บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 เพลิงแค้น

เมื่อคืนเพลิงได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของน้องชาย ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน หงุดหงิดคิดว่าจะขับรถมาแต่ว่าระยะทางค่อนข้างจะหลายร้อยกิโล กว่าจะถึง ไม่สู้ให้เขานั่นเครื่องบินมายังจะดีเสียกว่า เขาจัดกระเป๋าพร้อมออกเดินทางในเวลาตีสี่ของวันรุ่งขึ้น

คาดว่าน่าจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาลที่น้องชายพักรักษาตัวน่าจะสาย ๆ หากไม่มีอะไรผิดพลาดไป เมื่อลงจากเครื่องเขาก็ตรงดิ่งมายังรถแท็กซี่หน้าสนามบินทันที บอกจุดหมายปลายทาง เร่งให้คนขับเพิ่มความเร็วอีกนิด เพราะเขาร้อนใจมาก เป็นห่วงน้องชายว่าบาดเจ็บขนาดไหน เพราะเพื่อนของธนาไม่แม้แต่จะส่งรูปมาให้ดู บอกเพียงแค่พิกัดว่าพักอยู่ห้องและโรงพยาบาลอะไร

รถแท็กซี่จอดเทียบท่าที่ลานจอดรถ สองเท้ารีบจ้ำพรวด ๆ เข้าไปข้างในโรงพยาบาลทันที จากนั้นจึงได้สอบถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับหน้าด้านในของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เมื่อได้คำตอบแล้ว เขาก็หอบหิ้วกระเป๋าเดินเป้ใบพอประมาณเข้าไป

จากนั้นเขาก็มาถึงห้องคนไข้แล้ว เขาเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบกับสภาพของน้องชายที่ไม่ได้ต่างจากคนตายทั้งเป็น ถูกผ้าสีขาวพันแทบทั้งร่าง มองเห็นเพียงแค่ใบหน้าฟกช้ำและมีรอยเลือดไหลซึมออกมา สายห้อยโยงยางเต็มสองแขนไปหมด

ธานินทร์ไม่คิดว่าอาการของธนากรจะหนักหนาสาหัสเช่นนี้ หัวใจของคนเป็นพี่แทบจะแตกละเอียดเมื่อเห็นน้องชายเพียงแค่คนเดียว นอนปางตายแบบนี้ ไร้คนคอยดูแล แล้วไหนที่บอกว่ามีแฟน เขาไม่เห็นกระทั่งเงาหัวของเธอ

เพลิงหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ดวงตาคมกริบของเขานั้นแดงก่ำเต็มไปด้วยความเสียใจ เขาปวดใจสุดแสนสาหัส พลันเห็นโทรศัพท์ของน้องชายวางไว้อยู่บนโต๊ะข้างเตียงของเขา เพลิงจึงได้หยิบมันขึ้นมา พร้อมหัวใจที่แสนจะปวดร้าวและทรมาน

พบเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น คนที่เป็นแฟนของน้องชาย เขาคิดว่าเธอน่าจะมาเยี่ยมบ้าง เจ้าหน้าที่พยาบาลเคาะประตู เธอเปิดประตูเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงขานรับ

“ขออนุญาตให้ยาแก้ปวดนะคะ เป็นยาแรงค่ะ เพราะคนไข้อาการหนักหนามาก ๆ” เธอกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มหวานให้ญาติคนไข้ เพราะญาติคนไข้ช่างหล่อบาดใจเสียเหลือเกิน

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณพยาบาลเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ไหมครับ” เพลิงยื่นรูปภาพในโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่พยาบาล เธอหยิบมาดู

“ไม่เห็นเลยค่ะ” เธอพูดความจริง เพราะเธอไม่เคยเห็น “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ช่วงนี้ก็ให้ยาแก้ปวดและน้ำเกลือไปพลาง ๆ ก่อนค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะมาประเมิณอาการอีกทีนะคะ” พยาบาลสาวกล่าวขึ้น เธอก็เข็นรถเข็นคันเล็ก ๆ สำหรับใส่อุปกรณ์การแพทย์ออกไป ดังนั้นในห้องจึงเงียบเหงาอีกครั้ง

เพลิงมองหน้าของน้องชาย ดวงตาคมกริบฉายแววผูกใจเจ็บนัก ยิ่งคิดยิ่งแค้น เรื่องราวที่น้องชายของเขาได้พบและเจอ จะต้องเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้แน่ ๆ “ผู้หญิงแบบนี้จะจัดการยังไงดีนะ ธนา บอกพี่หน่อยสิ รีบตื่นขึ้นมานะ มาจัดการผู้หญิงคนนั้น” มือหนาของพี่ชายที่แสนดี จับสวมเข้ากับมือที่ไร้เรี่ยวแรงนอนอยู่บนเตียง

“ถ้าวันนี้ยัยผู้หญิงคนนั้นไม่มา พี่จะลากคอหล่อนมาให้ดูแลธนาเอง หากหล่อนคิดจะปฏิเสธ พี่จะทำทุกอย่างตอบแทนให้สาสมให้แหลกสลายย่อยยับคามือ ให้สมกับสิ่งที่ยัยนั่นทำกับธนานะ” น้ำเสียงเหี้ยมของเพลิงได้กล่าวค่อนขอดปรามาสผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้

แต่เพลิงไม่รู้เลยว่า หล่อนมีฝาแฝดหน้าตาช่างละม้ายคล้ายคลึงกันจริง ๆ แฝดพี่ พลอยกมลสูงกว่าน้องสาวเพียงแค่ห้าเซนติเมตร หล่อนสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้า ส่วนแฝดน้องสูงเพียงแค่หนึ่งร้อยหกสิบ รูปร่างเหมือนกัน ตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ใบหน้าสะสวย

เมื่อคืนเพลิงได้กำชับลูกน้องในไร่ให้ขับรถออกมาก่อนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืน เพลิงหรือธานินทร์ ได้ส่งรูปภาพและสอบถามปรีว่า ผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไรและพักที่ไหน ปรีก็เป็นคนซื่อจนเซ่อบอกรายละเอียดเสียจนหมด เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ปรีก็แจงละเอียดยิบ แต่ลืมบอกว่า สองคนนี้เขาเลิกกันแล้ว

เพราะความเร่งรีบของปรี ทำให้ละเลยและหลงลืมบางอย่างไปอย่างกะทันหัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบจบการศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้ายเสียที หลังจากนี้จะได้เริ่มต้นหางานทำสักที่ แต่ก็อดเป็นห่วงธนาไม่ได้ โอกาสจะฟื้นขึ้นมา คือห้าสิบห้าสิบ

พราวดีออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อเช้าหลังจากได้พูดคุยกับพี่สาว วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้ว และแล้วเธอก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที คาดคิดเอาไว้ว่าเธอจะไปสมัครงานกับเพื่อน

พราวดี กลับมาถึงบ้านก็รีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เรียนจบ และคิดว่าจะคุยเรื่องงานที่จะสมัครงานที่เดียวกันกับนิรดา เพื่อนสนิทเพียงแค่คนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือเพื่อนแต่ก็ไม่ได้สนิทด้วย เพราะฐานะทางบ้านของพราวไม่ได้ร่ำรวย ก็มักจะถูกคนอื่นเหน็บแนมอยู่เป็นประจำ กว่าจะจบมาได้ก็ทนกับพวกปากไม่ดีตั้งหลายปี

ชุดนักศึกษาและกระโปรงจีบรองเท้าผ้าใบ กระเป๋าใบเล็กที่สะพายเอาไว้ รวบผมหางม้า หน้าตาของเธอสวยหมดจรด แม้ไม่ต้องแต่งแต้มก็ดูสวย วันที่เธอจะต้องเร่งรีบไปให้ทันเวลา เริ่มสอบเวลาเก้านาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา เจ็ดนาฬิกาสี่สิบนาที เลยเวลาที่เธอออกจากบ้านแล้ว และช่วงนี้รถค่อนข้างติด หากโชคร้ายฝนตกมานี่โคตรจะแย่ ไหนจะน้ำท่วมเพราะฝนตกรถติดอีก ช่างเป็นเมืองหลวงที่สุดแสนจะวุ่นวาย

แต่งตัวเรียบร้อย อุปกรณ์ เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม พราวดีรีบวิ่งลงจากชั้นสองเสียงดัง ตึกตัก ตามขั้นบันไดที่มีแค่ไม่กี่ขั้นเท่านั้น เมื่อคืนอรอนงค์ไม่รู้ว่าลูกสาวคนเล็กไปไหนมา แต่เห็นเจ้าตัวกลับมาเสียตอนเช้า อดที่จะต้องสอบถามให้รู้ความไม่ได้

“เมื่อคืนไปไหนมากลับมาสะเช้าเลย” เพราะปกติแล้ว ลูกสาวคนเล็กมักจะชอบอยู่บ้าน อ่านนิยาย นั่งฟังเพลง หรือไม่ก็ทำกับการ มีรับจ้างข้างบ้านทำขนมเล็ก ๆ น้อยพอจะได้เงินค่าขนมบ้าง ลูกสาวสองคนนิสัยแตกต่างกันเหลือเกิน

คนโตไม่ต้องพูดถึงไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน และถามว่าเป็นห่วงไหม ก็ย่อมเป็นห่วง แต่ลูกสาวคนโตมักจะบอกว่าเธอโตแล้วดูแลตัวเองได้ ก็เลยตามใจ แต่อรอนงค์ยังต้องกำชับว่าหมั่นโทรมาบอกแม่บ้างก็ยังดี แม่จะได้ไม่เป็นห่วง พราวดีเห็นสีหน้าของแม่พอจะเดาออก คงจะเป็นห่วงเธอเข้าให้

เสียงหวาน ๆ พูดจารื่นหูแย้มยิ้มน่าเอ็นดูเพราะเมื่อคืนเจอเรื่องทำให้หดหู่ใจ เธอโผเข้ามากอดแม่ที่เอวพอดิบพอดี “พอดีเพื่อนประสบอุบัติเหตุพราวก็เลยไปเฝ้า กลับมาก็เช้าแล้ว ขอเติมกำลังใจหน่อยค่ะ พราวรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย” เธอเสียงแผ่วลงเมื่อคิดถึงธนากร ไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วพี่ชายของเขาจะมาถึงหรือยัง คิดว่าวันนี้สอบเสร็จจะแวะเข้าไปเยี่ยมสักหน่อย

“แล้วพี่แกมันไปไหน ป่านนี้ไม่โผล่หัวมาเลย” อรอนงค์ถามหาลูกสาวคนโต กว่าจะเลี้ยงเด็กแฝดสองคนให้โตขนาดนี้ได้ ต้องเสียเหงื่อเสียน้ำตาไปหลายหยด เพราะพ่อของทั้งคู่จากไปตั้งแต่ลูกสาวได้เพียงแค่ห้าเดือน ต้องกัดฟันดิ้นรนหากินทุกวิถีทาง กว่าจะพอมีกินมีใช้ได้ทุกวันนี้ ก็ทำเอาเลือดตาแทบกระเด็น

พอเด็ก ๆ โตขึ้นมาหน่อย หัวเรี่ยวหัวแรงก็มีสองสาวคอยช่วยแม่แบ่งเบาภาระ พอขึ้นมหาลัย แฝดพี่ก็เริ่มทำตัวเกเรบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งก็หายหน้าไปเกือบเดือน อ้างว่านอนบ้านเพื่อน หรือไม่ก็อ้างว่าทำงาน แต่ก็ยังรักแม่มากเหมือนเดิม ด้วยความเป็นแม่ก็ทำได้เพียงแค่ดุด่าเล็ก ๆ น้อย ๆ พอ มีกันแค่สามคนแม่ลูก

“แม่ขา บ่นพลอยทุกวันไม่เบื่อบ้างเหรอคะ พลอยกับพราวโตแล้วนะคะแม่” พลอยกมลกลับมาทันได้ยินแม่บ่นเสียงกระเง้ากระงอด จากนั้นแฝดพี่โอบกอดแม่ แล้วหอมแก้มของคุณแม่ยังสวยไปหนึ่งฟอดใหญ่ และเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปมหาลัยต่อทันที ไม่รอเวลาโอ้เอ้เพราะวันนี้คือวันสอบวันสุดท้ายแล้ว

สองคนพี่น้องยืนรอรถประจำทางด้านหน้าปากซอยและไปมหาลัยพร้อมกัน เรียกได้ว่าวันนี้เหมือนเป็นฟ้าหลังฝนของพลอยกมล ต่อไปนี้เธอจะได้ไม่ต้องมาทนเห็นหน้าของธนากรผู้ชายเฮงซวยที่ทำร้ายเธอแทบปางตายในบางครั้ง ทุกครั้งเธอมักจะหลบหน้าเขาตลอด เพราะรู้ดีว่า คนอย่างธนากรไม่เลิกราง่าย ๆ แน่

สองพี่น้องเดินเข้ารั้วมหาลัยพร้อมกัน และแยกย้ายไปคนละคณะ “พราวตอนเย็นไม่ต้องรอพี่นะ กลับบ้านไปก่อนเลย” เพราะเธอมีนัดกับลูคัส เรื่องงานของเธอ เขากำลังจะฝากงานให้เธอทำ ทำ ๆ ไปก่อนดีกว่าไม่มีงานทำ แม้ว่าจะอยู่ในร้านอาหาร แต่ก็มีตำแหน่งเป็นแคชเชียร์เคาน์เตอร์คิดเงิน เงินเดือนก็พออยู่ได้ กินประหยัดหน่อย ยังเหลือพอให้แม่อีกด้วย

“อืม พราวไปก่อนนะรีบนะ” พราวดีรีบวิ่งเข้าไปไม่รีรอเพราะเธอกลัวว่าจะเข้าไปในห้องไม่ทันสอบ ส่วนพลอยกมลรู้สึกวูบไหวแปลบ ๆ แวบ ๆ เหมือนมีสิ่งที่จะขาดหายไป แต่เธอเองไม่สนใจจึงได้ก้าวเท้าเข้าไปในคณะของเธอ

พราวดีสอบเสร็จชั่วโมงสุดท้ายคือเวลาบ่ายโมงครึ่ง คิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกสักหนึ่งชั่วโมงไปเยี่ยมธนาที่โรงพยาบาล ไปดูอาการสักนิดว่าเขาพอจะลืมตาโต้ตอบได้บ้างหรือเปล่า แม่ว่าพี่สาวจะไม่สนใจ แต่เธอยังคิดว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ดีกับเธอมาก

พราวดีลงจากรถเมล์ประจำทาง หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเอกชน เดินลึกเข้าไปในซอยลัดค่อนข้างจะเปลี่ยว แต่เพราะว่ามันเป็นด้านหลัง หากเป็นด้านหน้าก็ใช้เวลานานกว่านี้ รถตู้สีดำติดฟิล์มจนมองไม่เห็น คนขับรถตู้แอบดูเธอตั้งแต่ออกจากมหาลัยจนกระทั่งถึงทางเข้าโรงพยาบาล

เขาเห็นเป้าหมายและแน่นอนว่าไม่ผิดตัว ผู้ชายคนหนึ่งทำทีเป็นเดินตามแผ่นหลังของหล่อน พราวดีไม่รู้ตัวจนกระทั่งสะดุ้งตกใจเพราะเสียงของคนเดินตามมา “น้องครับ พี่ถามทางหน่อย” ชายรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นล่ำบึกผิวสีแทนเพราะตากแดดทำงานกลางไร่แดดร้อนจัด จึงทำให้ผิวพรรณนั้นถูกแผดเผาจนกลายเป็นผิวเกรียม

“ค่ะพี่” หญิงสาวกล่าวตอบ ด้วยเพราะเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่เธอโชคร้ายที่สุดและจะไม่ได้พบหน้าแม่และพี่สาวอีก “มีอะไรให้ช่วยคะ” เมื่อชายแปลกหน้ามองรูปในโทรศัพท์ก็พบว่าไม่ผิดแน่ ๆ เขาจึงได้ร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ “ใช่จริง ๆ ด้วย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel