ตอนที่ 3
มา บางครั้งก็ดูเหมือนผู้ชายรักสนุก ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหนสักที แต่ในรายของนาตาลีดูจะคบหากันนานเป็นพิเศษ
หลายครั้งที่รสรินเคยเอ่ยถามลูกชายถึงการมีครอบครัว ด้วยอยากให้เขาคบหาใครสักคนอย่างจริงจัง เพราะอายุอานามของลีโอก็ย่างเข้าสามสิบสี่แล้ว หากแต่ลูกชายก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา โดยให้เหตุผลว่าภาระหน้าที่ภายใต้หน่วยงานที่ U.S. Army Rangers ที่เสี่ยงอันตรายเหมือนแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย ก็ทำให้เขาแทบไม่คิดถึงเรื่องคู่ครอง
“แล้วคุณอยากได้สะใภ้แบบไหนล่ะจ๊ะ…”
เดวิดถามบ้าง ทั้งที่ก็พอจะคาดเดาได้ เพราะอยู่กินกันมานานจนล่วงรู้ความคิดหลายๆ อย่างของกันและกัน
“ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากได้สะใภ้คนไทยค่ะ”
รสรินเฉลยให้รู้ในที่สุด
เรื่องนี้เดวิดเองก็รู้อยู่แล้ว ด้วยหลายๆ ครั้งที่นาตาลีแวะมาหาลีโอที่บ้าน รสรินก็มักจะแอบบ่นลับหลังกับเขาอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ชอบกิริยาการพูดจาของนาตาลีที่จัดจ้านจนขาดสัมมาคารวะในบางครั้ง ทั้งที่หล่อนเองก็ได้พยายามแล้ว ด้วยการเปิดใจ ทำใจยอมรับคนรักของลูกชาย ตามเหตุผลที่สามียกมาเอ่ยอ้างว่านาตาลีได้รับการอมรมเลี้ยงดูมาจากโลกตะวันตก ภายใต้สังคมอเมริกันที่มีอัตลักษณ์ในเรื่องของความเสมอภาคและเท่าเทียมกันชัดเจน ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าจะต้องเคารพนับถือกันตามระบบอาวุโสหรือเคร่งครัดในเรื่องสัมมาคารวะแบบสังคมไทย
“ผมว่าเราอย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรจะดีกว่าไหม… อย่างที่ผมบอก ลีโอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ครู่ครองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของหัวใจ และเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าลูกเรารักใคร… เราก็ควรจะรักด้วยไม่ใช่หรือ?”
เดวิดเอ่ยให้ภรรยาได้คิด
“มันก็จริงค่ะ… เอาเป็นว่าฉันจะพยายามทำใจนะคะ”
รสรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่เต็มปากเต็มคำนัก
เดวิดมองภรรยาแล้วก็ยิ้มๆ ด้วยความเข้าใจในหัวอกของคนเป็นแม่ที่รักและแหนหวงลูกชายคนเดียวปานแก้วตาดวงใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ผับเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านซานฟราสซิสโก ลึกเข้าไปด้านในสุดของห้องสี่เหลี่ยมซึ่งไม่กว้างนัก ภายใต้บรรยากาศของราตรีกาลอันหม่นมัว ถูกย้อมเอาไว้ด้วยแสงสีสลัวๆ จากแสงไฟที่สาดมาจากเวทีขนาดย่อม แลเห็นนักร้องซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาว มีรอยสักรูปเปลวไฟสีแดงอยู่ที่ต้นแขน เขามีชื่อว่าริกกี้ พื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่รัฐเท็กซัสซึ่งเป็นถิ่นฐานคาวบอยเก่าแก่ของอเมริกา
I hear her voice, in the morning hour she calls to me
ฉันได้ยินเสียงเธอเพรียกหาฉันในยามรุ่งสาง
Radio reminds me of my home far away
เสียงวิทยุย้ำเตือนให้ฉันคิดถึงบ้านเกิดที่พรากจากมาแสนไกล
Driving down the road I get a feeling
ขณะขับรถไปตามถนนฉันรู้สึกได้…
That I should have been home yesterday
ว่าฉันควรจะกลับบ้านตั้งแต่เมื่อวันวาน
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั้งผับ ภายหลังจากเสียงเพลง Take me home, country road ในท่อนสุดท้ายของ จอห์น เดนเวอร์ เจ้าพ่อเพลงคันทรีชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับ ซึ่งริกกี้สามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงของเขาออกมาได้อย่างละมุนละไม กังวานเสียงไพเราะน่าฟัง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งกระจายอยู่ภายในร้าน
นอกจากเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มมีสเน่ห์ของริกกี้และการพูดจาเอนเตอร์เทนลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ก็ทำให้มีลูกค้าเป็นแฟนประจำเนืองแน่นทุกคืน แทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือในวันที่มีคิวของริกกี้ขึ้นร้องเพลง
เมื่อก้าวลงจากเวที ขณะกำลังจะเดินเข้าไปหลังร้าน บังเอิญสายตาของนักร้องหนุ่มเหลือบแลไปเห็นร่างรัดรึงของนาตาลี เธอกำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียว ในมุมแคบๆ ยิ่งทำให้ดูเปลี่ยวเหงา และกำลังมองมาที่เขาพอดี
“สวัสดีค่ะ…”
หญิงสาวส่งยิ้มทักทายเขาก่อน เมื่อเห็นริกกี้เดินตรงเข้ามาหา
“ดูเหมือนว่าผมเคยเห็นคุณมาก่อน…”
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ จากนั้นก็ทรุดร่างลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่างอยู่ตรงข้าม
“ใช่คะ… ฉันเพิ่งมาที่นี่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ”
หล่อนตอบเรียบๆ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยช่อผมสีบรอนด์ที่ร่วงลงมาบดบังใบหน้าสะสวย
“ถึงว่าสิ… ผมรู้สึกคุ้นหน้า ดีใจจังที่คืนนี้คุณแวะมาอีก… จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมจะขออนุญาตเลี้ยงเหล้าคุณสักแก้ว”
เขาไม่รีรอที่จะผูกสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนใจอย่างเธอ ภายหลังจากสังเกตเห็นว่าคืนนี้นาตาลีมาคนเดียว
“ดื่มอะไรดีครับ…”
ถามพลางดีดบุหรี่ในซองขึ้นมาจุดสูบ พ่นควันสีขาวกำจายจางออกไปในเวิ้งอากาศหม่นมัวภายใต้แสงไฟสลัวที่สาดลงมาจากเพดาน สายตาของเธอกับเขาแสสบกันไปมามิได้ขาด
“ออนเดอะร็อคค่ะ”
“ช่างบังเอิญ… คอเดียวกัน”
บอกแล้วชายหนุ่มก็กระดิกนิ้วเรียกบริกรเข้ามารับออเดอร์ ครู่สั้นๆ ต่อมาออนเดอะร็อคสองแก้วก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ
“คุณมาคนเดียวใช่ไหมครับ…”