บทที่ 3
บทสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่ หยุดชะงักลงชั่วคราว เมื่อเห็นร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ผู้ที่นั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ โบกมือให้เด็กรับใช้ไปจัดอาหารมาเพิ่มอีก เพลิงนั่งลงตรงเก้าอี้ประจำของเขา และย่นคิ้วเมื่อเห็นว่าที่โต๊ะอาหารเช้าวันนี้ มีสมาชิกเพิ่มขึ้น เขายกมือไหว้ผู้เป็นอา จิตราพยักหน้าและยิ้มให้ นัยน์ตาของเธอมองเขาอย่างสำรวจ ก่อนจะหันไปมองสบตากับผู้ที่สูงอายุที่สุดในบ้านชั่วครู่ แล้วก้มลงสนใจอาหารในชามของเธอต่อ
“ลงมาได้แล้วเหรอตาเพลิง วันนี้ไปทำงานได้แล้วสิเราน่ะ”
คุณย่าหญิงพูดขึ้นมาลอยๆ เพลิงก้มหน้าหลบสายตาของผู้เป็นย่า แล้วทำเป็นไม่สนใจท่าน คุณย่าหญิงถึงกับถอนใจกับพฤติกรรมของหลานรัก นางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันไปหาชายหนุ่มอีกคนในโต๊ะเหมือนจะฟ้องเขา
“ตาวิชญ์ ดูพี่เราหน่อยสิ ยายจะเป็นลม กินเหล้าเมาหัวราน้ำอยู่ในศาลาหลังบ้าน งานการไม่ไปทำ อะไรนักหนา”
“ว่าไง นายเพลิง”
นราวิชญ์ ที่กำลังมองสำรวจลูกพี่ลูกน้องหนุ่มอยู่เหมือนกันกลายๆ ยิ้มน้อยๆ เขามีใบหน้าละม้ายคล้ายเพลิง หากแต่หน้าตาของนราวิชญ์ไม่คมเข้มเท่าเพลิง อาจจะเพราะนัยน์ตาอันสงบนิ่งอบอุ่นของเขาก็ได้ ขณะที่ญาติผู้พี่มีนัยน์ตาคมเข้มและร้อนแรงกว่า นิสัยของนราวิชญ์ก็แทบจะแตกต่างจากเพลิง เพลิงนั้นอารมณ์ร้อน รักแรงเกลียดแรง เขาไม่เคยเก็บความรู้สึกสักเท่าไหร่ หากแต่นราวิชญ์ นิ่งสงบ เฉยเมย น้อยคนนักจะรับรู้ถึงความในใจของหนุ่มผู้เยือกเย็นคนนี้ ถ้าเปรียบเพลิงเป็นไฟ นราวิชญ์ก็คือน้ำแข็งขั้วโลกเลยทีเดียว
“อะไร ที่ว่าไง”
เพลิงย้อนถามอย่างกวนๆ เขาไม่ใคร่ชอบใจคุณย่าหญิงนัก ที่เอาเขามาฟ้องกับน้าสาวและญาติผู้น้องแบบนี้ นราวิชญ์หัวเราะหึ หึ
“วันนี้มีประชุม นายสร่างเมาแล้วใช่ไหม? ”
เพลิงเม้มริมฝีปาก กับคำพูดแฝงนัยกระทบน้อยๆ จากนราวิชญ์นั่น ทำไมเขาจะไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มหมายความถึงเรื่องอะไร
“อืม...หายแล้ว”
“อย่าไปสนใจอะไรแม่นั่นนักเลยนะตาเพลิง ย่าขอล่ะ เฮ้อ...กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมก็ดีแล้ว แม่จิตรวันนี้ไปส่งแม่ไปบ้านคุณอรนภาหน่อยนะ แม่มีนัดไปดูเครื่องลายครามสมัยเก่าที่บ้านเค้า เห็นอยากจะให้แม่ช่วยดูก่อนตัดสินใจซื้อ ชอบของเก่าแต่ไม่เชื่อสายตาตัวเอง กลัวได้ของเทียมมา เหมือนใครแถวนี้ก็ไม่รู้ แน่ใจแล้วว่าเพชรแท้ แต่กลับได้ก้อนกรวด”
“คุณย่า เลิกซ้ำเติมผมได้หรือยังครับ”
เพลิงวางช้อนแบบกระแทกๆ ก่อนจะหน้าตาแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาพยายามจะลืมเรื่องของญาตาวี แต่เหมือนทุกคนจะมาย้ำกันอยู่ได้
คุณย่าหญิงถึงกับกลืนน้ำลาย เมื่อหลานชายคนโปรดลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะอาหารเอาดื้อๆ นราวิชญ์มองตามหลัง เขารวบช้อนและดื่มน้ำ พลางลุกตามลูกพี่ลูกน้องหนุ่มไปบ้าง เขาหันมาพูดกับคุณย่าหญิงยิ้มๆ
“เดี๋ยวผมไปจัดการให้นะครับคุณยาย”
“คุยกับพี่เพลิงดีๆ ล่ะ”
จิตราว่าตามหลังบุตรชายคนเดียวของเธอ ก่อนจะหันมายิ้มให้มารดา มือเธอบืบมือท่านเบาๆ แล้วกล่าวปลอบ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตาวิชญ์คงจะจัดการให้ตาเพลิง อารมณ์ดีขึ้นบ้างนะคะคุณแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกัน แม่จิตร” คุณย่าหญิงถอนใจเฮือก แล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันเลี้ยงของฉันมานานนะแม่จิตร ตั้งแต่พ่อแม่เขาเสีย รู้นิสัยใจคอตาเพลิงดี ว่าจริงจังขนาดไหน แม่จิตรก็รู้นี่ลูก หลานชายเราน่ะ ไม่เคยจริงจังแบบนี้มาก่อน แม่เวียร์นี่เป็นรายแรก ที่ตาเพลิงหวังนัก คงจะเจ็บมาก คนอย่างตาเพลิงจริงจังทุกเรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องชีวิตส่วนตัว จนแม่ล่ะกลัวใจ”
“อืม...ค่ะ”
จิตราพยักหน้า เธอเองก็มีส่วนในการเลี้ยงเพลิงมากเหมือนกัน ก้องภพพี่ชายเธอ และ บุหงา พี่สะใภ้เสียชีวิตไปในอุบัติเหตุเครื่องบินตก ตั้งแต่เพลิงอายุเพียงสิบขวบ ผู้เป็นย่าจึงรับเลี้ยงเพลิงและสนิทสนมกับหลานชายมาก ตัวเธอเองก็มักจะรับหลานรักไปนอนด้วยบ่อยๆ และพาไปอยู่ด้วยบางครั้ง เพราะสงสารเพลิงที่เป็นลูกกำพร้า
“แม่ก็เตือนมันแล้ว เรื่องแม่เวียร์นั่นน่ะ สาวสังคมจัด หัวสมัยจ๋า คิดดูนะคิดดู มานอนค้างอ้างแรมกับหลานเราบ่อยๆ ไป แต่ไม่เคยมาให้เราเห็นหน้าสักที อะไรกันแม่รับไม่ได้หรอก ถ้าแม่ไม่ไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณหญิงโสภา คงไม่ได้เห็นหน้าเจ้าหล่อน สวยหยาดเยิ้ม ดูเย้ายวนออกปานนั้น ตาเพลิงถึงหลงนักหลงหนา”
“อืม...ค่ะ”
จิตราถอนใจ แล้วจับมือของมารดามาลูบเบาๆ หน้าตาท่านเป็นห่วงหลานชายมาก จิตราเข้าใจดีเลยทีเดียว แต่ของแบบนี้มันไม่ใช่แค่วันสองวันจะมาลืมกันได้ง่ายๆ เพลิงคบกับญาตาวีมานานมากเกือบสามปี ลืมกันชั่วคืนคงจะไม่ได้
“เฮ้อ...พูดยาวๆ บ้างไม่ได้หรือไงแม่จิตร อืม...ค่ะ เลิกพูดประโยคนี้เถอะ แม่อยากได้คำปรึกษาบ้างนะ ไม่ใช่อยากได้แต่ผู้ฟังที่ดี”
คุณย่าหญิงว่าให้ลูกสาว จิตราหัวเราะเบาๆ เธอมักจะพูดน้อย เก็บความรู้สึกเก่ง มักจะใช้การกระทำมากกว่าคำพูด จิตราจึงเป็นนักทำงานที่ดีมากกว่านักพูดที่ดี
“อืม...ค่ะ อุ๊ยขอโทษค่ะคุณแม่ หึ หึ ตาวิชญ์คงจะช่วยพี่ชายได้บ้างน่ะค่ะ ขานั้นรู้ใจเพลิงทุกอย่าง”
“ถ้าแบบนั้นก็ดี หมกตัวอยู่จนแม่กลัวใจ เอ่อ...นี่เย็นนี้เรามาที่บ้านนะ ตากริชจะมา พาเมียฝรั่งมาไหว้แม่”
“อืม...ได้ค่ะ ไว้จิตรจะมากินข้าวเย็นด้วย อยากเจอตัวน้องชายเหมือนกัน เห็นขลุกอยู่แต่สวนส้มสุดที่รัก แล้วนี่คิดยังไง ถึงตัดใจขายได้ก็ไม่รู้สินะคะ”
“ตามเมียไปฝรั่งเศสน่ะสิ ตากริชใฝ่ฝันมานานแล้วไอ้เรื่องมีไร่องุ่นทำไวน์น่ะ ได้เมียเป็นเจ้าของไร่องุ่นพอดี เลยแจ้นตามแทบไม่ทัน”
คุณย่าหญิงย่นจมูก นางไม่ใคร่จะพูดถึงกริชบุตรชายคนเล็กของนางมากนัก เพราะแอบขัดใจที่กริชทิ้งทุกอย่าง กิจการของครอบครัวที่เพียรสร้างกันมา ตกแหมะเป็นภาระของจิตราพี่สาวคนรอง ทิ้งไปทำความฝันของตัวเองเอาเสียดื้อๆ
“จิตรอยากเจอพี่สะใภ้เหมือนกันนะคะ เห็นว่าจะแต่งงานในสวนส้ม ท่าทางจะหวานกันน่าดู”
“แม่ก็อยากจะเห็นแหม่มฝรั่งที่มาหลงคารมน้องชายเราเหมือนกันน่ะแหละ มาได้เมียตอนอายุสี่สิบกว่าๆ แบบนี้ เหอะ...จะเตะปี๊บดังหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วแม่จะได้เห็นหน้าหลานหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ พากันไปอยู่เมืองนอกหมดแบบนั้น ไอ้น้องเราคนนี้แม่เลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆ นะ ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยคิดถึงแม่ถึงพ่อ คิดถึงพี่บ้างว่าจะเหนื่อยขนาดไหน นี่ดีนะที่หลานชายของแม่โตพอจะช่วยผ่อนแรงได้บ้าง แถมพอจะใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นกิจการที่ทำกันมาตั้งแต่รุ่นแม่ คงจะได้บริจาคให้การกุศลเพราะไม่มีคนสนใจจะรับช่วงต่อ”
“ไว้จิตรจะพาคุณแม่ไปเยี่ยมหลานบ่อยๆ นะคะถ้ากริชมีลูก”
จิตราว่ายิ้มๆ เธอเข้าใจดีว่าถึงแม้มารดาจะบ่นมากมายเกี่ยวกับน้องชาย แต่ท่านก็รักเขามากเท่าๆ กับลูกทุกคน และออกจะเป็นห่วงกริชมากเสียด้วยที่ เลือกเดินตามความฝันไปลำบากลำบนทำสวนส้มแบบบุกเบิกด้วยตัวเอง
“ถ้ามันมีปัญญามีนะ เฮ้อ...ผู้ชายบ้านนี้ คิดแล้วมีแต่คนทำให้แม่ปวดหัว”
คุณย่าหญิงบ่น ใจเริ่มห่วงหลานรักขึ้นมาอีกรอบ เพลิงจะทำใจได้บ้างหรือยังก็ไม่รู้ป่านนี้แล้ว...