บทที่ 3
การรักคนผิดช่างเป็นความเจ็บปวดเกินเยียวยา
ตั้งแต่ซูหนิงตายครานั้น ไม่รู้คืนวันผ่านพ้นมานานเท่าไร หลังนางตาย วิญญาณอาฆาตแค้นของนางได้เอาคืนชายชั่วกับหญิงแพศยาพวกนั้นแล้วหรือยัง หรือว่าตอนนี้พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังพรากชีวิตของนางไป
ซูหนิงนั่งกอดเข่าในห้องมืดและอับชื้น นอกเหนือจากเหตุการณ์ก่อนตาย นางก็จดจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ดังนั้นพอรู้สึกตัวว่าว่างจึงต้องพยายามเค้นสมองคิดหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด ทว่ายิ่งพยายามค้นหาคำตอบของข้อสงสัยมากเท่าไร กลับยิ่งไม่มีอะไรหลั่งไหลออกมาจากสมอง
“อ่า...ข้าแก่แล้วหรือไร ทำไมถึงได้ลืมเรื่องของตัวเองไปได้”
สวบ สวบ...
ระหว่างพึมพำกับตัวเอง ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างนอก นางหรี่ดวงตาที่มืดครึ้มแล้วจับสังเกตฝีเท้าของผู้มาเยือน
ใครกันช่างกล้าอยากลองของยามดึก!
บ้านร้างบนภูเขาขนาดย่อม ยิ่งดึกสงัดก็ยิ่งวังเวงชวนขนหัวลุก บางคืนแม้มีพระจันทร์ดวงใหญ่สวยเด่นประดับบนท้องฟ้า แต่เพราะคฤหาสน์หลังนี้ปล่อยรกร้างนานเกินไป ต้นไม้ที่ปลูกประดับตามบริเวณต่างๆ เมื่อไร้คนดูแลนานวันเข้าก็ขึ้นรกทึบ ทำให้สัตว์อันตรายที่ไม่ได้รับคำเชิญมาอาศัยจำนวนไม่น้อย บวกกับมีวิญญาณอาฆาตอย่างนาง ดังนั้นนางจึงคาดเดาว่าผู้ที่มาเยือนยามนี้ หากไม่ใช่นักพรตที่ถูกจ้างวานให้มาขับไล่วิญญาณก็คงเป็นพวกที่ชอบลองของ
นับจากวันที่นางกลายเป็นวิญญาณอาฆาตจนถึงวันนี้ นางจำไม่ได้ว่าดูดกลืนวิญญาณมนุษย์ไปเท่าไหร่แล้ว ทว่าความแค้นที่ฝั่งอยู่ในหัวใจกลับไม่ได้เบาบางลงเลย สิ่งที่นางสงสัยก็คือชายชั่วกับหญิงแพศยาได้รับกรรมอย่างที่พวกเขาสมควรได้รับแล้วหรือยัง
ซูหนิงคิดพลางล่องลอยไปทางที่เกิดเสียงการเคลื่อนไหว ไม่รู้เป็นเพราะจังหวะเหมาะเหม็งหรือไม่ เมื่อล่องลอยมาถึงประตู นางก็ปะทะเข้ากับร่างหนึ่ง
ปกติวิญญาณจะไม่สามารถสัมผัสกับร่างกายมนุษย์ได้โดยตรง ต่อให้ที่ผ่านมานางดูดกลืนวิญญาณของมนุษย์จนพลังอาฆาตแข็งแกร่งก็ตาม ถ้าหากไม่ได้สร้างร่างจำแลงขึ้นมา ไม่มีทางเลยที่จะสัมผัสอีกฝ่ายอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เพิ่งค้นพบสร้างความประหลาดใจให้กับ
ซูหนิงเป็นอย่างมาก นางเลื่อนสายตามองคนตรงหน้าด้วยความตกใจระคนสงสัย ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเองก็แสดงสีหน้าไม่แตกต่างจากนางเช่นกัน แล้วพลันนั้นเอง คล้ายมีอะไรบางอย่างทำให้นางสงสัยในตัวคนคนนี้
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าซูหนิงคือบุรุษหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงสมส่วน สวมชุดขาวทั้งร่าง เส้นผมสีดำขลับถูกมวยขึ้นและเก็บอย่างเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนล้วนดูดีอย่างยิ่ง และด้วยสายตาของภูตผีย่อมมองเห็นแสงสีขาวนวลที่แผ่จากร่างของชายตรงหน้า ซึ่งหากเป็นนักพรตหรือผู้มีบุญธรรมดา แสงสีขาวนวลนี้จะไม่เปล่งประกายตลอดเวลาเหมือนชายตรงหน้า
“เจ้าเป็นเซียน?”
ซูหนิงถามพลางก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เซียนหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ตอบ เพียงจ้องมองนางด้วยความสงบ ทว่าเพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่แล้ว
“...เจ้ามาที่นี่เพราะถูกจ้างวานให้กำจัดข้า?”
เดิมคิดว่าคำถามครั้งนี้อีกฝ่ายก็ยังคงความสงบเช่นเดิม ทว่าพอสิ้นคำถามของนาง เซียนหนุ่มกลับเบิกดวงตาดำขลับกว้างคล้ายตกใจกับคำถามนั้น
ไม่ว่าปฏิกิริยาทางสีหน้าของเขาจะบอกอะไร ซูหนิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเป็นต่อ นางเรียกร่างวิญญาณออกมาทันที
ร่างวิญญาณที่ปรากฏระหว่างนางกับเซียนหนุ่มคือสตรีรูปงาม เรือนร่างเย้ายวน ซึ่งก่อนหน้านี้ร่างวิญญาณนี้ได้ล่อลวงชายชาวบ้านและดูดกลืนวิญญาณของเขาผู้นั้น
นางยิ้มเย็น พึงพอใจกับความเชื่อฟังของร่างวิญญาณนี้มาก ก่อนจะออกคำสั่ง
“มอบรางวัลให้เซียนผู้นี้”
แน่นอนว่า ‘รางวัล’ ในที่นี้หมายถึงการเสพสังวาส เมื่อสิ้นคำสั่งของนาง ร่างวิญญาณปลดอาภรณ์ผืนบางสีขาวที่ก่อนหน้านี้สวมไว้เพียงลวกๆ เหมือนจะหลุดแหลมิหลุดแหล จากนั้นพาร่างเปลือยเดินนวยนาดเข้าไปหาเซียนหนุ่ม
แก้มทั้งสองข้างของเซียนหนุ่มขึ้นสีแดงจาง แต่ดวงตาแข็งกร้าว ไม่คล้อยตาม
เมื่อร่างวิญญาณเดินเข้ามายืนตรงหน้าเซียนหนุ่มในระยะพอเหมาะพอดีก็คุกเข่าลง ใบหน้าสวยของร่างวิญญาณแทบจะแนบชิดกับส่วนอ่อนไหวของบุรุษ
ในตอนนี้เอง ซูหนิงเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเซียนหนุ่ม เขามุ่นคิ้วไม่พอใจ ก่อนจะขึงตาใส่นางแทนที่จะเป็นร่างวิญญาณ
จังหวะเดียวกับที่เขาเคลื่อนสายตาขึ้นมองนาง ร่างวิญญาณยกมือขึ้นหมายสัมผัสความเป็นชายของเขา วิธียั่วยวนบุรุษโดยตรงก็คือแตะสัมผัสส่วนอ่อนไหว และกระตุ้นส่วนนั้นจนกว่าจะตื่นตัว ต่อให้ตอนแรกไม่ยินยอม แต่หากถูกมือนุ่มนิ่มของสตรีบีบและเคล้นคลึงนานเข้าย่อมแข็งร้อนตามสัญญาณเอง
ทว่ามือขาวซีดของร่างวิญญาณยังไม่ทันได้แตะโดนแม้แต่เนื้อผ้า เซียนหนุ่มก้าวถอยหลังด้วยท่วงท่าสง่างาม ร่างวิญญาณสาวจึงคลานขึ้นหน้าอีกนิด ไม่เปิดโอกาสให้เซียนหนุ่มหนี ทว่าฝ่ายเซียนหนุ่มก็ยังถอยหลังหนีไม่ลดละ
“หยุดเถิด ไม่อย่างนั้นข้าต้องกำจัดร่างวิญญาณของเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้” เซียนหนุ่มเอ่ยเตือน
ได้ยินอย่างนั้น ซูหนิงแค่นหัวเราะ
“ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์สตรีได้ แม้แต่เซียนก็มีความกำหนัด”
นางพูดด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
เซียนหนุ่มส่ายหน้า จากนั้นขยับริมฝีปากเหมือนท่องอะไรสักอย่าง ตอนแรกซูหนิงเข้าใจว่าเขาต้องร่ายคาถาสั่งสอนนางแน่ๆ ทว่าวิญญาณของนางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรืออึดอัด กลับกัน ร่างวิญญาณที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเซียนหนุ่มกลับสลายหายวูบไปต่อหน้าต่อตา
“เจ้าเซียนโง่!”
นางตวาดเสียงดังใส่เขา ทว่าเซียนหนุ่มกลับไม่ได้แสดงความโกรธ ตรงกันข้าม เขาพูดเสียงราบเรียบดังเดิม
“พลังความแค้นของเจ้ามีมากพอที่จะกักขังดวงวิญญาณอื่น แต่นั้นก็เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมเช่นกัน เมื่อครู่ข้าส่งวิญญาณดวงนั้นไปสู่สุขคติ ดังนั้นเจ้าเองก็ยุติการทำบาปกรรมแต่เพียงเท่านี้เถิด”
สิ่งที่เขาพูดไม่ผิด นางมีพลังมากพอในการควบคุมวิญญาณที่อยู่ในคฤหาสน์ และมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทว่านางไม่สนใจในเรื่องนั้นนานแล้ว ต่อให้ร่างวิญญาณสาวเมื่อครู่ถูกส่งเข้าสู่วัฏสงสาร ทว่าในบริเวณใกล้เคียงนี้ยังมีดวงวิญญาณอีกมากที่นางเรียกใช้งานได้ สิ่งที่นางสนใจก็คือจุดประสงค์ของเซียนหนุ่มผู้นี้ต่างหาก
“อย่าบังอาจมาสั่งสอนข้า ว่าแต่ว่า เจ้าต้องการอะไร ขับไล่วิญญาณของข้ารึ”
มีนักพรตจำนวนไม่น้อยที่ถูกจ้างวานให้มาขับไล่วิญญาณอาฆาตอย่างนาง แต่ยากนักจะเห็นเซียนผู้มีพลังมากเช่นนี้มาเยือน
เซียนหนุ่มส่ายหน้า ยิ้มบางให้นาง
“เข้าใจผิดแล้ว ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ห๊ะ!?
ด้วยความประหลาดใจกับคำพูดของเซียนหนุ่ม ซูหนิงจึงคิดว่าตนต้องเผลอแสดงกิริยาน่าขันออกมาอย่างแน่นอน
“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ เจ้าบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนข้า?” ซูหนิงพูดพลางปิดปากขบขัน “มีใครหน้าไหนที่อยากอยู่กับวิญญาณอาฆาตอย่างข้า ไม่สิ มีเจ้าหน้าโง่ที่ไหนที่อยากเป็นเพื่อนกับผี”
เซียนหนุ่มคล้ายไม่สะทกสะท้านกับคำปรามาสของนาง เขาเดินเข้ามาใกล้ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวนางสักนิด
“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ข้ามาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้า ซูหนิง”
ต้นประโยคชวนขบขันก็จริง แต่เมื่อเขาทิ้งท้ายด้วยการเรียกชื่อของนาง กลับกลายเป็นว่าทำให้ดวงตาของนางแดงก่ำและเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
นางก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง
คนผู้นี้รู้ชื่อของนาง ทั้งไม่หวาดกลัวนาง หากเขาไม่ใช่คนที่นางรู้จัก ก็ต้องเป็นคนที่ทอดทิ้งนางในอดีต
หรือว่า...เขาจะเป็นสามีชั่วของนางกระนั้นหรือ
ไม่มีทาง! ไม่ใช่เขาแน่นอน เพราะนางจดจำใบหน้าของชายชั่วคนนั้นได้ พอปลอบใจตนเองเช่นนั้น กลับมีบางอย่างขัดแย้งขึ้นมา
ไม่รู้ว่าตนตายนานเท่าไรแล้ว หากว่าสามีชั่วกลับชาติมาเกิดใหม่เล่า และบังเอิญว่าชาตินี้เขาบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเซียน กระทั่งระลึกชาติได้...
“ซูหนิง?”
เขาเรียกชื่อนางอีกครั้ง ชื่อของนางที่ออกจากปากเขานั้นช่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ขณะก้าวถอยหลังนางช้อนตามองเขาด้วยความระแวงสับสน ความเครียดแค้นชิงชัง และความรักใคร่ที่อยากฆ่าให้ตาย ทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพรูและสะท้อนบนใบหน้าของนางทั้งหมด
ทว่าเขาจะเป็นใครก็ช่าง นางจะสังหารเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย!