บทย่อ
อาจเป็นเพราะลิขิตแห่งโชคชะตา ทำให้บลิสส์ สแตฟฝอร์ด ซึ่งหนีการถูกบังคับให้แต่งงานกับชายแก่ ได้พบกับเจมี่ แม็คเคนน่า ชายทระนงผู้เปี่ยมเสน่ห์ และต้องแต่งงานกันเพราะเหตุการณ์บังคับอย่างฉุกละหุก ในอ้อมกอดของเขา สาวน้อยได้ค้นพบความมหัศจรรย์แห่งแรงฤทธิ์พิศวาสอันตรึงใจ แต่มันก็ราวจะกลายเป็นเพลิงเผาไหม้หัวใจเธอให้สลาย เพราะเธอเชื่อว่าหัวใจของเขาถูกจองจำไว้ด้วยความสวยทรงเสน่ห์ของม่ายสาว พีโอนี่ ไรอัน ด้วยความกล้าบ้าบิ่นและยินดีสละแม้กระทั่งชีวิต ทำให้บลิสส์ล่วงรู้อดีตของสามี และต่อสู้เพื่อแลกความ รักนั่นมาเป็นรางวัลและแสงสว่างจนกระทั่งสัมฤทธิ์ผลในที่สุด…
บทที่ 1
บริสเบน, ออสเตรเลีย...ธันวาคม 1872
เปลือกที่หนาแข็งของต้นอะคาเซียครูดอยู่กับด้านในข้อมือของเจมี่ แม็คเคนน่า ขณะที่แสงแดดในยามเที่ยงวันอันแรงร้อนนาบอยู่กับแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า เขาแนบหน้าลงกับเปลือกที่เป็นตะปุ่มตะป่ำซึ่งร่างของตนถูกผูกติดไว้ หลับตาลง พยายามกล้ำกลืนความหวาดกลัวที่กําลังครอบงําอยู่ลง และรอเวลา...การรอคอยสิ่งที่กําลังจะมาถึงนั้นเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุด...
“เจมี่...” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อเขาขึ้นเบา ๆ จากทางด้านหลัง “ฉันเอาน้ำมาให้”
เจมี่เผยอเปลือกตาขึ้น กรามขบกันจนนูนเป็นสัน
“คุณไม่ควรมาที่นี่เลยนะ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ความขมขื่นกระจายอยู่ในสีหน้าและน้ำเสียงนั้น
แต่พี่โอนี่กลับเดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างอย่างอาจหาญ ดวงตาคู่สีเขียวขาบเปล่งแววเศร้า
“ฉันมีมีดมาด้วยนะ” เธอกระซิบบอก “ฉันจะตัดเชือกแล้วเราจะหนีไปด้วยกัน เราจะอยู่ด้วยกันนะเจมี่”
ในสภาพที่กําลังเป็นอยู่ขณะนี้ สิ่งที่พีโอนี่เสนอมามันก็น่าลองอย่างที่สุด แต่เจมี่รู้ดีว่าไม่นานนายจะต้องตามหาตัวเขาทั้งสองจนพบ และถ้าถูกจับได้ครั้งนี้การถูกลงทัณฑ์จะยิ่งกว่านี้หลายเท่านัก และพีโอนี่นั่นแหละที่จะต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย
“อย่าเลย” เขาเอ่ยออกไป
หยาดน้ำตาเอ่อท้นขึ้นคลอเบ้า พีโอนี่เปิดกระติกน้ำ เอาจ่อเข้าตรงปากที่แห้งกรังของเจมี่ เธอเป็นหญิงสาวที่จัดว่าสวยมากคนหนึ่ง นอกจากจะมีดวงตาคู่สีเขียวแล้วก็ยังมีเรือนผมสีทองงามสลวย ปีนี้พีโอนี่อายุยี่สิบห้าปีแล้ว แก่กว่าเจมี่ถึงแปดปี และเธอเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของอินครีส ไพเฟอร์ เช่นเดียวกับม้าตัวโปรดและไม้เท้าหัวทองคําที่เขาถืออยู่เป็นประจําราวกับมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
“ฉันทนเห็นคุณอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้” เธอกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลง
หยาดน้ำที่รินไหลลงในลําคอยามนี้ช่างหวานชื่นเสียเหลือเกินในความรู้สึกของเจมี่
“ผมว่าคุณออกไปให้พ้นจากที่นี่ก่อนที่จะมีใครมาเห็นคุณเข้าเสียก่อนดีกว่า” เขาพูดเสียงกร้าว
“อย่างน้อยก็ให้ฉันปล่อยคุณให้เป็นอิสระก่อนเถอะนะ” พีโอนี่อ้อนวอน จับแขนเจมี่ไว้อย่างร้อนใจ
“คุณรู้ไหมว่าถ้าไพเฟอร์จับได้เขาจะทํายังไงกับคุณ น้ำเสียงที่ย้อนถามนั้นบอกความหวาดหวั่น “ผมจะออกให้นะพีโอนี่ ถ้าเขารู้ว่าคุณช่วยผมละก้อเขาจะต้องทํากับคุณอย่างที่กําลังจะทํากับผมนี่แหละ เขาจะจับคุณผูกกับต้นไม้อย่างนี้แล้วก็จะเฆี่ยนคุณด้วยแส้ม้า”
พีโอนี่หลับตาแน่น ลําคอขาวผ่องเคลื่อนขึ้นลงด้วยแรงกดดันภายใน แต่ไม่มีเสียงหลุดลอดออกมา
“ไปเสียเถอะนะพีโอนี่...ได้โปรดเถอะ” เจมี่อ้อนวอน
ทันใดก็มีเสียงพูดของผู้ชายคนหนึ่งดังลั่นแทรกผ่านเข้ามาในอากาศยามฤดูร้อนราวเสียงฟ้าร้องที่ก้องกระหึ่มในท่ามกลางพายุฝน พวกเขากําลังมากันแล้ว เวลาแห่งการรอคอยใกล้จะสิ้นสุดลง...
เจมี่ยืนตัวแข็ง รู้ดีว่าตัวเองกําลังจะเผชิญกับอะไรอยู่ และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพยามฝืนใจต่อสู้กับความโหดร้ายนั้นจนกว่ามันจะผ่านพ้นไป เขาจะไม่ยอมให้ไพเฟอร์ได้รับความสมหวังจากการที่จะได้เห็นเขาถูกทําลายลงอย่างเด็ดขาด
“หนีเร็ว...พีโอนี่” เขากระชากเสียงกร้าว หญิงสาวมีท่าเหมือนลังเลใจอยู่ แต่แล้วเธอก็หายตัวเข้าไปในระหว่างแมกไม้ที่รายล้อมอยู่รอบพื้นที่โล่งนั้นอย่างรวดเร็ว
ไพเฟอร์กับสมุนทั้งหลายมาถึงภายหลังจากที่พีโอนี่หายตัวไปได้ไม่นาน เจมี่ไม่ยอมหันไปมองบุคคลที่ปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงทาส ซึ่งเท่ากับบังคับให้ชายชราผู้นั้นต้องเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างตัวเขา
ไพเฟอร์แสยะยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันซี่ใหญ่สีเหลืองราวฟันม้าแสงอาทิตย์สาดส่องลงต้องเรือนผมสีขาวโพลน
“เป็นไงไอ้หนู” เขาเอ่ยขึ้นราวกับเมตตาชายหนุ่มเสียเหลือเกิน
เจมี่จ้องหน้าไพเฟอร์เขม็ง รู้ดีว่านายจ้างต้องการจะให้เขาอ้อนวอนขอความกรุณา แต่เขาก็แสดงให้เห็นทั้ง สีหน้าและแววตาอยู่แล้วว่ายอมตายเสียดีกว่า
เมื่อเห็นภาพนั้นเข้า เจ้าของไร่ฝ้ายก็แหงนหน้าขึ้นเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ น้ำลายกระเด็นมาต้อง ใบหน้าของเจมี่ แล้วอินคริส ไพเฟอร์ ก็หันไปทางสมุนของตน ซึ่งกําลังบิดแส้ม้ารอคิวอยู่
“ไอ้ฉิบหายนี่มันใจแข็งดีจริง ๆ” ชายชราผู้ทรงอิทธิพลตวาดเสียงดังลั่น
เจมี่พอรู้อยู่ว่าบางคนในกลุ่มนั้นมีความเวทนาในตัวเขาไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย ไพเฟอร์ยกไม้เท้าขึ้นแตะไหล่เจมี่อยู่
“แล้วไอ้ความปากกล้าของมึงมันหายไปไหนเสียหมดล่ะขอรับคุณแม็คเคนน่า” เขาเอ่ยถาม ลมหายใจคาวคลุ้งปะทะอยู่กับใบหน้าของเจมี่ทําให้เขาคลื่นไส้อยากจะอาเจียนออกมาเป็นที่สุด
เจมี่พยายามกล้ำกลืนความแค้นลงไว้มิได้ตอบโต้อะไรออกไป จะมีก็แต่เพียงสายตาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเขาจะเก็บงําความอาฆาตแค้นนี้ไว้จนถึงวันตาย ซึ่งการสื่อความเข้าใจดังกล่าวออกจะชัดเจนพอที่จะทําให้ไพเฟอร์เข้าใจได้ว่าเขาอยากจะให้ไพเฟอร์ไปลงนรกเสียเร็ว ๆ มากกว่า
“เฆี่ยนมัน...” คําสั่งนั้นหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนห้าว
พร้อมกันใครคนหนึ่งในจํานวนนั้นก็เดินออกมาจากกลุ่มพร้อมกับแส้ม้าสีดํา และผู้เป็นนายจ้างก็ถอยไปยืนข้างหลัง เจมี่ได้ยินเสียงปลายแส้ที่ตัดอากาศอยู่หวีดหวิว กล้ามเนื้อตรงหน้าท้องเครียดเขม็ง เขาพยายามบังคับใจ ตนเองไว้ไม่ให้ตื่นกลัวมากจนเกินไปนัก พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดลงให้มากที่สุด เพราะเคยมีใครบางคนเคยให้ความรู้ไว้ว่าวิธีนั้นจะทําให้เขาไม่เจ็บมากจนเกินไปนัก
แส้แรกที่กระทบร่างทําให้เจมี่ถึงกับเข่าอ่อนลง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นมันเหมือนกับแผ่นหลังถูกนาบด้วยแผ่นเหล็กร้อน ๆ เขาพยายามเบี่ยงเบนความคิดของตนไปถึงเรื่องอื่น คิดถึงพี่ชายที่ชื่อรีฟ คิดถึงวันแห่งความสุขเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในไอร์แลนด์ขณะที่แส้ม้าฟาดลงกับแผ่นหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
หยาดเหงื่อพรูพรั่งลามไหลอยู่บนหน้าผากขณะที่แส้ม้ากระชากเลือดจากแผ่นหลังของเขาออก แต่ถึงอย่างไรเจมี่ก็ไม่ยอมให้มีเสียงร้องหลุดลอดลําคอออกมา ต่อให้มันกระทบร่างเขาอีกสักพันครั้ง ก็จะไม่มีวันทําให้เขาร้องขอความเมตตาออกมาได้
ดูเหมือนเขาจะนับการโบยได้เพียงแค่สิบครั้ง และแล้วความรู้สึกก็ดับวูบลง ท่อนขาไม่อาจพยุงรับน้ำหนักร่างเขาไว้ได้อีกต่อไป
กว่าที่เจมี่จะฟื้นคืนสติขึ้นอีกครั้งนั้นดวงตะวันก็คล้อยลงเบื้องทิศตะวันตกแล้ว ร่างของเขายังถูกผูกติดอยู่กับต้นไม้นั้นแม้เข่าจะทรุดลงกองอยู่กับพื้นดินแล้วก็ตาม และขณะนั้นพีโอนี่กําลังตั้งหน้าตั้งตาใช้มีดช่วยตัดเชือกที่ผูกข้อมือเขาไว้อยู่
เจมี่ร้าวระบมไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นเหลือจะกล่าว ลําคอราวจะบวมเป่งออกมา รสชาติของเลือดที่กลบปากก่อให้เกิดความคลื่นเหียนอย่างช่วยไม่ได้
“ไป...หนีไป...” เขาร้องขับไล่ด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“เจมี่” หยาดน้ำตาลามไหลอยู่บนใบหน้าของพีโอนี่ “คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อยู่เฉยๆนะ” เธอใช้มีดทําครัวเฉือนเชือกเส้นหนาให้ขาดออกทีละน้อย “เราไม่มีเวลาที่จะเถียงกันหรอก...นี่มันก็เกือบจะขาดอยู่แล้ว”
ในที่สุดเชือกที่ผูกข้อมือไว้ก็ขาดออก ร่างของเจมี่กลิ้งลงกองกับพื้นดิน ไม่มีกําลังจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง มีความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากําลังจะถล่มลงมาทับตัว
“มันต้องการจะทิ้งให้คุณตายอยู่ตรงนี้” พีโอนี่พูดพึมพําอยู่คนเดียว “มันจะให้คุณเป็นเหยื่อหมี ไอ้สัตว์ร้าย ตัวนั้นมันจะต้องไปรอเจ้าไพเฟอร์อยู่ในนรกแน่” เจมี่ได้ยินเสียงมีดที่หล่นลงกระทบลงกับพื้นดิน รู้สึกว่าเธอพยายามพยุงร่างเขาให้เขาลุกขึ้นอยู่ “ฉันมีที่ให้คุณซ่อนตัวแล้วนะ...” ลมหายใจของเธอหอบกระชั้นด้วยความเหน็ด เหนื่อย “เจมี่...ลุกขึ้นหน่อยสิ”
อาการวิงเวียนเกิดขึ้นกับเจมี่อย่างรุนแรงคละเคล้าอยู่กับความเจ็บปวดที่ได้รับ เขาต้องรีบเบือนหน้าไปอาเจียนอย่างรุนแรง
พีโอนี่ลูบศีรษะและหลังไหล่ของเขาอย่างเบามือจนเมื่ออาการวิงเวียนคลายลง แล้วจึงได้พยายามประคองร่างเขาขึ้น
“เจมี่...ได้โปรดเถอะ...คุณต้องพยายามลุกขึ้นให้ได้นะ...คุณต้องลุกขึ้น” น้ำเสียงของเธอบอกความร้อนใจอย่างที่สุด
“ผม...ผม...ไปไม่ไหว...” เขามีความรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายลงในบัดดลนั้น
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสความคั่งแค้นที่กําลังบังเกิดอยู่ในตัวพีโอนี่ได้ กระแสนั้นถ่ายทอดมาถึงเขาอย่างรวดเร็วราวกับร่วมอยู่ในอารมณ์เดียวกัน
“ฉันคิดว่าคุณเป็นคนกล้าเสียอีก สงสัยว่าอีตาเฒ่านั่นมันจะพูดถูกเสียแล้ว มันรู้นี่ว่าคุณน่ะเป็นคนอ่อนแอ ที่จริง มันน่าจะแขวนคอคุณเสียด้วยซ้ำจะได้รู้แล้วรู้รอดไป”
คําพูดเชิงท้าทายนั้น ก่อให้เกิดพละกําลังขึ้นในจิตใจของเจมี่อย่างมากมาย ทําให้เขาสามารถคุกเข่าขึ้นได้ มือเลื่อนไปถูกเหรียญอันเล็ก ๆ ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่ครั้งอยู่กับลิน ใจครุ่นคิดไปถึงรีฟกับแม่ผู้น่าสงสาร เขาพยายามต่อสู้ กล้ำกลืนกับความเจ็บปวดที่กําลังจะเข้ามาอีก ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของพีโอนี่เขาก็พยุงตัวลุกขึ้นยืนได้
พีโอนี่พยุงร่างเขาไว้และพยุงให้ออกเดินช้า ๆ
“ไปไหน...”
“ไม่ต้องถามฉันหรอกนะเจมี่ แม็คเคนน่า ว่าเราจะไปไหน” น้ำเสียงพีโอนี่ราวกลั้นสะอื้นไว้อย่างสุดความ สามารถ “คุณไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะคะ ทั้งคุณและฉันควรจะทํายังงี้มาตั้งนานแล้ว เราอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป แล้วนะเจมี่”
ในยามนี้เจมี่ไม่มีพละกําลังที่จะตอบโต้อะไรทั้งสิ้น ไม่อยากให้เธอเห็นว่า บางทีความพยายามที่จะหลบหนีในครั้งนี้มันอาจจะประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงก็ได้ เขาได้แต่พิงร่างอยู่กับพีโอนี่ปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายพาเขาเดินลึกเข้าไปในระหว่างแมกไม้ที่ขึ้นแน่นขนัดอยู่ในบริเวณนั้น
ตอนที่เขารู้สึกตัวว่าไม่อาจขยับเท้าก้าวต่อไปได้แม้แต่เพียงก้าวเดียวก็พอดีกับที่พีโอนี่พาเขามาถึงที่ซ่อนตัวที่เธอเตรียมไว้ และเจมี่ก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนฟางหอมกรุ่น พีโอนี่ทําอะไรวุ่นวายอยู่เพียงลําพังซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจจะเงยหน้าขึ้นมองว่าเธอทําอะไรอยู่ ในยามนี้เขาอยากจะหลับลงให้เร็วที่สุด
“ยาที่ฉันทาให้นี่มันจะทําให้แผลแสบมากทีเดียวนะ” พีโอนี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก “แต่ฉันก็จําเป็นต้องทําความสะอาดแผลเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแผลอาจจะกลายเป็นหนองขึ้นมาได้”
เจมี่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเมื่อพีโอนี่เอายาสมุนไพรใส่ลงตรงบาดแผลที่ได้รับ และมันทําให้เขาถึงกับสิ้นสติไปเกือบจะในทันที
ในความหลับนั้น เขาฝันถึงเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในบ้านที่ไอร์แลนด์ ขณะนั้นเป็นเดือนธันวาคมที่ความหนาวเยือกเย็นของอากาศกัดกินจนถึงกระดูกดํา เขาอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ในซอยหนึ่งอันเป็นย่านสลัมของเมืองดับลิน แม่ก็อยู่ที่นั่นด้วยกําลังเติมฟืนเข้าไปในเตาเพื่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นบ้าง
“เจ้าน่ะมันเป็นเด็กดี” แม่เอี้ยวหน้ามาพูด “ไม่ว่าบาทหลวงแม็คดูกัลจะว่ายังไง เจ้าก็ยังเป็นเจมี่ลูกที่ดีอยู่ นั่นเอง”
ในความฝันนั้นเจมี่ถามแม่ว่ารีฟอยู่ไหน และคําถามนั้นทําให้แม่หันหน้ามามอง ใบหน้าของแม่เหมือนแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่าไม่มีหูตาปากจมูกให้เห็น
“เจ้าน่ะมันเป็นลูกที่ดีนะเจมี่ลูกแม่ ไม่ว่าใครเขาจะว่ายังไง...”
“รีฟ...” เจมี่ตะโกนเรียกน้องชาย “รีฟ…”
“จุ๊ย์...อย่าตะโกนเรียกใครอีกเลย” เสียงใครคนหนึ่งปลอบโยนอยู่ใกล้ๆ “ที่นี่ไม่มีใครหรอกมีแต่คุณกับฉันสองคนเท่านั้นละเจมี่”