บทที่ 2
นิวซีแลนด์ สิงหาคม 1888
คราดที่กระแทกลงบนลอมฟางซึ่งบลิสส์ สแตฟฝอร์ด เข้าไปซุกตัวพักนอนอยู่ในยามค่ำคืนมีความรุนแรงมาก ส้อมเหล็กนั้นดูจะห่างจากใบหน้าของเธอไม่ถึงนิ้ว หญิงสาวถึงกับเบิกตาโพลงและกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดเสียง ผวาลุกขึ้นนั่งทั้งตัว เศษฟางเกาะติดอยู่กับเรือนผมสีน้ำตาลและเสื้อคลุมเก่า ๆ ที่สวมไว้เต็มไปหมด ความโมโหทําให้เธอร้องถามออกไปว่า
“นี่แกคิดว่าตัวเองกําลังทําอะไรน่ะ ไอ้หน้าโง่”
ผู้ชายวัยหนุ่มเรือนร่างสูงใหญ่ เรือนผมสีทองกับดวงตาสีเดียวกับท้องทะเลฤดูร้อนกําลังจ้องมองเธออยู่ สีหน้าของเขาบอกความแปลกใจไม่น้อย เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตัวใหญ่ และยังสวมถุงมือหนังกับหมวกหนัง ไว้ด้วย ลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นละไอสีขาว
“รู้หรือเปล่า ว่าคราดนั่นมันเกือบถูกฉันเข้าแล้ว” บลิสส์ตวาดใส่หน้าขณะพยายามลุกขึ้นปัดเศษฟางออกจากไหล่ ขณะเดียวกันก็บอกตัวเองอยู่ว่า การแสดงอํานาจของตัวเองไม่น่าจะใช้ได้ผล ในเมื่อเธอมาแอบซ่อนนอนอยู่ในกองฟางอย่างนี้
หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกไว้ กระแทกเท้าแรง ๆ เพื่อให้เลือดเดินได้สะดวกและพอจะเกิดความอบอุ่นขึ้นบ้าง รู้สึกหิวโหยอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าวันวาน และมันก็เป็นเพียงแค่อาหารที่แอบหยิบมาจาก โต๊ะตอนที่งานเลี้ยงในบ้านของอเล็กซานเดอร์เพิ่งจะเลิกรา ตอนนี้ท้องก็กําลังร้องอย่างหนัก
ชายหนุ่มชาวนาผู้นั้นยิ้มอย่างขบขัน เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอ้าน
“ก็คุณเข้ามาอยู่ในนี้ทําไมล่ะคนสวย นี่น่ะมันโรงนาของผมนะ คุณบุกรุกเข้ามานอนโดยไม่ได้รับอนุญาตนี่”
บริสส์จับสังเกตสําเนียงไอริชที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาได้ แต่ก็ไม่สนใจอะไรนัก เพราะในยามนี้ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอต้องใช้ความคิดอยู่ อย่างเช่น การที่จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น มันทําให้เธอเชิดหน้าใส่เขาอย่างท้าทาย
“แต่ฉันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับโรงนาของนายนี่ หรือว่าทํา”
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาส่ายหน้าอยู่ไปมาก่อนจะโยนคราดในมือไปเสียทางหนึ่ง บริสส์ถึงกับ ขนลุกเมื่อนึกถึงว่าส้อมเหล็กนั้นมันทิ่มมาถูกเนื้อเข้าจะเป็นอย่างไร
“ผมชื่อแม็คเคนน่า” เขาบอก ทําท่าจะเดินออกจากโรงนาเมื่อบอกชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองเสร็จ จากท่าทางของเขาบอกให้บลิสสรู้ว่าเขาต้องการให้เธอออกเดินตามเขาไป และเนื่องจากเธอทั้งหนาวทั้งหิวบลิสส์ย่อมไม่มีทางปฏิเสธได้ แต่อย่างน้อยมันก็สร้างความหงุดหงิดให้เกิดขึ้น เมื่อนึกถึงว่าตัวเองจะต้องมาทําตามคําสั่งของคนที่ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเธอมากไปกว่านั้น
“ฉันชื่อสแตฟฝอร์ด” บริสส์บอกออกไปด้วยน้ำเสียงเดียวกัน ความหนาวเย็นเยือกโอบล้อมอยู่เมื่อก้าวออกมาจากโรงนาที่อบอุ่น เมื่อคืนนี้ตอนที่มาถึงโรงนาแห่งนี้เธอก็ไม่ทันสํารวจตรวจตราอะไรทั้งสิ้น ความหนาวเย็นของอากาศที่ทําให้เธออยากจะหาที่พักโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อมันดึกดื่นขนาดนั้น
แต่ขณะนี้เธอมองเห็นว่าอยู่ว่านอกจากโรงนาที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรงแล้ว ก็ยังมีบ้านที่ก่อสร้างขึ้นด้วยหินสีขาว และเมื่อมองไปทางเนินเขาที่อยู่ใกล้จะเห็นฝูงแกะที่เพิ่งถูกปล่อยให้ออกไปกินหญ้า แต่งแต้มเนินเขาสีเขียวด้วยจุดขาว ๆ ของมันอยู่ ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนเธอจะได้ยินเสียงคลื่นที่กระทบอยู่กับชายฝั่ง ในอากาศมีกลิ่นอายของน้ำเค็มคละเคล้า บอกให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ไกลจากทะเลเท่าไรนัก
เสียงฝีเท้าของมิสเตอร์แม็คเคนน่ากระทบอยู่กับบันไดที่ทอดขึ้นสู่ระเบียงด้านหน้าของตัวบ้าน บริสส์แน่ใจว่า สําหรับบ้านที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องมีคุณนายแม็คเคนน่า และอาจจะยังมีลูกเล็ก ๆ ของเขารวมอยู่ด้วย ความคิดดังกล่าวราวจะสร้างความเสียดายให้เกิดขึ้น
ในที่สุด แม็คเคนน่าก็เอื้อมไปเปิดประตูบานไม้หนาหนักออกและยืนเลี่ยงไปทางหนึ่ง บลิสส์นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับสุภาพบุรุษผู้มีมรรยาทขนาดเปิดประตูให้เธอเดินนําเข้าไปก่อนที่นี่ และบลิสส์ก็เดินเชิดหน้าเข้าประตูบานนั้นเข้าไปราวกับเธอเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
แต่แล้วกลิ่นอายของอาหารเช้าที่อบอวลอยู่ในกะทะก็ราวจะหยอกล้อกับความหิวที่กําลังโหมกระหน่ำทําให้ท้องร้องขึ้นมาอีก ทําลายความทระนงในตัวเองและสร้างความขายหน้าให้เกิดขึ้นไม่น้อยเลย
“คุณมีชื่อสั้น ๆ แค่นั้นเองน่ะหรือ” แม็คเคนน่าถามขึ้นอีกขณะแขวนหมวกลงกับตะขอที่รายเรียงอยู่ตรงข้างประตูบ้าน “แค่สแตฟฟอร์ดเท่านั้นน่ะหรือ” ดวงตาคู่สีฟ้าเป็นประกายวาววับเมื่อเขาถอดเสื้อคลุมออก
“ชื่อแรกคือบลิสส์” เธอตอบห้วน ๆ นับแต่วันที่เธอหนีมาจากอเล็กซานเดอร์ บลิสส์พยายามปกปิดชื่อตัวเองไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดสนใจไถ่ถามมากนัก
เขาหัวเราะลึกอยู่ในลําคอส่ายหน้าอีกครั้งเหมือนบอกว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังแปลกใจไม่หายที่มาพบเธอในลักษณะนี้
“เอ้า...เข้ามาก่อนเถอะ บลิสส์ สแตฟฝอร์ด ตอนนี้สงสัยเราจะต้องจัดการหาอาหารใส่ท้องคุณเสียก่อน”
หญิงสาวเดินตามเขาเข้าไปในบ้านอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังสวมเสื้อคลุมลายทางตัวเก่ายับยู่ยี่อยู่ ขณะเดียวกันก็มองเลยห้องโถงทางเดินเข้าไปทางด้านในของตัวบ้าน สังเกตเห็นอยู่ว่าบ้านหลังนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมากสะอาดสะอ้าน เครื่องเรือนทุกชิ้นดูจะมีแต่เฉพาะที่จําเป็นต้องใช้เท่านั้น
ห้องครัวนั้นสว่างสดใสอยู่ในท่ามกลางแสงแดดยามเช้าของฤดูหนาว แต่แล้วเธอก็พบว่าภายในครัวนั้นยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยซึ่งดูเหมือนจะเป็นชาวเมารีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย หล่อนผู้นั้นกําลังยืนทําอาหารอยู่ตรงหน้าเตา อีกครั้งหนึ่งที่ความรู้สึกเสียดายผ่านแวบเข้ามาในความคิดของบลิสส์
“ผมไปพบเขาในโรงนา” แม็คเคนน่าเอ่ยขึ้นซึ่งเท่ากับเป็นการบอกเล่าให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบไว้สั้นๆ เขาเดินไปล้างมืออยู่ตรงอ่างน้ำ
บลิสส์หน้าแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อส่งยิ้มให้หญิงสาวผู้นั้นอย่างขวยเขิน ซึ่งเพียงแต่มองมามิได้ตอบโต้ กับคําบอกเล่านั้นแต่ประการใด ทําให้บลิสส์ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีกได้แต่ยืนบิดมืออยู่ในที่เดิม
“คุณคงแปลกใจว่าฉันไปทําอะไรมาถึงได้เข้ามานอนอยู่ในโรงนาของคุณอย่างนั้น” เธอเอ่ยออกไปเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแม็คเคนน่าไม่ได้ถามไถ่อะไรเลยตั้งแต่พบกัน “ฉันเล่าให้ฟังก็ได้”
แต่เขากลับม้วนแขนเสื้อขึ้น รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าอย่างใจดี...หรือขบขัน
“ก็ดี” เขาทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะที่มีจานจัดไว้เพียงที่เดียว “นั่งลงก่อนสิ”
บริสส์งุนงงกับการที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจในความเป็นไปของเธอเท่าไรนัก เธอทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตรงข้ามด้วยท่าทางปึ่งชา กลิ่นอาหารที่อบอวลอยู่แทบจะทําให้เป็นลมเพราะเธอกําลังหิวอย่างหนัก
“ฉันกําลังจะเดินทางไปอเมริกา” เธอเอ่ยขึ้นลอย ๆ ขณะตักอาหารใส่ลงในจานที่หญิงสาวชาวเมารีเอามาวางลงให้ บังคับใจตนเองให้แสดงมรรยาทที่ดีเท่าที่จะทําได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นประกายวาววับจุดขึ้นในดวงตาคู่สีฟ้าของเจ้าของบ้านอีกครั้ง
“รู้สึกว่าคุณมีความต้องการสูงจังนะ ว่าแต่ที่นั่นมีอะไรดีงั้นหรือ” เขาตักไข่กับเนื้อแกะอบเท่าที่เหลือใส่ลงในจานของตน แต่ก็สังเกตเห็นอยู่ว่าบริสส์รอให้เขาลงมือกินอาหารเสียก่อนจึงค่อย ๆ ละเลียดตักใส่ปากตน