บทที่ 9
ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ อากาศกลางเดือนสิงหาคมเต็มไปด้วยความหนาวเย็นเยือก บลิสส์เดินกลับไปกลับมาอยู่เบื้องหน้าประตูโรงนา ทั้งถูมือและกระทืบเท้าเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นบ้าง ลมหายใจเป็นละไอสีขาวระรวยอยู่กับ ใบหน้า
“ฉันว่ามันจะง่ายกว่านี้นะ ถ้าเพียงแต่คุณจะจับฉันใส่รถม้าประจําทางในโอ๊คแลนด์เสีย คุณจะได้ล้างมือจากเรื่องบ้า ๆ ของฉันเสียที”
เจมี่ซึ่งกําลังผูกม้าเพื่อเทียมเกวียนเอี่ยวหน้ามายิ้มให้
“วิธีที่คุณว่ามันก็น่าลองอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ที่ว่าผมจะได้ล้างมือจากเรื่องคุณนั่นแหละ แต่ผมว่าแม้คุณจะรู้สึกว่าผมเป็นไอ้ทึ่มตัวหนึ่ง แต่ผมก็ฉลาดกว่าที่คุณคิดมากนักหรอกน่าดัชเชส ผมรู้ว่าพอผมส่งคุณเสร็จคุณก็ต้องหาเรื่องหนีลงกลางทางอีกจนได้นั่นแหละ”
สิ่งที่เจมี่พูดออกมามันก็เป็นความจริงไม่น้อย แต่บลิสส์รู้สึกว่าเขากําลังดูถูกเธอไม่น้อยเหมือนกัน
“ฉันรู้ว่าคุณน่ะมันคนฉลาด” เธยเชิดหน้าเข้าใส่อีกครั้ง “เพราะถ้าคุณไม่มีสติปัญญาละก้อคงทํามาหากินหา เลี้ยงตัวเองอย่างนี้ไม่ได้หรอก”
เจมี่ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ซึ่งก็พอดีกับที่ประตูบ้านเปิดออกและกระแทกปิดปังใหญ่
คาร์ร่าเดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าระเบียงบ้าน พวงผมดําสนิทพลิ้วสยายอยู่ในสายลมยามเช้า ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งอยู่ที่ร่างของเจมี่ กระแทกตะกร้าใบใหญ่ที่บรรจุอาหารไว้เต็มลงตรงปลายเท้า ท่าทางนั้นประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด เจมี่ถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“รู้สึกว่ามันจะต้องเป็นยังงี้ทุกครั้งไปใช่ไหมนี่” คําพูดประโยคนั้นคล้ายกับเขาจะปรารภกับตนเองมากกว่าจะพูดกับใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ก่อนจะเดินไปตรงระเบียงทิ้งให้บลิสส์ยืนอยู่หน้าโรงนาเพียงลําพัง
บลิสส์ปีนขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ความรู้สึกริษยาดังเปลวเพลิงที่คุโพลงอยู่ในใจ แม้ว่าเธอจะไม่หันไปมองทางคนทั้งสองแต่ก็อดชําเลืองอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่ได้ เธอเห็นคาร์ร่าที่กําลังพูดจาด้วยสีหน้าขึ้งโกรธ ออกท่าออกทาง ขณะที่เจมี่เอาหมวกยับยู่ยี่ใบเก่าตบอยู่กับต้นขา แม้บลิสส์จะไม่ได้ยินว่าคนทั้งสองกําลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ก็พอจะ เดาได้ว่ากําลังปะทะคารมกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในที่สุด เจมี่ก็ตวาดอะไรออกมาคําหนึ่งที่บลิสส์ฟังไม่เข้าใจ และคาร์ร่าก็สะบัดหน้าเดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปในบ้าน เจมี่สะดุดตะกร้าอาหารเข้าโครมใหญ่ แต่ก็คว้าไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกเรี่ยเสียหายหมด บลิสส์ยกมือขึ้นปิดปากสกัดกั้นเสียงหัวเราะไว้ เพราะท่าทางของเจมี่ในยามนี้น่าขันนัก
เจมี่เอาตะกร้าวางลงในเกวียน ก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเครียดขรึมกับบลิสส์ว่า
“ทําไมไม่รอสักหน่อยก่อนล่ะ ผมจะได้พยุงขึ้นเกวียนให้สมกับที่ผมเรียกคุณว่าดัชเชส”
ใบหน้าของบลิสส์ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก อันที่จริงมันก็แย่มากพออยู่แล้วที่เขากักตัวเธอไว้ราวกับเป็นนักโทษมาตลอดทั้งคืน แต่ขณะนี้เขายังพูดราววิจารณ์ว่าการกระทําของเธอเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่มีความเป็นสุภาพสตรีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ถ้ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ไม่เห็นจะน่าเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใดเลยนี่
เจมี่ปีนขึ้นมานั่งในที่คนขับ มือที่สวมถุงเอื้อมไปคว้าบังเหียนขึ้นมาไว้ เมื่อเห็นบลิสส์นั่งนิ่งเฉยอยู่ก็อดประชดประชันต่อไม่ได้
“เป็นไง คําถามผมมันใกล้ความจริงมากนักหรือถึงได้นั่งอึ้งไปยังงั้น”
“ก็แล้วคุณล่ะ แม่ยอดชู้คู่ชื่นคุณเขาโมโหนักหรือไง ที่คุณจะต้องเดินทางไปส่งฉันเช้าวันนี้” บลิสส์ย้อนเข้าให้อย่างเจ็บแสบ
เจมี่ฟาดบังเหียนใส่หลังม้าแรงเกินความจําเป็นทําให้ม้าคู่นั้นกระโจนออกมาจากที่เล่นเอาบลิสส์เกือบหงายหลัง แต่ยังโชคดีที่คว้าแขนเสื้อเจมี่ไว้ได้ทัน
“คุณจะคิดยังไงก็ได้ทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสําหรับผมหรอก” เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “และอันที่จริงถ้าเขากับผมจะเป็นยังงั้นกันมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณอีกนั่นแหละนะดัชเชส สิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องคิดไว้เสมอก็คือ คาร์ร่าน่ะเขาเป็นแม่บ้าน ทําความสะอาดบ้าน ทําอาหารให้ผมกิน เอาละ ถ้าคุณอยากจะรู้ผมจะบอกให้ก็ได้ว่า ยังเหลืออีกอย่างเดียวเท่านั้นที่เขาไม่ได้ทําคือนอนร่วมเตียงกับผมไง”
“แต่...”
“คาร์ร่านะยังเด็กมาก” เจมี่ตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาอาจจะมีความเพ้อฝันแบบเด็กสาววัยรุ่นในตัว ผมอยู่บ้าง แต่มันก็แค่นั้น ไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่านั้นหรอก พ่อเขาน่ะเป็นคนที่มีอํานาจมากในเผ่าเมารี ถ้าผม ทําอะไรไม่ดีกับคาร์ร่าก็เท่ากับเป็นการหยามศักดิ์ศรีเขาด้วย ซึ่งถ้าเป็นยังงั้นจริงละก้อมันจะเท่ากับผมรนหาเรื่องร้อนใจใส่ตัวเลยเชียวละ”
บลิสส์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเวลานี้ เธอก็รู้แล้วว่าเขากับคาร์ร่าไม่ได้เป็นคู่ชื่นกัน เพียงแต่เธอไม่ต้องการให้คนหัวรั้นอย่างเจมี่มารู้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่เธอมีต่อเขาเท่านั้น
“เวลลิงตันน่ะอยู่ไกลจะตาย” บลิสส์เอ่ยขึ้น ทอดสายตามองโขดเขินเนินไศลอันเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่อยู่ รอบตัวในยามนี้ ออกจะน่าแปลกที่ว่าแม้ขณะนี้จะเป็นฤดูหนาวแล้ว แต่ในป่าสูงก็ยังเต็มไปด้วยสีสันเขียวชอุ่มของ แมกไม้
เจมี่ไม่ได้ตอบโต้คําปรารภนั้น แต่จากสีหน้าที่เคร่งขรึมพอจะทําให้บลิสส์เดาได้ว่า เขารู้สึกเสียดายเวลาที่ต้องมาเสียให้กับเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้
เส้นทางที่ตัดลัดเลาะไปตามเนินเขานั้น นอกจากจะโค้งคดแล้วก็ยังขรุขระอีกด้วย บลิสส์ต้องใช้มือทั้งสองเกาะที่นั่งเพื่อพยุงตัวไว้ตลอดเวลาด้วยเกรงว่าจะล้มหงายไปข้างหลัง
หลังจากเวลาผ่านไม่นาน เกวียนเล่มนั้นก็ขึ้นมาถึงสันเขา และจากจุดนั้นเองที่บลิสส์มองลงไปเห็นท้องทะเล สีครามเข้มที่เหลื่อมลดสีสันของมันลงจนถึสีขาวอ่อนจาง ยอดคลื่นสีขาวผ่องกระแทกกระทั้นอยู่กับหน้าผา แม้ว่าบลิสส์จะเคยเห็นทะเลมานับครั้งไม่ถ้วน และยังเติบโตมาในกระท่อมน้อยชายฝั่งทะเลอันเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าหน้าที่ประจําประภาคาร แต่เธอก็ยังอดตื่นตะลึงกับความกว้างใหญ่ไพศาลของท้องทะเลไม่ได้อยู่ดี เธอสูดลมหายใจลึก รอยยิ้มอย่างมีความสุขฉาบฉายอยู่ทั้งในสีหน้าและแววตา
แต่ดูเหมือนทะเลจะเป็นอะไรบางอย่างที่เตือนความทรงจําของเจมี่อยู่ เขากลับกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม ราวจะหนีไปเสียให้พ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ บลิสส์ผิดหวังที่เจมี่มิได้ชื่นชมกับทัศนียภาพอันสวยงามไปด้วย ทําให้บลิสส์ต้องหันมามองเขาและถามอย่างแปลกใจว่า
“คุณไม่ชอบทะเลหรอกหรือเจมี่”
เขานั่งนิ่งเงียบไปเป็นครู่ ในที่สุดก็ตอบกลับมาว่า
“แล้วคุณตักน้ำทะเลขึ้นมากินเข้าไปได้หรือเปล่าล่ะ”
คําตอบของเขา ทําให้บลิสส์ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย
“ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเกลียดใครจริงๆสักคนเลยนะ แม้แต่อเล็กซานเดอร์ก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าถ้าเมื่อไหร่ ฉันจะต้องแต่งงานกับเขาละก้อ ฉันคงรังเกียจเขาอย่างที่สุดเลย”
แววในดวงตาของเจมี่เปลี่ยนไป มันทําให้บลิสส์เกิดความสบายใจขึ้นมาบ้างที่ได้ตระหนักว่า เขาไม่ต้องการให้เธอพูดถึงการแต่งงานกับผู้ชายคนที่พ่อเธอเลือกให้ เจมี่เพ่งสายตามองตรงไปข้างหน้า แต่สันกรามนูนเด่นขึ้น
“แล้วพ่อคุณไม่ดีตรงไหนล่ะ” เขาเอ่ยถามทําลายความเงียบขึ้น
“ที่จริงพ่อฉันก็ไม่ใช่คนเลวเกวอะไรหรอกนะ ไม่ว่าพ่อจะทําอะไรก็มักคิดพิจารณาถึงทางได้ทางเสียไว้ก่อนเสมอ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แล้วก็ถอนหายใจราวนักแสดงที่กําลังรับบทบาทอยู่บนเวที “สงสัยว่าที่พ่อตัดสินใจลงไปแบบนั้นก็เพราะเบื่อที่จะต้องเลี้ยงฉันต่อไปเต็มทีเท่านั้น และอีกอย่างหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆอยู่ด้วย”
เพิ่งจะตอนนี้เองที่เธอสามารถเรียกความสนใจจากเขาได้อย่างเต็มที่
“เงินเรอะ...เงินอะไรล่ะ”
บลิสส์ทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังท้องทะเล ซึ่งละไอหมอกสีขาวลอยอยู่เหนือยอดคลื่น
“ก็คุณอเล็กซานเดอร์นะเขาให้สัญญากับพ่อว่า ถ้ายอมยกฉันให้แต่งงานกับเขาละก้อเขาจะให้เงินพ่อก้อนใหญ่ทีเดียว”