้นเอง
“แต่ข้าไม่สนใจ”
เสิ่นเจียงหวงพูดสั้นๆ น้ำเสียงหนักแน่น
“ก็ลองดูสักหน่อยเป็นอย่างไร”
ฝ่ายซูหนิงเองก็ไม่ยอมแพ้ ใช้น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจพูดกับเขา จากนั้นดีดนิ้วคราหนึ่ง สตรีทั้งสี่ที่ลูบคลำเขาในตอนแรกต่างผละออกเล็กน้อย ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อบางบนร่างของพวกนางทิ้ง แล้วใช้ความนุ่มนิ่มของหน้าอกเสียดสีกับร่างกายของเขา
ทั้งซ้ายขวาทั้งหน้าหลังของเสิ่นเจียงหวงมีสตรีเปลือยกายปิดล้อม แต่สายตาของเขาไม่ได้สั่นไหวแม้แต่น้อย ยังคงจับจ้องมองซูหนิงที่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆ
“หากข้ากำจัดร่างวิญญาณของเจ้า ก็เท่ากับทำลายพลังวิญญาณของเจ้าไปด้วย ต้องการแบบนี้หรือ”
คำพูดของเสิ่นเจียงหวงไม่ได้เป็นการข่มขู่ แต่ร่างวิญญาณเหล่านี้เกิดจากพลังวิญญาณของซูหนิง ดังนั้นหากเขาใช้คาถาสลายร่างวิญญาณพวกนี้ก็เท่ากับทำลายพลังวิญญาณของซูหนิงไปด้วย
แต่เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะเดิมทีเขามาที่นี่เพื่อทำให้นางกลับไปเกิดใหม่ พลังวิญญาณแค้นของนางต้องดับสลายอยู่ดี
แม้ซูหนิงจะรู้ถึงเรื่องนั้นดี ทว่านางกลับยิ้มท้าทาย
เสิ่นเจียงหวงถอนหายใจสั้นๆ ในเมื่อนางตัดสินใจเช่นนี้ เขาจึงร่ายคาถาขับไล่ร่างวิญญาณ ภายในพริบตาร่างวิญญาณทั้งสี่ที่กำลังคลอเคลียรอบกายเขาสลายกลายเป็นอากาศ
หนนี้ซูหนิงเปลี่ยนมามองเขาตาค้าง เหมือนไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำ
แต่ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็น ไม่ว่าร่างวิญญาณที่ซูหนิงสร้างขึ้นจะมีความงดงามเย้ายวนปานใด กลับไม่อาจสะเทือนหัวใจของเขาได้เลย