บทที่ 2
ในห้องหนังสือไม่มีแสงสว่างจากเทียน ด้านนอกเองก็ไร้แสงจากโคมไฟ ดังนั้นรอบบริเวณจึงมืดสลัวอย่างยิ่ง แต่นางก็เดาว่าตั้งแต่ที่นางเขวี้ยงแจกันลงพื้น พวกเขาคงผละออกจากกันแล้วกระมัง
“อ่า นายท่าน ข้าเจ็บขาจัง เศษกระเบื้องคงบาดผิวข้าเข้าเสียแล้ว” สาวใช้ลี่เอ๋อร์ยังคงเปล่งวาจาออดอ้อน
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นคนเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นทนเอาหน่อยนะ ในห้องมืดมาก ข้าเองก็มองไม่ค่อยเห็น” สามีเอ่ยปลอบสาวใช้ลี่เอ๋อร์ ก่อนจะเปลี่ยนมาตะเบ็งเสียงขู่ “ใครบังอาจล่วงเกินข้า โผล่หัวออกมา ข้าจะจับเจ้าส่งทางการเสีย!”
“ข้าเอง”
ซูหนิงตอบเสียงเย็น พร้อมกันนั้นก็คลำทางไปที่โต๊ะหนังสือ จุดเทียนหนึ่งเล่ม แสงสีส้มจากเทียนค่อยๆ สว่างขึ้น ชายหญิงบนพื้นหลังจากมองนางชัดเต็มสองตาต่างหลุดปากออกมาพร้อมกัน
“ซูหนิง!”
“ฮูหยิน!”
พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สามีและสาวใช้นางนั้นรีบตลบอาภรณ์ขึ้นมาคลุมกายที่เปลือยเปล่า ทั้งสองนั่งอยู่บนพื้น มองมาทางนางด้วยสายตาราวกับต้องการขอร้อง
ขอร้องให้นางยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาน่ะหรือ นางมิได้หัวอ่อนและเป็นคนดีขนาดนั้น
“ซูหนิงฟังข้าอธิบายก่อน ข้า...” สามีคลานเข่าเข้ามาทางนาง สักครู่หนึ่งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย จึงลุกขึ้นยืนทะนงตรงหน้านางพร้อมพูด “ข้ากับสาวใช้นางนี้ เราเป็น...คือข้า...”
“นายท่านเจ้าขา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วปิดบังฮูหยินต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ นายท่านบอกฮูหยินเกี่ยวกับเรื่องของเราทั้งหมดเถิดเจ้าค่ะ”
สามียังพูดไม่ทันจบ สาวใช้ลี่เอ๋อร์ก็กล่าวแทรก ซ้ำยังใจเย็นยิ่งกว่าสามีของนางเสียอีก ดูไปแล้วนอกจากนางผู้นี้จะช่ำชองเรื่องบนเตียง ยังมีเจตนาจะเป็นอนุของสามีนางตั้งแต่แรก
ซูหนิงหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นจึงพูด
“บอกอะไร บอกว่าให้สามีข้ารับเจ้าเป็นอนุอย่างนั้นหรือ”
สาวใช้ลี่เอ๋อร์ส่งสายตาแข็งกร้าวมาทางนาง หากแต่วาจาและน้ำเสียงกลับตรงกันข้าม
“ฮูหยินเจ้าขา ข้ากับนายท่าน...เราสองคนต่างรักกัน ฮูหยินคงไม่อยากขัดขวางความสุขของนายท่านหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เห็นความเสแสร้งมากมารยา ซูหนิงจึงสาดสายตาไปทางสามีเป็นเชิงว่า ‘ดูนางตัวดีนี้สิ! ยังไม่ทันรับเป็นอนุก็แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าเสียแล้ว หากถ้าวันหนึ่งวันใดนางมีฐานะในบ้านหลังนี้ขึ้นมา อย่าหวังว่าข้าจะอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างสงบสุขเลย’
ราวกับมองไม่เห็นความหมายที่ซูหนิงต้องการจะสื่อ หรือที่แท้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ไม่อาจทราบได้ สามีเม้มปาก มิได้แก้ไขคำพูดของสาวใช้ลี่เอ๋อร์ และมิได้พูดอะไรเพื่อทำให้ภรรยาอย่างนางรู้สึกสบายใจขึ้นมา ซูหนิงจึงเป็นฝ่ายย้อนถามสามี
“หมายความว่า...ท่านรักนาง?”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง จึงค่อยตอบกลับมา
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องรับผิดชอบลี่เอ๋อร์”
“ด้วยการรับนางเป็นอนุ?”
“ใช่”
“จากนั้นล่ะ ท่านก็จะรักนางยิ่งกว่าข้า ใช่หรือไม่?”
“...”
คำถามสุดท้ายเขาตอบไม่ได้
ซูหนิงขอบตาร้อนผ่าว แต่จนถึงตอนนี้กลับไม่มีน้ำตาสักหยดไหลรินออกมา จากการกระทำ จากคำพูด ไม่ว่าอย่างไรสามีก็ต้องการรับลี่เอ๋อร์เป็นอนุให้ได้ ส่วนทางด้านลี่เอ๋อร์...นางผู้นี้คงวางแผนมาอย่างดี ถึงได้ใจเย็นขนาดนี้
ตั้งแต่ต้นสามีไม่เคยแสดงออกว่าสิ่งที่ทำเป็นการทรยศต่อภรรยาอย่างนาง ตั้งแต่ต้นเขาต้องการให้นางยอมรับลี่เอ๋อร์ แล้วนางเล่า มีใครเห็นใจนางบ้าง!
“ฮูหยินเจ้าขา ข้ารักนายท่าน ได้โปรดยินยอมรับข้าเป็นอนุด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ไม่เพียงแต่พูดอ้อนวอน ลี่เอ๋อร์ยังคลานเข้ามาเกาะขาของนาง ใบหน้านองน้ำตาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ดูแล้วน่าสงสารจับใจ หากนางยังคงไม่ยอมรับลี่เอ๋อร์ ก็เหมือนกับว่านางจงใจแกล้งอีกฝ่าย
นางหลุบตามองสาวใช้แพศยา จากมุมมองเช่นนี้คงทำให้สามีเข้าใจว่านางรังแกลี่เอ๋อร์ เขาเข้ามาโอบประคองลี่เอ๋อร์ให้ยืนขึ้น จากนั้นขึงตาดุๆ ใส่นาง ราวกับว่านางเป็นผู้ร้ายทำลายความรักของพวกเขาทั้งสอง
ทั้งที่ตนเป็นภรรยาถูกต้องตามธรรมเนียม วันนี้ถูกสามีทรยศ ทั้งยังถูกผลักไสให้เป็นอริ โทสะที่ซูหนิงเก็บกลั้นมานานจึงระเบิดออกในที่สุด
“หากท่านต้องการให้ข้ารับนางผู้นี้เป็นอนุ ท่านหย่ากับข้าง่ายกว่า!”
น้ำตาซูหนิงพรั่งพรูขณะกล่าวประโยคนั้น
สีหน้าของสามีที่ตอนแรกมองนางอย่างกล่าวโทษเริ่มหวั่นไหว เขาปล่อยลี่เอ๋อร์ แล้วเปลี่ยนมาประคองไหล่ของนาง
“ซูหนิง เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีวันหย่ากับเจ้า...”
สามีพูดยังไม่จบประโยคดี สาวใช้ลี่เอ๋อร์โอบแขนของเขา และส่งเสียงประท้วง
“นายท่านพูดเช่นนี้ หมายจะทิ้งข้าหรือเจ้าคะ”
สามีหลุบตามองลี่เอ๋อร์ ชั่วครู่ถึงได้สาดสายตามองมาทางนาง พูดด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ
“ข้าไม่มีทางหย่ากับเจ้า กับลี่เอ๋อร์ข้าก็จะไม่ทอดทิ้ง”
“ท่านมันเห็นแก่ตัว!” นางตวาด พร้อมทั้งสะบัดตัวออกห่างจากมือที่น่ารังเกียจของเขา “ถ้าท่านจะอยู่กับลี่เอ๋อร์ให้ได้ ข้าก็จะกลับบ้าน!”
พอสิ้นประโยคสุดท้าย สามีมีท่าทางหวั่นวิตกมาก เขาเข้าฉุดรั้งนาง ส่วนนางก็พยายามดิ้นขัดขืน จากนั้นทุกอย่างก็ดูวุ่นวายไปหมด
เพี้ยะ!
เกิดเสียงฝ่ามือกับกระทบผิว อึดใจต่อมาผิวแก้มของซูหนิงเกิดรอยแดงพร้อมกับความรู้สึกชา นางเลื่อนสายตามองลี่เอ๋อร์ที่เบิกตากว้างมองนาง ซ้ำมือข้างขวายังคงง้างไว้ในท่าที่คล้ายกับว่าจะตบหน้านางเป็นครั้งที่สอง
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าทำอะไร”
เมื่อถูกนายท่านตวาด ลี่เอ๋อร์ก็แสดงท่าทีหวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะพูดเสียงสั่นๆ คล้ายจะร้องไห้ออกมาว่า “นะ นางไม่มีสติ ข้าก็เลย...”
“ช่างเถอะ”
สามีตัดความรำคาญด้วยการตัดบท แล้วช้อนอุ้มซูหนิงที่ยังตะลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตน ก่อนจะพานางกลับเรือนนอน
ในอกของซูหนิงกลวงเปล่า ความเจ็บปวดรวดร้าวดูเหมือนจะน้อยเกินไปที่จะนำมาใช้บรรยายความรู้สึกในตอนนี้ ตอนนี้ลี่เอ๋อร์กล้าตบหน้านางต่อหน้าสามี หนำซ้ำสามีก็ไม่ได้กล่าวโทษฝ่ายนั้น อีกหน่อยสาวใช้แพศยากับสามีชั่วของนางคงรวมหัวกันทำเรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้
หลังจากคิดอย่างนั้นได้ วันต่อมาซูหนิงเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านเกิด ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกจากเรือนก็ถูกสามีจับได้เสียก่อน ด้านหลังของเขายังคงเป็นลี่เอ๋อร์
นางไม่ได้ยินว่าลี่เอ๋อร์กระซิบบอกอะไรกับสามีของนาง เพราะหลังจากนั้นนางกับเขาก็ทะเลาะกันใหญ่โตถึงขั้นทำลายข้าวของในห้อง เมื่อโทสะทั้งนางและเขาพุ่งสูง นางตบเขาเพื่อให้ได้สติ เขาทำร้ายางด้วยการตบกลับ จากนั้นเราทั้งสองก็ทะเลาะกันพลางตบตีกันพลาง และท้ายที่สุด สามีคว้ามีดปอกผลไม้ที่วางในถาดจ้วงแทงเข้ากลางอกของนาง
เพียงแค่ชั่วอึดใจสั้นๆ ที่สามีพลั้งเผลอทำเรื่องขาดสติ สำหรับเขาคือความผิดพลาด แต่สำหรับซูหนิง อึดใจสั้นๆ นั้นกลับพรากชีวิตของนางตลอดกาล
สามีตกใจกับสิ่งที่ทำ รีบโยนมีดเปื้อนเลือดในมือทิ้งแล้วเข้ามาประคองนาง แต่สีหน้าของลี่เอ๋อร์กลับตรงกันข้าม
“จะ-เจ้าทำร้ายข้า”
นางกล่าวโทษสามี พร้อมมองอย่างเครียดแค้นชิงชัน ทว่าลี่เอ๋อร์เข้ามากอดนายท่าน และพูดด้วยน้ำเสียงราวกับวางแผนมาอย่างดี
“นายท่าน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านหนีความผิดที่ทำร้ายฮูหยินไม่ได้แล้ว คราวนี้นายท่านต้องแย่จริงๆ แล้วเจ้าค่ะ”
“แต่ซูหนิง...”
“คนตายไม่อาจพูดอะไรได้” ลี่เอ๋อร์ย้ำ
“เจ้าหมายความว่าอะไร”
“นายท่านเลือกเอาแล้วกันเจ้าค่ะ ระหว่างไปตามหมอมารักษา
ฮูหยิน พอนางฟื้นขึ้นมา เชื่อเถอะว่านางต้องเอาเรื่องนายท่านกับข้าอย่างถึงที่สุดแน่นอน หรือ...สังหารนาง แล้วบอกทางบ้านของนางว่านางหนีตามชู้ แบบไหนเป็นทางออกที่ดีกว่า”
“เจ้า!”
ถึงแม้จะหวาดกลัวที่ต้องสังหารภรรยา แต่สามีกลับเลือกเชื่อคำพูดของลี่เอ๋อร์ มีดที่ปักคาอกของนางอย่างครึ่งๆ กลางๆ ถูกกดจนจมด้าม
ซูหนิงเบิกตากว้าง จ้องมองคนชั่วทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า จ้องราวกับว่าหากตายไปแล้วนางจะลืมเลือนพวกเขา ทว่าท้ายที่สุดแม้ไม่ได้ลืมเหตุการณ์ในช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่หลังจากตายแล้ว กลับลืมเลือนชื่อของสามี ลืมแซ่ของตัวเอง ลืมกระทั่งว่าบ้านเกิดของตนอยู่ที่ไหน ลืมแล้วว่าคนชั่วพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว นางกลายเป็นวิญญาณที่ยึดติดในความแค้น และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้น
ผ่านช่วงพระอาทิตย์อัสดงนานแล้ว ในห้องที่มืดมิดและอับชื้นนี้ ซูหนิงที่เป็นวิญญาณนั่งกอดเข่าเดียวดายเพียงลำพัง