บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

มันก็ออกจะแปลกอยู่เหมือนกันที่ใจหนึ่งนั้น บลิสส์ไม่อยากให้เขาปล่อยมือจากเธอเลยด้วยซ้ำ สําหรับผู้ชายคนนี้ อย่างน้อยมันก็ยังมีอะไรที่พอจะทําให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาได้บ้าง

“ก็ใช่น่ะสิ...แต่...เอ้อ...ไม่หรอก”

“คุณจะเอายังไงกันแน่ดัชเชส” เขาหัวเราะออกมาอีกอย่างขบขันแท้จริง

“นี่...คุณเลิกเรียกฉันอย่างนั้นเสียทีได้ไหม”

“เรียกยังงี้ละเหมาะกับคุณที่สุดแล้ว”

“ฉันเกลียดขี้หน้าคุณที่สุดเลย เจมี่ แม็คเคนน่า”

“เกลียดก็เกลียดไปสิ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาละ ไหนลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อยสิว่า เพราะอะไรคุณถึงอยากจะหนีไปให้พ้นจากเวลลิงตันนัก”

มือแข็งแรงที่จับข้อมือเธอไว้คลายลงบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะปล่อยเสียทีเดียว และบลิสส์ก็รู้สึกอยู่ว่าเธอไม่ได้กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับท่าทางที่เธอแสดงออกมา

“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก พ่อฉันเป็นพนักงานประจําประภาคารนอกชายฝั่งเมืองเวลลิงตัน ฉันก็โตมาในเมืองนั้น”

เจมี่ลูบไล้ฝ่ามือเธออยู่เบา ๆ สร้างความปั่นป่วนใจให้บังเกิดกับบลิสส์ขึ้นมาอีก

“แล้วคุณมีพี่สาวหรือน้องชายบ้างหรือเปล่าล่ะ” เขาถามออกไปด้วยสุ้มเสียงราวกับว่าเขากับเธอกําลังนั่งพักผ่อนกันอยู่กลางสวนไม้ดอกที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ไม่ใช่มานอนเคียงข้างอยู่ด้วยกันในความมืดเช่นนี้ และคําถามของเขาก็ทําให้บลิสส์บังเกิดอารมณ์เศร้าขึ้นมาอีก

“ฉันมีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง แต่เขาตายตั้งแต่ฉันยังเล็กแล้วละ ถึงตอนนี้ฉันก็จำหน้าค่าตาเขาไม่ได้แล้ว” บลิสส์ รู้ว่าเธอกําลังกล่าวเท็จที่ว่าจําโคลินไม่ได้ เพราะพ่อไม่เคยยอมให้เธอลืมลงเลยว่า โคลินอาจจะยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ถ้าเขาไม่ออกไปตามหาน้องสาวแสนซน ในคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำหนักในคืนนั้น

เจมี่นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ราวกับเขาสัมผัสความรู้สึกของบลิสส์ที่ไม่อยากพูดถึงชีวิตในวัยเด็กของเธอให้ใครฟัง

“ผมเองก็มีพี่ชายคนหนึ่งเหมือนกัน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันรู้แล้วละ คุณเป็นคนบอกฉันเองว่าหลงรักเมียเขาอยู่”

คราวนี้เจมี่ปล่อยมือที่เธอจับไว้ออก ผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที

“คุณพูดอะไรนะ” เขาถามเสียงเครียด

“ก็คุณเป็นคนบอกฉันยังงั้นไม่ใช่หรือ” บลิสส์ทําท่าจะลุกขึ้นจากเตียงแต่เจมี่คว้าตัวไว้

“ผมพูดว่าผมรักเขาจริง” เจมี่ตอบอย่างยอมรับ “แต่คําว่ารักนั้นไม่ได้มีความหมายอย่างที่คุณคิดหรอก แม็กกี้น่ะเปรียบเหมือนพี่สาวผมคนหนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”

ทั้งคําพูดและน้ำเสียงที่จริงจังของเจมี่ ทําให้บลิสส์รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด

“ฉันเข้าใจแล้วละ” เธอตอบช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมจะต้องมานั่งอธิบายเรื่องพรรค์นี้ให้คุณฟังด้วย” เขายกมือขึ้นกอดอกราวหวั่นไหวกับความคิดของตนเองอยู่

และแม้ว่าเจมี่จะไม่จับมือเธออีกต่อไป แต่บลิสส์ก็ไม่ได้คิดจะลุกหนีไปไหนอีกแล้ว

“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคุณเจมี่ แม็คเคนน่า ว่าทําไมคุณจะต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังด้วย แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณน่ะมันคนบ้า นี่ถ้าพ่อฉันรู้นะว่าคุณมาบังคับให้ฉันนอนร่วมเตียงอยู่ด้วยยังงละก้อ…”

เจมี่หัวเราะออกมาดัง ๆ หันมามองหน้าเธออยู่ แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตกต้องลงบนเรือนผม และไรพื้นที่ขาวสะอาดของเขาเป็นเงาวาม และมันก็สร้างความรู้สึกวาบหวามให้บังเกิดขึ้นกับบลิสส์อีกครั้ง เธอไม่แน่ใจเสียแล้วว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป

และแล้ว... เจมี่ก็โน้มตัวเข้ามาใกล้สัมผัสเรียวปากของเธอด้วยริมฝีปากของเขาแต่เพียงบางเบา ความรู้สึก ซาบซ่านแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย และบลิสส์ก็ยังอดที่จะประชดประชันเขาต่อไปอีกไม่ได้

“คุณทํายังงี้กับแม่บ้านสาวชาวเมารีคนนั้น เวลาที่ไม่มีใครรู้เห็นด้วยใช่ไหมล่ะ”

เสียงหัวเราะลึกที่หลุดออกมาจากลําคอนั้น เป็นเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง มันเป็นเสียงที่สะท้อนลุ่มลึกออกมาจากแผงอกกว้าง และสร้างความสะท้านสะเทือนมาถึงเรียวปากของบลิสส์ด้วย แทนคําตอบนั้น..เขาจูบเธอ…

บลิสส์สะท้านไปทั้งตัวเมื่อถูกรุกไล่ด้วยวิธีนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอํานาจใด ๆ หลง เหลืออยู่เลย ปลายลิ้นของเขาเลียลามอยู่กับเรียวปากเหมือนจะคาดคั้นให้เธอได้มอบอะไรบางอย่างให้กับเขาโดยเร็ว

และริมฝีปากเรียวบางก็เผยอขึ้นราวกับมีชีวิตจิตใจของตัวเอง ความรู้สึกที่ตามมาหลังจากนั้นคือความตื่นเต้นอย่างเหลือจะกล่าว และเธอก็ยกแขนขึ้นโอบรอบลําคอเขาไว้สนองรับต่อจุมพิตด้วยความเต็มใจ

แต่ในที่สุด เจมี่ก็เป็นฝ่ายผละออกก่อน เขาอ้าปากหอบหายใจราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ และแล้วก็สบถ ออกมาเบา ๆ ซึ่งบลิสส์ถือว่าเป็นการดูถูกเธออย่างแรง

“ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องขึ้นก่อนนะ” เธอพูดอย่างไว้ตัว

เจมี่ลุกขึ้นนั่งหันหลังให้ ยกมือขึ้นเสยผมที่ยุ่งเหยิงอยู่

“หุบปากเสียทีได้ไหมดัชเชส อย่าทําให้เราทั้งสองคนต้องยุ่งยากมากกว่านี้หน่อยเลย”

“แล้วนั่นคุณจะไปไหน” บลิสส์ร้องออกมา ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้วเธอน่าจะโล่งใจที่เจมี่คลายอ้อมแขน ออกและเลิกจูบเธอเสีย แต่ความรู้สึกแท้จริงมันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น

“ไม่ไกลถึงขนาดที่คุณจะหนีผมไปได้อีกหรอก” เขาตอบออกมาก้มลงคว้ารองเท้าขึ้นมาถือไว้ “นี่ คุณช่วยกรุณานอนให้หลับเสียทีได้ไหมล่ะ พรุ่งนี้เช้าเรายังจะต้องออกเดินทางไปเวลลิงตันอีก”

“นี่คุณหูหนวกหรือยังไงนะ...ก็ฉันตะโกนกรอกหูคุณอยู่ตลอดเวลาแล้วไงล่ะว่าไม่ไปไม่ไป” บลิสส์ร้องอย่างโมโห แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความตกใจแฝงอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้เธอได้รู้รสชาติของจูบที่แท้จริงจากเขาแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์มากเข้าไปอีก

“ไม่มีทางหรอก” เขาตอบห้วนๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทรุดตัวลงในเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงมุมห้องซึ่งสว่างนวลอยู่ในแสงจันทร์ ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า บลิสส์จะต้องกลับไปหาผู้ชายคนนั้น และอเล็กซานเดอร์จะต้องนอนร่วมเตียงกับเธอเป็นคนแรก

“ฉันว่าคุณน่าจะเสียเวลาเปล่านะที่จะอุตส่าห์ไปส่งฉันถึงเวลลิงตันยังงั้น” บลิสส์ยกมือขึ้นกอดอกอยู่ “ถ้าคุณส่งตัวฉันกลับฉันก็จะหนีอีก”

“ถึงตอนนั้นมันก็ต้องเป็นปัญหาของสามีคุณแล้วจริงไหม” เจมี่พูดอย่างให้เหตุผล เขาสวมรองเท้าเรียบร้อย แล้วในตอนนี้ บอกตัวเองอยู่ว่า ถ้าจะต้องไล่ตามจับนางแมวป่าตัวนี้อีกก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม บลิสส์นั้นโมโห จนอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ

“ทําไมฉันถึงต้องมาเจอผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ”

“คุณหยุดบ่นเสียทีได้ไหม” เจมี่ตวาดกลับมา

“ไม่มีทางหรอก”

“นอนเสียเถอะน่าดัชเชส พรุ่งนี้ยังต้องเหนื่อยทั้งวันนา” เขาโยกเก้าอี้อยู่ไปมา

“มันอาจจะไม่ต้องเหนื่อยเลยก็ได้ คุณแม็คเคนน่า” บลิสส์พูดอย่างมาดหมาย

“อย่ามาขู่ผมนะคนสวย” เขาทําเสียงเครียด “ใกล้กันแค่นี้ผมจับคุณฟาดกันได้ง่าย ๆ”

บลิสส์หวังแต่เพียงว่าความสลัวของแสงจันทร์จะช่วยไม่ให้เขาเห็นใบหน้าที่แดงซ่านขึ้น

“ขู่งั้นเรอะ คงนึกว่าฉันกลัวละสิท่า”

“ไม่เชื่อก็ลองดู เขาพิงศีรษะอยู่กับพนักเก้าอี้หลับตาลง

บลิสส์ไม่รู้จะทําอย่างไร จึงจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดอยู่ได้ แต่ขณะเดียวกันความอ่อนเพลียที่เข้าครอบงํา ทําให้เธอปิดปากหาว ตั้งใจว่าจะไม่ยอมหลับอย่างเด็ดขาด เธอจะต้องรอเวลาด้วยความอดทน ขอให้ได้ยินเสียงกรนเสียก่อนเถอะน่าแล้วจะได้รู้กัน...

และแม้จะได้ยินเสียงหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้ว แต่บลิสส์ก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว ยังคงรอเวลาต่อไปอย่างใจเย็น ในที่สุดเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วเธอจึงลองเรียกเขาดู

“เจมี่...คุณยังตื่นอยู่หรือเปล่าน่ะ”

เงียบ...ไม่มีคําตอบ และเธอก็ลองดูอีกครั้ง

“เจมี่” แต่เขาก็ยังนิ่งเงียบเหมือนเดิม

บลิสส์ค่อยๆลุกจากเตียงอย่างเงียบกริบ ทั้งเสื้อคลุมและย่ามประจําตัวทั้งอยู่ในห้องชั้นล่าง ถ้าเพียงแต่เธอจะสามารถเดินผ่านร่างเขาออกไปได้เธอก็ย่อมหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย และในที่สุดเธอก็จะไปถึงโอ๊คแลนด์ได้โดยสะดวก

เธอค่อย ๆ ย่องด้วยฝีเท้าแผ่วเบาที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แต่ก็ในตอนนั้นเองที่มือแข็งแรงของเจมี่เอื้อมมารวบเอวไว้

“ดัชเชส...น่าอายจริง ๆ นะที่คุณทํายังงี้ ผมจะต้องทํายังไงกับคุณดีนะคุณถึงจะรู้ตัวเสียทีว่ากําลังทําอะไรโง่ ๆ อยู่”

สิ่งที่ทําให้บลิสส์ตกใจนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเจมี่จับตัวไว้ได้ขณะที่เธอกําลังคิดจะหนี แต่มันน่าจะเป็นเพราะวิธีที่เขาจับนั่นมากกว่าที่ทําให้ใบหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้น บลิสส์สูดลมหายใจพยายามขึ้นตัวไว้เมื่อบอกกับเขาว่า

“ฉันว่าไอ้สิ่งที่ฉันกําลังจะทําลงไปนี่ มันไม่ใช่ความผิดอะไรเลยนะ ก็ในเมื่อธรรมชาติมันเรียกร้องให้ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำฉันก็จําเป็นต้องไป แล้วทําไม...มันผิดตรงไหนงั้นหรือ”

“อ้าว...ใครจะไปรู้ล่ะ คนอย่างคุณเผลอได้เมื่อไหร่” เจมี่ว่าพร้อมกับปล่อยมือออก

บลิสส์รู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็หลุดออกมาได้เปลาะหนึ่งแล้ว

“คุณคงอยากจะคุมตัวฉันไปเข้าห้องน้ำด้วยสินะ”

“ถ้าไม่อยากออกไปข้างนอกจะใช้กระโถนในห้องผมก็ได้นี่” เขาตอบเรียบ ๆ

บลิสส์เดือดดาลขึ้นมาตวัดเท้าเตะเข้าตรงหน้าแข้ง แต่ดูเหมือนเจมี่จะรู้ตัวอยู่แล้ว ว่ามันจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจึงเบี่ยงตัวหนีได้ทัน บลิสส์ไม่เคยเห็นใครที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วและสง่างามเช่นนี้มาก่อนเลย

“เอาละ คุณแม็คเคนน่า สักวันหนึ่งฉันจะต้องใช้หนี้บุญคุณที่คุณทําไว้กับฉันได้หมดแน่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ฉันรอได้อยู่แล้ว”

“คุณนี่ช่างร้ายเหลือจริง ๆ นะบลิสส์” เขาหัวเราะออกมาอีก “สงสัยว่าเมื่อส่งคุณถึงเวลลิงตันแล้ว ผมคง คิดถึงคุณแย่ไปเลย”

ความโมโหทำให้บลิสต์เตะเข้าอีกทีหนึ่ง คราวนี้เป้าหมายของเธอสูงกว่าหน้าแข้งมาก แต่ก่อนที่ปลายเท้าจะตวัดถูกตรงเป้าหมายนั้น เขาก็เหวี่ยงขาตวัดเข่าด้านหลังของเธอไว้พร้อมกับกระชากร่างเข้ามาแนบอก และประทับริมฝีปากลงอย่างหักหาญรุนแรง...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel