บทที่ 4
“ฉันขับรถให้นายนะเพลิง”
นราวิชญ์กล่าวยิ้มๆ เมื่อเดินแกมวิ่งมาจนทันญาติผู้พี่ เขาตบบ่าเพลิงเบาๆ ก่อนจะแบมือขอกุญแจรถ เพลิงมองนัยน์ตายิ้มๆ ของนราวิชญ์ พลางหรี่ตา
“จะมาไม้ไหน”
“เป็นห่วงนาย ขับรถให้ดีกว่า”
นราวิชญ์ว่า เพลิงยักไหล่ แล้วส่งกุญแจให้กับญาติผู้น้องโดยดี นราวิชญ์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขึ้นประจำที่คนขับ เมื่อออกรถมาสักครู่เขาก็ถามเพลิงขึ้นลอยๆ ว่า
“แวะกินอะไรก่อนไหม นายกินข้าวนิดเดียวเอง เมื่อกี้ วันนี้ประชุมยาวด้วย ไม่อยากให้ผู้ช่วยกรรมการฝ่ายบริหารเป็นลมคาห้องประชุมว่ะ”
“จะกระแหนะกระแหนอะไรฉันอีกคนล่ะ”
เพลิงปรายตามองนราวิชญ์ ที่ยังคงทำหน้านิ่ง นัยน์ตายิ้มอย่างเดิม เขารู้นิสัยญาติผู้น้องดีกว่า นราวิชญ์ถึงจะทำนิ่งๆ แต่ก็รู้ทันทุกอย่าง คำพูดแต่ละคำบางทีต้องคิดกันลึกๆ เพราะมันมักจะแฝงอะไรไว้เสมอ
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มอมยิ้ม แล้วส่ายหน้าน้อยๆ
“อย่าระแวงกันสิ ฉันแค่เห็นนายกินข้าวนิดเดียว โมโหคุณยายหรือไง ท่านก็พูดถูกนะ เรื่องคุณเวียร์น่ะ”
“ความรักมันจบลงได้แค่วันเดียวได้ ฉันก็คงจะดีกว่านี้”
เพลิงพูดเสียงแผ่ว นัยน์ตาเขาเจ็บปวดวูบไหวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นราวิชญ์ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของญาติหนุ่ม ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ความรักมันจบลงวันเดียวไม่ได้ หากแต่เวลาก็อาจจะทำให้นายลืมความรักได้บ้าง ไม่ใช่เหล้า และการทำร้ายตัวเอง”
น้ำเสียงราบเรียบของนราวิชญ์ทำให้เพลิงถอนใจเฮือก
“อืม...ฉันแค่อยากเมา อยากลืมเขาบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
“แต่ตอนนี้นายควรจะเลิกเมาได้แล้ว คุณยายเป็นห่วงนายมาก พวกเราทุกคนรักและเป็นห่วงนายนะ นายเพลิง”
นราวิชญ์ว่า ทำเอาเพลิงถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ เขาพยักหน้า
“ขอบใจนะ ฉันยังเจ็บไม่หายง่ายๆ หรอก เรื่องนี้มันมากเกินกว่าฉันจะรับไหวว่ะ เข็ดจริงๆ ฉันอยากจะหนีไปอยู่ไกลๆ ที่ไหนก็ได้สักพัก ไม่อยากรู้เรื่องของเขา ไม่อยากได้ยิน มันเจ็บ นายเข้าใจไหมวะ นายวิชญ์ นายเคยมีความรักบ้างไหม ถ้าเคยมีแล้วนายจะเข้าใจ ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่เขาทำกับเราเหมือนกับเราเป็นแค่เกม”
น้ำเสียงและแววตาของเพลิงยังเจ็บปวด เขาเป็นคนจริงจังและเมื่อจริงจังไปแล้ว เพลิงจึงทุ่มใจกายอย่างถึงที่สุด หากการได้รับการตอบแทนมาแบบนี้ มันก็ทำให้เขาทำใจได้ยากเย็นยิ่งนัก
“ฉันเข้าใจ ฉันเองก็เป็นผู้ชายนะเพลิง ความรักก็ต้องเคยมีบ้าง”
นราวิชญ์ว่า นัยน์ตาอบอุ่นของเขาเป็นประกายอ่อนโยนเมื่อพูดถึงเรื่องความรัก หัวใจเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนขั้วโลกนี่นา แถมคนที่เขากำลังเริ่มคิดลึกซึ้งด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นราวิชญ์ลอบกลืนน้ำลาย ไม่ใช่แค่พี่ชายของเขาหรอก ตอนนี้เขาเองก็กำลังเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่าทีละน้อยเหมือนกัน
“ฉันอยากพักร้อน หนีไปไกลๆ ว่ะ”
เพลิงว่า เขาเอนหลังกับเบาะรถแล้วหลับตานิ่ง
“หนีไปที่ไหนก็ได้สักที่ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเจอใครจริงๆ”
“นายจะทิ้งงานให้ฉันทำหรือไง เฮ้! สงสารกันบ้างนะ งานก็ไม่ใช่น้อยๆ โรงแรมของเราน่ะ งานหนักนะพี่ชาย”
นราวิชญ์หัวเราะ พยายามทำให้เป็นเรื่องคลายเครียด แต่เขามองหน้าของเพลิงแล้ว เหมือนกับว่าตอนนี้ ชายหนุ่มกำลังอยากจะหนีสังคมไปไกลๆ ขึ้นมาจริงๆ
‘ขอคุณยายพานายเพลิงไปเที่ยวสักหน่อย สักอาทิตย์ท่าจะดีแหะ’
นราวิชญ์คิดในใจ เมื่อเห็นท่าทีที่เซ็งขนาดหนักของญาติผู้พี่ ที่กำลังนอนหลับตานิ่ง เขากำลังกลัวว่าเพลิงจะเครียดจัด จนหนีพวกเขาไปเข้าจริงๆ งานนี้คงจะยุ่งแน่ๆ
..................................................................................................................................................................
“สวัสดีครับคุณแม่”
กริชยิ้มแย้มเต็มที่เมื่อกล่าวทักทายมารดา เขาวิ่งมากอดนางแรงๆ ก่อนที่คุณย่าหญิงจะแกล้งทำเสียงดุใส่บุตรชายคนเล็กของนาง
“อย่ามากอดเลย แม่ล่ะหมั่นไส้ เดี๋ยวก็ทิ้งแม่ไปแล้ว เชอะ”
“โอ๋ๆ ใจน้อยอีกแล้ว”
กริชหัวเราะเบาๆ แล้วโอบท่านไว้ในวงแขน เขาอาจจะเหมือนลูกชายที่ไม่ใคร่ได้เรื่องนักของมารดา แต่ไม่ว่าจะอยู่ห่างเพียงไหน เขาก็ยังระลึกถึงท่านเสมอ และไม่พลาดยามมีช่วงเวลาสำคัญๆ เขามักจะมาเยี่ยมเยือนหรือไม่ก็ส่งของมาแทนตัวไม่ขาด
“ไหนล่ะ เมียเราน่ะ”
คุญย่าหญิงว่า กริชยิ้มกริ่มเลยทีเดียว พลางพาท่านประคองออกไปนอกบ้าน เขาให้มาเรียรอเขาที่สวนสวย ซึ่งตอนนี้พี่สาวของเขากำลังชวนคุยทำความรู้จักกับเธออยู่ คุณย่าหญิงจัดเป็นงานเลี้ยงย่อมๆ ให้กับบุตรชายคนเล็กเพื่อต้อนรับว่าที่ลูกสะใภ้
“มาเรีย”
กริชตะโกนเรียกภรรยา ที่ลุกขึ้นยืนและยิ้มหวานให้กับเขาทันที คุณย่าหญิงมองปราดว่าที่ลูกสะใภ้ อดคิดในใจไม่ได้ว่า ดูสวย สง่า ขนาดนี้นี่เอง มิน่าเล่า บุตรชายถึงยอมสละโสดอย่างง่ายดาย ทั้งที่หวงเอาไว้เหนียวแน่นมานาน
“สวัสดีค่า”
หญิงสาวนางนั้นยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ภาษาไทยแปร่งๆ ของมาเรียทำเอาคุณย่าหญิงย่นคิ้ว
“พูดไทยได้ด้วยเหรอ?”
“ทำกับข้าวไทยยังไหวเลยครับ หึๆ” กริชว่ายิ้มๆ
“มาเรียทำหุ้นเปิดสวนส้มของผมเป็นกึ่งโฮมสเตย์นานแล้วครับคุณแม่ เราคบกันมานานหลายปีแล้ว”
น้ำเสียงที่พูดถึงคนรัก แฝงนัยชื่นชม จนคุณย่าหญิงต้องแอบอมยิ้ม
“ดีๆ เราชอบกินอาหารไทยแม่จำได้ พอจะนึกออกแล้วว่าทำไมเราถึงสละโสด”
นางว่าลอยๆ กริชได้ยินไม่ถนัดถึงกับถามซ้ำอย่างสงสัย
“อะไรนะครับคุณแม่”
“เปล่า ๆ“
คุณย่าหญิงหัวเราะและรับไหว้มาเรีย ก่อนจะมองเธออย่างสำรวจอีกครั้ง หญิงสาวชาวต่างชาติ ต่างภาษาผู้นี้ ดูท่าทางจะสุภาพนอบน้อม แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจในตนเอง เข้มแข็งจนเห็นได้ชัด นางยิ้มให้กับมาเรีย ก่อนจะเดินตามบุตรชายเข้าไปที่ในสวน ที่มีจิตรารออยู่ พร้อมกับสาวน้อยอีกนางหนึ่ง ที่กำลังตื่นเต้นกับอาสะใภ้คนใหม่
“แล้วหลานผมสองคนล่ะครับ”
กริชถามผู้เป็นมารดาเมื่อรับประทานอาหารกันไปได้สักพักหนึ่ง ดูเหมือนว่ามาเรียจะเข้ากับทุกคนในบ้านของเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะชนิตสิรี หลานบุญธรรมของคุณย่าหญิง ที่นางขอมาอุปการะไว้ ดูจะชื่นชมมาเรียมาก
“เดี๋ยวก็มาน่ะ อ้อ...พูดถึงก็มาพอดี”
คุณย่าหญิงว่า หลังจากได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน สักพัก สองหนุ่มก็เดินเข้ามาสมทบกับงานเลี้ยง นราวิชญ์ยกมือไหว้ผู้เป็นน้าพร้อมกับเพลิง เขาเดินไปนั่งข้างๆ กับสาวน้อย พร้อมกับเอ่ยทักสั้นๆ ว่า
“กลับมาแล้วเหรอ ยัยน้อง”
“กลับมาแล้วคะ พี่วิชญ์”
ชนิตสิรีตอบ พร้อมกับยิ้มกว้างให้เขา รอยยิ้มนั้นสดใส จนคนมองอดใจเต้นแปลกๆ ไม่ได้ หญิงสาวมีเครื่องหน้าละมุนหวาน ใบหน้ารูปหัวใจ ปากนิด จมูกหน่อย ราวกับตุ๊กตา ผมยาวหยักศกของเจ้าตัวปล่อยยาวประบ่า สวมชุดกระโปรงติดกันสีชมพูลายทางขาว สั้นเหนือเข่า ดูแล้วน่ารักสมวัยใสของเธอยิ่งนัก
“สนุกไหมเข้าค่าย พี่นึกว่าจะร้องไห้กลับมา ตั้งแต่สองสามวันแรกเสียแล้ว”
เพลิงว่ากระเซ้าอีกคน พลางโคลงศีรษะเธออย่างเอ็นดู ชนิตสิรีเป็นเด็กกำพร้าที่คุณหญิงย่าขอมาอุปการะ เพราะสงสารครอบครัวของเธอที่บิดามารดาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งบ้าน คุณหญิงย่ารู้จักเพราะมารดาของสาวน้อยเคยเป็นลูกศิษย์มาเรียนทำขนมไทยตอนที่คุณหญิงย่าเปิดสอนสนุกๆ แก้เหงา เมื่อทราบข่าวร้ายและไปงานศพของอดีตลูกศิษย์ รับรู้ความน่าสงสารของชนิตสิรีที่ต้องเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุหกขวบ คุณย่าหญิงจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยไม่ลังเล เด็กหญิงชนิตสิรีน่ารัก น่าเอ็นดูมากสำหรับพี่ชายอย่างเพลิงและนราวิชญ์ เจ้าตัวขี้อ้อน ช่างประจบ แถมฉลาดเฉลียว คุณย่าหญิงจึงรักมาก
“ไม่หรอกค่ะ สนุกจะตาย ก็ยายตวงยังลุยได้ ทำไมน้องจะลุยไม่ได้ละคะพี่เพลิง”
เจ้าตัวว่าเสียงแจ๋ว เพลิงเลยหัวเราะหึๆ ก่อนจะสนใจตักอาหารตรงหน้าทาน และหันไปคุยกับอาของเขาบ้าง
“อากริชสบายดีไหมครับ? ตอนนี้สวนส้มท่าทางจะกำลังสวยน่าเที่ยวเลยนะครับ”
เพลิงว่า เขากำลังเบื่อ เซ็งขนาดหนัก เมื่อเห็นหน้ากริชเข้า เขาก็รำลึกถึงความงดงามของสวนส้มตะวันฉาย ที่เคยไปเยี่ยมผู้เป็นอา บางทีเขาอาจจะขอตามกริชกลับไป ไปเที่ยวสักพักก็ดีเหมือนกัน
“อืม...กำลังสวยเลย นี่อากำลังประกาศขาย ตอนแรกเขาก็ติดต่อมาจะซื้ออยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ทางโน้นกู้แบงค์ไม่ผ่าน”
กริชว่า ทำเอาเพลิงหรี่ตา
“อากริชจะขายสวนส้มตะวันฉายเหรอครับ?”
“อาเราเขาจะบินตามแฟนไปเมืองนอกน่ะ เดี๋ยวก็คงได้เห็นแล้วละ ว่าที่อาสะใภ้เรา ตอนนี้เขาไปเข้าห้องน้ำ”
คุณย่าหญิงว่าอย่างล้อเลียนบุตรชาย ทำเอากริชยิ้มเขิน ส่วนเพลิงมีประกายตาวาบขึ้นมาทันที เขาตัดสินใจโพล่งออกไปทันที
“อากริชจะขายเท่าไหร่ครับ สวนส้มตะวันฉาย”
“เพลิงถามทำไม”
กริชมองหน้าหลานชายอย่างสงสัย เพลิงยิ้มก่อนจะตอบเสียงหนักแน่นว่า
“ผมจะซื้อครับ ผมจะไปทำสวนส้มต่อจากอากริชเอง”
“หา!”
เสียงประสานดังขึ้นพร้อมกันทันที โดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาเพลิงถึงกับยิ้ม เขาส่งรอยยิ้มกว้างไปทั่วโต๊ะพร้อมกับย้ำอีกครั้ง
“ผมจะไปทำสวนส้มครับ ทุกคนได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมตั้งใจแน่วแน่แล้ว”