ตอนที่ 4 กลับบ้าน
สิ้นเสียงชายคนดังกล่าว พราวดีถูกชายคนนั้นปรี่วิ่งเข้ามา ปิดปากของเธอแล้วลากขึ้นรถ จากนั้นประตูรถตู้คนดังกล่าวถูกเปิดออก ระแวดระวังทั้งซ้ายและขวา ไม่มีใครเห็นแน่นอน พราวดีดิ้นรนพยายามหนี แต่ก็สู้แรงของผู้ชายตัวโต ๆ ไม่ได้ ในที่สุดเธอก็หมดแรงไปเสียก่อน
ข้อมือสองข้างถูกพันธนาการด้วยเชือกเส้นขนาดเท่านิ้วก้อย ริมฝีปากถูกปิดด้วยผ้าเทปแผ่นใหญ่ ดวงตาถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ คนพวกนี้ทำงานรวดเร็วเหมือนเป็นมืออาชีพ พราวดีหลั่งน้ำตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา คนพวกนี้จะทำอะไรเธอกันแน่
ชายคนหนึ่งเหมือนกำลังโทรศัพท์หาใครบางคน “นายครับได้ตัวแล้วครับ” พราวดีได้ยินเสียง แต่ปลายสายเธอไม่รู้ว่าคือใครกัน เธอพยายามร้องขอให้คนพวกนี้ปล่อยเธอไป แต่...ไร้เสียงของเธอ ได้ยินเพียงแค่เสียงอู้อี้เท่านั้น
“ยัยหนูนี่ทำอะไรให้นายเพลิงแค้นกัน ถึงจะต้องให้จับตัวไป ตัวเล็ก ๆ เพียงแค่นี้ทำอะไรไว้นะ” หนึ่งในชายบนรถตู้พูดขึ้นมากับเพื่อนที่นั่งมาด้วยกัน แม้ว่าไม่อาจลักพาตัวแม่สาวน้อยคนนี้ แต่เมื่อเจ้านายสั่งต้องทำตาม เมื่อก่อนพวกเขาเป็นคนอยู่ให้ห้องขังมาก่อน ถูกยัดเข้าฮ่องกง เพราะถูกใส่ความ ยังโชคดีที่ได้นายเพลิงรับไว้ดูแล จนพวกเขาได้มีชีวิตใหม่ อันสดใส
“ก็นั่นนะสิ แม่หนูคนนี้ดูหน้าตาน่ารัก ไม่น่าจะให้นายเพลิงโกรธได้” ปลายสายยังพูดคุยกับคนที่โทรหา แต่คนในรถตู้คันนี้มีมากกว่าหนึ่งคน พวกเขาทำงานกันเป็นทีม
เพลิงเหยียดยิ้มราวกับตนเองมีชัยชนะเพียงแค่จับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวได้ เขาจึงได้กำชับคนของเขาว่า “ดี!ทำได้ดี คงไม่ผิดตัวนะ” เพลิงกดยิ้มที่มุมปาก
คนปลายสายงุนงง มองภาพในโทรศัพท์ก็ชัดเจนแล้วนี่หว่า ทำไมนายถึงได้ถามว่าไม่ผิดคนแน่นะ มันจะผิดได้ยังไงกันนะ เขาก็ยังคิดไม่ออก “แน่นอนครับนาย” เขาบอกไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อย แถมพยักหน้าอีกต่างหาก
เพลิงทอดสายตาด้วยความเศร้าเสียใจมองน้องชายอีกครั้ง ตอนนี้อาการไม่น่าเป็นห่วง และหมออนุญาตให้เดินทางได้ แต่ระหว่างทางจะต้องเป็นรถของทางโรงพยาบาลเท่านั้น เขาไม่รีรอทีท่าแต่อย่างใด รีบลงชื่อในเอกสารสำคัญของโรงพยาบาล และนำตัวน้องชายไปรักษาต่อที่บ้านทางภาคเหนือ
ระหว่างนั้นได้ติดต่อประสานงานกับเพื่อนที่เป็นหมอ ให้จัดห้องและเตรียมอุปกรณ์สำหรับคนป่วย หมอตะวันไม่รู้มาก่อนว่า คนป่วยจะเป็นน้องชายของเพลิงเพื่อนสนิท เมื่อกำชับหมอตะวันเรียบร้อย จึงได้โทรหาป้าสมศรีแม่บ้าน ให้รีบทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะห้องของธนากรจะต้องปลอดภัยไร้ฝุ่น
หมอตะวันและป้าสมศรีช่วยกัน รวมถึงคนงานอีกห้าหกคน ช่วยกันหยิบจับ ปัด กวาด เช็ดถู ไม่นานก็เสร็จ คุณหมอตะวัน ปาดเหงื่อไปหลายครั้ง วันนี้เป็นวันที่เขาเหนื่อยแทบขาดใจ นอกจากเป็นหมอเขาต้องเป็นกรรมกรให้ธานินทร์อีกเหรอ ด่าก็ไม่ได้ เพราะเพลิงเป็นคนขวานผ่าซากดีไม่ดีถูกด่าสวนมาแทบหงายท้อง
“ป้าศรี ครับรู้ไหมว่าทำไมเจ้าเพลิงถึงให้ทำห้องนอนในนี้ด้วย” คุณหมอหนุ่มหน้าตาหล่อผิวเขาขาวจัดทีเดียว ถามกับป้าสมศรีแม่บ้าน
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณหมอ คุณเพลิงมักพูดแค่นั้น ที่เหลือไม่พูดบอกอะไรสักอย่าง จะมาถึงกี่โมงป้าก็ไม่ทราบ คุณหมอพักดื่มน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าจะทำอาหารกลางวันให้ กินเสียที่นี่ ไม่ต้องกลับไปกินที่บ้าน” ป้าสมศรีอายุก็ราว ๆ สักห้าสิบปลาย ๆ กล่าวจบก็เดินไปบ้านหลังใหญ่ ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร
หมอตะวันถอนหายใจ นั่งอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก มองเข้าไปในห้องกระจกด้วยความครุ่นคิด ห้องนั้นเอาไว้ให้สำหรับคนป่วยอาการหนัก มีอุปกรณ์เกือบครบครัน เขาต้องตระเวนหาร้านกว่าจะซื้อเข้ามาเกือบครบทุกอย่าง แล้วห้องนอนนี่เป็นของใครกัน
“อ้อ ต้องเป็นพยาบาลมาเฝ้าไข้แน่ ๆ” หมอตะวันยิ้มออก แต่หารู้ไม่ว่า คนเฝ้าไข้กำลังเดินทางมาด้วยรถตู้ มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ กว่าจะใช้ระยะเวลาเดินทางก็เกือบสิบชั่วโมง ดังนั้นแล้ว เด็กสาวที่ถูกจับกุมมาเดินทางตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ กว่าจะถึงก็ดึกดื่น
เวลาสองทุ่มกว่า ๆ อรอนงค์ยังไม่เห็นลูกสาวคนเล็กกลับบ้าน เธอจึงเป็นห่วง พยายามโทรเข้ามือถือเกือบเป็นร้อย ๆ ครั้ง แต่ปลายสายไม่มีคนรับเลย ด้วยความเป็นห่วง อรอนงค์จึงได้โทรหาลูกสาวคนโต ไม่นาน พลอยกมลก็รับสาย
“ค่ะแม่มีอะไรคะ” พลอยกมลสวมชุดพนักงานในร้านอาหาร ใบหน้าสะสวยล้วนดึงดูดลูกค้าหนุ่ม ๆ และเธอเป็นสาวสวยสะพรั่ง ทำให้ลูกค้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาขายขนมจีบให้เธอไม่ขาดสาย
อรอนงค์ ไม่รู้ว่าลูกสาวคนโตกำลังทำงาน “แม่โทรหายัยพราวตั้งนานไม่รับสายสักที น้องจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” ด้วยความเป็นห่วง ปกติแล้วพราวดีไม่ใช่เด็กกลับบ้านผิดเวลา
“แม่คะ ยัยพราวโตแล้วนะคะ วันนี้สอบวันสุดท้ายก็คงไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ นั่นแหละค่ะ แม่อย่าเป็นห่วงนักเลย แค่นี้ก่อนนะคะ พลอยกำลังทำงานอยู่ค่ะ” พลอยกมลตัดสายไป สุดท้ายแล้วทำให้ให้อรอนงค์คลายความกังวลใจไปได้บ้าง
พลอยกมลเพิ่งจะเริ่มทำงานวันนี้เป็นวันแรกก็ถูกผู้จัดการร้านเขม่นเข้าให้ เพราะใบหน้าของหล่อนสะสวยจนลูกค้าเข้ามาทักทายถึงหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ “น้องพลอยคะ มาทำงานวันแรกเนี่ยลูกค้ามาแจกเบอร์เยอะทีเดียว ระวังเอาไว้นะคะ บรรดาเมีย ๆ ของพวกหนุ่ม ๆ จะมาฉีกอกนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน” เปรมมิกาเหยียดยิ้มเข้าให้ นึกอิจฉาเด็กสาวเบื้องหน้า
“ขอบคุณในความหวังดีนะคะ” พลอยกมลไม่อยากมีเรื่อง เพราะงานที่นี่ค่อนข้างจะสบาย เงินเดือนก็พอ ๆ กับทำงานบริษัทใหญ่ ๆ และอีกอย่างเธอไม่อยากจะให้ลูคัสคิดว่าเธอหนักไม่เอาเบาไม่สู้ นั่นเพราะเขาให้เงินเธอใช้ แต่เธออยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง หากมีวันใดที่เขาทิ้งเธอไว้ และเขาแต่งงานขึ้นมา เธอจะได้มีหลักประกันว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงไร้ค่า และเธอก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองและแม่ได้
ลูคัสไม่ค่อยได้เข้ามาในร้านอาหารของเขา เพราะช่วงนี้เขามีงานเดินแบบทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นร้านที่เปิดเอาไว้ จะมีผู้จัดการดูแล ส่วนมากพนักงานในร้านไม่ค่อยได้พบเขาสักเท่าไหร่
พลอยกมลทำงานถึงเที่ยงคืน เธอจึงได้กลับไปยังคอนโดของลูคัสอีกครั้ง หวังว่าจะพบเขา แต่ทว่าพอเธอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เจ้าของห้อง ทำให้พลอยกมลรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เธอเข้าไปในห้องน้ำ ชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย และพร้อมจะเข้านอน
ครืด...เสียงข้อความถูกส่งมา พลอยกมลแย้มยิ้มอย่างดีใจ “ฝันดีนะครับ จะกลับก็คงอีกสามสี่วัน” ข้อความสั่น ๆ ทำให้เธอหัวใจฟูฟ่อง และคิดว่าอย่างน้อยเขาก็บอกเธอ ดังนั้นแล้วพลอยกมลฉีกยิ้มหวานกับโทรศัพท์ เธอจึงได้ส่งข้อความตอบกลับไป
“ฝันดีเช่นกันค่ะ คิดถึงคุณมาก ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ พลอยจะรอคุณกลับมา” พลอยกมลกำลังมีความสุข แต่ใครคนหนึ่งกำลังจะตกนรกทั้งเป็น ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ใช่ต้นเหตุเรื่องเลวร้ายทั้งหมด
เธอคือผู้บริสุทธิ์!
รถตู้สีดำขับมาจนถึงจุดหมายปลายทาง นั่นก็คือบ้านพักและยังเป็นไร่อีกด้วย ทางภาคเหนือของประเทศ อาการค่อนข้างจะสดชื่น กลางวันไม่ร้อนจัด กลางคืนอากาศเย็น ๆ สบาย ๆ รถคันดังกล่าวกำลังจอดเทียบท่าบ้านไม้หลังหนึ่ง ตามที่เจ้านายบอกให้นำเธอมาไว้ที่นี่ก่อน และให้ปิดตา ปิดปากเอาไว้ รอเขากลับไปชำระแค้นด้วยตัวเอง ระหว่างนี้ก็ดูแลอย่าให้ใครได้เห็นผู้หญิงคนนี้ จนกระทั่งเจ้านายจะกลับมาถึง
พราวดีเผลอหลับไป พอรถหยุดนิ่งและคนเหล่านี้นำตัวเธอเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง เธอจึงได้ดิ้นกุกกักอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียวในกลางดึก เวลาไม่แน่ชัดสักเท่าไหร่ เธอได้สติก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันพอจะจำได้อย่ารางเลือนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เสียงอู้อี้ของพราวดีก็ดังขึ้นเบา ๆ ทำให้ เหล่าผู้ชายที่จับตัวเธอมา ต่างมีสีหน้าและท่าทางตกใจ กลัวว่าเธอจะแหกปากร้องลั่น
บ้านไม้หลังน้อยถูกเปิดไฟสว่างจ้า คนตัวโตทั้งหลายที่ลักพาตัวเด็กน้อยที่ดูหน้าตาน่ารักน่าชัง ผิวพรรณก็ขาวสดใส พวกเขานั่งดูคนตัวเล็ก ที่ดิ้นไปดิ้นมา แถมยังมีเสียงจากโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครั้นจะปิดเครื่องก็เข้ารหัสผ่าน เพราะพวกเขากลัวจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิด
พวกเขาก็แต่ทำหน้านิ่ง ๆ ปล่อยให้มันดังไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่หยุดเสียงสักที ปลายสายที่โทรเข้ามาหาก็คือแม่จ๋า หัวใจของชายฉกรรจ์ทั้งหลายหล่นวูบ แม่ของเด็กน้อยคนนี้คงจะร้อนใจแน่ ๆ ป่านนี้ลูกไม่กลับบ้านสักที เที่ยงคืนแล้ว แต่ละคนสีหน้าก็ดูเลิ่กลั่ก
“เอาไงว่ะ” สมชายพูดขึ้น ก่อนจะถามสมหมาย พวกเขามีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าสม เพราะเจ้านายขี้เกียจจำชื่อยาก ๆ เจ้านายใจดี ตั้งให้พวกเขา ตั้งแต่ สมชาย สมหมาย สมคิด สมปอง สมรัก สมศรีนี่เป็นแม่บ้านของที่นี่ ส่วนสมทรงเป็นแม่ครัว แม่บ้านกับแม่ครัวคนละหน้าที่กัน
เจ้านายใจดี ให้เงินเยอะ ตั้งชื่อ สมหมดทุกคน ยกเว้นสมปรารถนาไม่มี
“นั่นนะดิ นายยังไม่มาเอาไงดี” สมหมายพูดขึ้น ได้แต่มองเด็กน้อยที่เขาเพิ่งจะจับตัวมา
“มันดังจนกูปวดหูไปหมดแล้วเนี่ย” สมปองคนขี้รำคาญ รำคาญเสียงโทรศัพท์อยากจะจับมันโยนทิ้งจริง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้
“มึงก็ทน ๆ หน่อยเถอะ แม่เขาก็ต้องเป็นห่วงลูกสิ มึงก็เพิ่งจะมีลูกไม่เข้าใจหรือไง หัวอกพ่อแม่ที่ไหนไม่ห่วงลูกบ้าง”