บทที่ 5
ชนิตสิรียืนชะเง้อมองไปยังทางเข้ามหาวิทยาลัย สลับกับมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย อาการของเธอทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ อมยิ้ม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มว่า
“มองหาเพื่อนรักอยู่เหรอยัยน้อง”
“ค่ะพี่วิชญ์”
ชนิตสิรีย่นจมูก พลางเริ่มบ่นถึงเพื่อนรักของตนเอง ที่ผิดเวลามากขนาดนี้
“ยัยตวงน่ะสิคะพี่วิชญ์ นัดกับน้องตอนเก้าโมงครึ่ง ตอนนี้เกือบจะสิบโมงแล้วนะคะ ยัยเพื่อนรักของน้องยังไม่มาเลย”
“รออีกนิดก็แล้วกัน”
นราวิชญ์พูดเสียงทุ้ม ก่อนจะปรายตามองหญิงสาวร่างเล็ก ผมยาวหยักศกถึงกลางหลังอย่างเอ็นดู เวลายิ่งผ่านไป ชนิตสิรีก็ยิ่งโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก หวานละมุนราวกับตุ๊กตา ชายหนุ่มแอบลอบถอนใจเมื่อมองสำรวจทั่วใบหน้ารูปหัวใจ แก้มใสๆ ริมฝีปากอิ่มเรื่อนั่น ยิ่งโตก็ยิ่งสวย ยิ่งเวลาผ่านไป เจ้าตัวก็ยิ่ง...
ชายหนุ่มเมินมองไปทางอื่นเสียที่ไม่ใช่ใบหน้าหวานๆ ของหญิงสาว ที่มีชื่อว่าเป็นเด็กในปกครองของผู้เป็นยายของเขา แม้จะไม่อยากคิดอะไรกับชนิตสิรี พยายามมองเธอในฐานะน้องสาว แต่มันก็ยากยิ่งนัก ที่จะห้ามหัวใจ ที่นับวัน มันยิ่งนอกเหนือออกจากการควบคุมของเขาไปทุกที
“นี่ถ้ายายตวงไม่อ้อนขอไปเรียนวิชาทำขนมไทยจากคุณย่าหญิงล่ะก็ น้องทิ้งจริงๆ ด้วยนะคะ คุณย่าหญิงจะพาน้องไปเยี่ยมพี่เพลิงด้วยพรุ่งนี้ คิดถึงพี่เพลิงจะตาย ไม่ได้เจอหน้าพี่ชายมาตั้งสองปีแล้ว น้องยังไม่ได้เตรียมตัวเลย”
ชนิตสิรีแอบย่นจมูกเมื่อพูดถึงพี่ชายอีกคนของเธอ มือเรียวเกาะแขนของนราวิชญ์ เป็นกิริยาประจำที่เธอทำยามจะอ้อนเขา ทำเอาชายหนุ่มอดใจแกว่งไม่ได้ และพยายามตีหน้ายิ้มๆ นิ่งสงบ
“อะไรกันนะ จะอ้อนเอาอะไรจากพี่ ยัยน้อง”
“น้องสงสารพี่เพลิงจังพี่วิชญ์ สองปีแล้วนะคะ พี่เพลิงเตลิดเข้าสวนส้มไป ไม่ยอมกลับมาเยี่ยมบ้าน ดูงานที่โรงแรมอีกเลย ทิ้งทุกอย่างไปเลย เพราะผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ เชียวนะคะพี่วิชญ์”
“เวลาจะทำให้นายเพลิง ลืมเรื่องปวดใจไปได้เองน่ะแหละ” ชายหนุ่มว่
“นายเพลิงเป็นคนจริงจัง ยัยน้องก็รู้ คนจริงจังทุกเรื่องแบบนายเพลิง ก็เลยเจ็บลึกฝังนานไปเลย”
“คุณย่าหญิงเองก็เป็นห่วงพี่เพลิงมากเลย รอพี่เพลิงกลับบ้าน ก็ไม่ยอมมาเสียที คราวนี้คุณย่าหญิงเลยจะไปบุกถึงถ้ำของฤาษีเพลิงกันล่ะ แต่ต้องรอให้พ้นฤดูหนาวก่อนเลยนานไปนิด คุณย่าหญิงไม่ถูกกับอากาศหนาว พี่เพลิงเล่นหนีไปอยู่เสียไกลโพ้น เกือบเหนือสุดแบบนี้”
“หึๆ อืม นั่นเพื่อนของยัยน้องหรือเปล่าจ๊ะ”
นราวิชญ์ยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงโปร่ง ที่วิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาพวกเขา กำลังยืนรออยู่หน้าตึกของคณะวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว
“มาแล้ว มาแล้ว ขอบใจที่รอนะยัยน้อง มาช้าไปนิด มัวแต่ไปคุยเรื่องงานพิเศษมา คุยธุระกับอาจารย์เสร็จแล้วเหรอ?”
หญิงสาวหน้าสวยคม ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้มรวบไว้หลวมๆ เริ่มหลุดลุ่ยลงมา ใบหน้าเรียวรูปไข่ ปากอิ่ม จมูกโด่งเชิด นัยน์ตาโตคมหวาน เครื่องหน้าประกอบกันผสมไว้ทั้งสองเชื้อชาติได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว ทำให้เธอมีใบหน้าสวยชวนมองและสะดุดตามากทีเดียว ประกอบกับรูปร่างสูงโปร่ง หากแต่อวบอิ่มในสิ่งที่สตรีควรจะมี ยิ่งดึงดูดสายตาให้มีแต่คนหันมอง แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวล้วนพับแขน กับกางเกงยีนสีซีดท่าทางทะมัดทะแมงห้าส่วน รองเท้าผ้าใบง่ายๆ ก็ตามที
“เรียบร้อยนานแล้วล่ะ รอแต่ตวงน่ะแหละ ไปไหนมา น้องเกือบจะทิ้งแล้วนะตวง”
ชนิตสิรีว่า แล้วผละจากนราวิชญ์ไปเกาะแขนเพื่อนรักทันที
“มัวแต่ไปทำงกเงินที่ไหนมาล่ะจ๊ะ”
“ดูใช้คำเข้า สวัสดีค่ะพี่วิชญ์”
ตวง หรือตวงรักหัวเราะกิ๊กอย่างชอบใจ เธอยกมือไหว้นราวิชญ์อย่างนอบน้อม ชายหนุ่มยกมือไหว้ตอบ แล้วยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง
“สวัสดีจ้ะ เดี๋ยวพี่ไปเอารถก่อนนะสาวๆ”
เมื่อร่างสูงใหญ่ของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายลับตาไปแล้ว ชนิตสิรีก็มองตามหลังเขา พลางหันมากระซิบเบาๆ กับตวงรัก
“รู้ไหมตวง ว่าอ้อยน่ะ แอบชอบพี่วิชญ์ นี่ให้น้องติดต่อให้เลยนะ น้องก็ไม่กล้า กลัวพี่วิชญ์จะเอ็ดเอา”
“อย่าเสี่ยงเลย”
ตวงรักย่นจมูก แล้วหัวเราะเบาๆ เธอค่อนข้างจะพอรู้จัก ผู้ที่เป็นเหมือนพี่ชายของเพื่อนสนิทบ้าง ชนิตสิรีไม่ได้เห็นเป็นปมด้อยต้องปิดบังอะไร เรื่องฐานะเด็กขอมาเลี้ยงของตัวเอง แถมเธอยังยกย่องพี่ชายทั้งสองให้เพื่อนสนิทที่สุดอย่างตวงรักฟังเสมอ จนตวงรักแทบจะรู้จักพี่ชายของชนิตสิรีดีแบบไม่ต้องเห็นหน้าไปเสียแล้ว แต่จะว่าไปเธอก็เคยเห็นแค่นราวิชญ์ ส่วนพี่ชายอีกคนที่ชื่อเพลิง เธอไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“นั่นน่ะสิ” ชนิตสิรีหัวเราะพลางย่นจมูก เมื่อนึกถึงพี่ชาย
“พี่วิชญ์น่ะ ไม่รู้เป็นอะไร โมโหทุกทีเวลาน้องจะติดต่อสาวๆ ให้ แปลกคน”
“ปล่อยเค้าไว้เถอะน่า พี่เค้าอาจจะไม่ชอบเด็กๆ อย่างพวกเราก็ได้” ตวงรักหัวเราะบ้าง
“แต่ก็ไม่ได้เด็กแล้วนะน้อง พวกเราเรียนจบแล้วนี่นา เพราะแบบนี้ไง เราถึงต้องวิ่งหางานขาขวิดแบบนี้”
ประโยคหลังของเจ้าตัวมีน้ำเสียงเนือยๆ ลงไปบ้าง ชนิตสิรีมองแล้วก็ถอนใจ มือเรียวไล้แขนเพื่อนรักเบาๆ อย่างจะให้กำลังใจ
“เอาน่า นี่ถ้าตวงยอมเข้าวงการตามที่พี่แมวมองเค้ามาชวน ก็คงจะสบายไปแล้ว”
“ตวงไม่ชอบนี่นา ตวงอยากเป็นไกด์เหมือนพ่อต่างหากล่ะ”
น้ำเสียงของเจ้าตัวพูดอย่างหนักแน่น เมื่อได้เอ่ยถึงอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเดินตามรอยบิดา ชนิตสิรีอมยิ้ม แล้วกอดคอเพื่อนรักไปขึ้นรถเมื่อรถคันหรูของนราวิชญ์มาจอดรอรับอยู่
“เอาน่า แม่คนความฝันเยอะ อุดมการณ์แยะ ไปขึ้นรถกันดีกว่า จะได้ไปอ้อนขอสูตรขนมคุณย่าหญิงได้หลายสูตรหน่อย”
ตวงรักหัวเราะเบาๆ จริงอยู่ที่ความใฝ่ฝันของเธอคือการเป็นไกด์นำเที่ยว และคิดแม้กระทั่งอยากจะทำตามความฝันอันสูงสุดของเธอ ว่าอยากจะมีรีสอร์ต หรือกิจการทัวร์เล็กๆ เป็นของตัวเอง ตอนนี้บิดาของเธอ เมธัส รับหน้าที่เป็นไกด์ พาทัวร์ตามหมู่เกาะของฝั่งทะเลอันดามัน นานครั้งเขาจะกลับบ้านที เมธัสทำงานร่วมกับเพื่อนๆ มัคคุเทศก์ด้วยกันเป็นเครือข่าย รายได้ก็ค่อนข้างดีพอใช้ เพียงแต่เขาไม่มีเวลาให้ครอบครัวก็เท่านั้นเอง ต้องปล่อยให้บุตรสาวคนเดียวอยู่กับภรรยา ผาณิต เพียงสองคน นานครั้งถึงจะกลับบ้านที ถ้าเป็นช่วงไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว
ตวงรักมองออกไปทางหน้าต่างรถ ใจเหม่อคิดถึงแต่เรื่องของตนเอง เมื่อชนิตสิรีไม่ได้ชวนคุย เพื่อนรักนั่งข้างหน้ากับนราวิชญ์และกำลังคุยถึงเรื่องของพี่ชายอีกคนอย่างออกรส เมื่อตวงรักเงียบไปเจ้าตัวเลยไม่ได้ผิดสังเกตนัก มือเรียวล้วงโบว์ชัวร์ท่องเที่ยวที่เธอไปขอมาจากบริษัทท่องเที่ยวออกมาดู มีรอยยิ้มที่ริมฝีปากอิ่มทันที เมื่อเห็นภาพหิมะสีขาวโพลน สะท้อนพระอาทิตย์เป็นประกาย และภาพหุบเขาอันงดงามในกระดาษที่พิมพ์ไว้อย่างดี สวิสเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ตวงรักใฝ่ฝันว่าอยากจะไปสักครั้งหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังพยายามหาลู่ทาง หาเงิน ค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลแต่ตวงรักก็ยอมแลก นั่นก็เพราะ...