บทที่ 7
บลิสส์กับนิ่งงันไปทันที ถามตัวเองอยู่ว่าถ้าเธอส่งเสียงกรีดร้องออกมา คาร์ร่าจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือเธอหรือไม่...
“นี่คุณคิดจะทําอะไรฉันน่ะ”
แต่เจมี่ไม่ตอบ เขากลับทอดร่างลงบนเตียงนอนนั้นทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่เป็นปกติ และบลิสส์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะล้มตัวนอนตาม เพราะเขากระชับมือเธอไว้มั่น แต่ถ้าเขาคิดว่าบลิสส์จะหวั่นไหวกับการกระทําเช่นนี้ สงสัยว่าเจมี่จะคิดผิดถนัด
“นี่...ปล่อยมือฉันเสียทีสิ คุณจะมาทํากับฉันอย่างที่อเล็กซานเดอร์ทําน่ะไม่ได้หรอกนะ”
“คุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ” เจมี่กลับย้อนถามแสร้งทําเป็นไม่เข้าใจในความหมายที่เธอพูด
มันก็ออกจะแปลกอยู่เหมือนกันที่ใจหนึ่งนั้น บลิสส์ไม่อยากให้เขาปล่อยมือจากเธอเลยด้วยซ้ำ สําหรับผู้ชายคนนี้ อย่างน้อยมันก็ยังมีอะไรที่พอจะทําให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาได้บ้าง
“ก็ใช่น่ะสิ...แต่...เอ้อ...ไม่หรอก”
“คุณจะเอายังไงกันแน่ดัชเชส” เขาหัวเราะออกมาอีกอย่างขบขันแท้จริง
“นี่...คุณเลิกเรียกฉันอย่างนั้นเสียทีได้ไหม”
“เรียกยังงี้ละเหมาะกับคุณที่สุดแล้ว”
“ฉันเกลียดขี้หน้าคุณที่สุดเลย เจมี่ แม็คเคนน่า”
“เกลียดก็เกลียดไปสิ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาละ ไหนลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อยสิว่า เพราะอะไรคุณถึงอยากจะหนีไปให้พ้นจากเวลลิงตันนัก”
มือแข็งแรงที่จับข้อมือเธอไว้คลายลงบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะปล่อยเสียทีเดียว และบลิสส์ก็รู้สึกอยู่ว่าเธอไม่ได้กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับท่าทางที่เธอแสดงออกมา
“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก พ่อฉันเป็นพนักงานประจําประภาคารนอกชายฝั่งเมืองเวลลิงตัน ฉันก็โตมาในเมืองนั้น”
เจมี่ลูบไล้ฝ่ามือเธออยู่เบา ๆ สร้างความปั่นป่วนใจให้บังเกิดกับบลิสส์ขึ้นมาอีก
“แล้วคุณมีพี่สาวหรือน้องชายบ้างหรือเปล่าล่ะ” เขาถามออกไปด้วยสุ้มเสียงราวกับว่าเขากับเธอกําลังนั่งพักผ่อนกันอยู่กลางสวนไม้ดอกที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ไม่ใช่มานอนเคียงข้างอยู่ด้วยกันในความมืดเช่นนี้ และคําถามของเขาก็ทําให้บลิสส์บังเกิดอารมณ์เศร้าขึ้นมาอีก
“ฉันมีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง แต่เขาตายตั้งแต่ฉันยังเล็กแล้วละ ถึงตอนนี้ฉันก็จำหน้าค่าตาเขาไม่ได้แล้ว” บลิสส์ รู้ว่าเธอกําลังกล่าวเท็จที่ว่าจําโคลินไม่ได้ เพราะพ่อไม่เคยยอมให้เธอลืมลงเลยว่า โคลินอาจจะยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ถ้าเขาไม่ออกไปตามหาน้องสาวแสนซน ในคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำหนักในคืนนั้น
เจมี่นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ราวกับเขาสัมผัสความรู้สึกของบลิสส์ที่ไม่อยากพูดถึงชีวิตในวัยเด็กของเธอให้ใครฟัง
“ผมเองก็มีพี่ชายคนหนึ่งเหมือนกัน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันรู้แล้วละ คุณเป็นคนบอกฉันเองว่าหลงรักเมียเขาอยู่”
คราวนี้เจมี่ปล่อยมือที่เธอจับไว้ออก ผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที
“คุณพูดอะไรนะ” เขาถามเสียงเครียด
“ก็คุณเป็นคนบอกฉันยังงั้นไม่ใช่หรือ” บลิสส์ทําท่าจะลุกขึ้นจากเตียงแต่เจมี่คว้าตัวไว้
“ผมพูดว่าผมรักเขาจริง” เจมี่ตอบอย่างยอมรับ “แต่คําว่ารักนั้นไม่ได้มีความหมายอย่างที่คุณคิดหรอก แม็กกี้น่ะเปรียบเหมือนพี่สาวผมคนหนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”
ทั้งคําพูดและน้ำเสียงที่จริงจังของเจมี่ ทําให้บลิสส์รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด
“ฉันเข้าใจแล้วละ” เธอตอบช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมจะต้องมานั่งอธิบายเรื่องพรรค์นี้ให้คุณฟังด้วย” เขายกมือขึ้นกอดอกราวหวั่นไหวกับความคิดของตนเองอยู่
และแม้ว่าเจมี่จะไม่จับมือเธออีกต่อไป แต่บลิสส์ก็ไม่ได้คิดจะลุกหนีไปไหนอีกแล้ว
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคุณเจมี่ แม็คเคนน่า ว่าทําไมคุณจะต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังด้วย แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณน่ะมันคนบ้า นี่ถ้าพ่อฉันรู้นะว่าคุณมาบังคับให้ฉันนอนร่วมเตียงอยู่ด้วยยังงละก้อ…”
เจมี่หัวเราะออกมาดัง ๆ หันมามองหน้าเธออยู่ แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตกต้องลงบนเรือนผม และไรพื้นที่ขาวสะอาดของเขาเป็นเงาวาม และมันก็สร้างความรู้สึกวาบหวามให้บังเกิดขึ้นกับบลิสส์อีกครั้ง เธอไม่แน่ใจเสียแล้วว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
และแล้ว... เจมี่ก็โน้มตัวเข้ามาใกล้สัมผัสเรียวปากของเธอด้วยริมฝีปากของเขาแต่เพียงบางเบา ความรู้สึก ซาบซ่านแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย และบลิสส์ก็ยังอดที่จะประชดประชันเขาต่อไปอีกไม่ได้
“คุณทํายังงี้กับแม่บ้านสาวชาวเมารีคนนั้น เวลาที่ไม่มีใครรู้เห็นด้วยใช่ไหมล่ะ”
เสียงหัวเราะลึกที่หลุดออกมาจากลําคอนั้น เป็นเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง มันเป็นเสียงที่สะท้อนลุ่มลึกออกมาจากแผงอกกว้าง และสร้างความสะท้านสะเทือนมาถึงเรียวปากของบลิสส์ด้วย แทนคําตอบนั้น..เขาจูบเธอ…
บลิสส์สะท้านไปทั้งตัวเมื่อถูกรุกไล่ด้วยวิธีนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอํานาจใด ๆ หลง เหลืออยู่เลย ปลายลิ้นของเขาเลียลามอยู่กับเรียวปากเหมือนจะคาดคั้นให้เธอได้มอบอะไรบางอย่างให้กับเขาโดยเร็ว
และริมฝีปากเรียวบางก็เผยอขึ้นราวกับมีชีวิตจิตใจของตัวเอง ความรู้สึกที่ตามมาหลังจากนั้นคือความตื่นเต้นอย่างเหลือจะกล่าว และเธอก็ยกแขนขึ้นโอบรอบลําคอเขาไว้สนองรับต่อจุมพิตด้วยความเต็มใจ
แต่ในที่สุด เจมี่ก็เป็นฝ่ายผละออกก่อน เขาอ้าปากหอบหายใจราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ และแล้วก็สบถ ออกมาเบา ๆ ซึ่งบลิสส์ถือว่าเป็นการดูถูกเธออย่างแรง
“ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องขึ้นก่อนนะ” เธอพูดอย่างไว้ตัว
เจมี่ลุกขึ้นนั่งหันหลังให้ ยกมือขึ้นเสยผมที่ยุ่งเหยิงอยู่
“หุบปากเสียทีได้ไหมดัชเชส อย่าทําให้เราทั้งสองคนต้องยุ่งยากมากกว่านี้หน่อยเลย”
“แล้วนั่นคุณจะไปไหน” บลิสส์ร้องออกมา ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้วเธอน่าจะโล่งใจที่เจมี่คลายอ้อมแขน ออกและเลิกจูบเธอเสีย แต่ความรู้สึกแท้จริงมันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
“ไม่ไกลถึงขนาดที่คุณจะหนีผมไปได้อีกหรอก” เขาตอบออกมาก้มลงคว้ารองเท้าขึ้นมาถือไว้ “นี่ คุณช่วยกรุณานอนให้หลับเสียทีได้ไหมล่ะ พรุ่งนี้เช้าเรายังจะต้องออกเดินทางไปเวลลิงตันอีก”
“นี่คุณหูหนวกหรือยังไงนะ...ก็ฉันตะโกนกรอกหูคุณอยู่ตลอดเวลาแล้วไงล่ะว่าไม่ไปไม่ไป” บลิสส์ร้องอย่างโมโห แต่ขณะเดียวกันมันก็มีความตกใจแฝงอยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้เธอได้รู้รสชาติของจูบที่แท้จริงจากเขาแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์มากเข้าไปอีก
“ไม่มีทางหรอก” เขาตอบห้วนๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทรุดตัวลงในเก้าอี้โยกที่อยู่ตรงมุมห้องซึ่งสว่างนวลอยู่ในแสงจันทร์ ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแล้วว่า บลิสส์จะต้องกลับไปหาผู้ชายคนนั้น และอเล็กซานเดอร์จะต้องนอนร่วมเตียงกับเธอเป็นคนแรก
“ฉันว่าคุณน่าจะเสียเวลาเปล่านะที่จะอุตส่าห์ไปส่งฉันถึงเวลลิงตันยังงั้น” บลิสส์ยกมือขึ้นกอดอกอยู่ “ถ้าคุณส่งตัวฉันกลับฉันก็จะหนีอีก”
“ถึงตอนนั้นมันก็ต้องเป็นปัญหาของสามีคุณแล้วจริงไหม” เจมี่พูดอย่างให้เหตุผล เขาสวมรองเท้าเรียบร้อย แล้วในตอนนี้ บอกตัวเองอยู่ว่า ถ้าจะต้องไล่ตามจับนางแมวป่าตัวนี้อีกก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม บลิสส์นั้นโมโห จนอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ
“ทําไมฉันถึงต้องมาเจอผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ”
“คุณหยุดบ่นเสียทีได้ไหม” เจมี่ตวาดกลับมา
“ไม่มีทางหรอก”
“นอนเสียเถอะน่าดัชเชส พรุ่งนี้ยังต้องเหนื่อยทั้งวันนา” เขาโยกเก้าอี้อยู่ไปมา
“มันอาจจะไม่ต้องเหนื่อยเลยก็ได้ คุณแม็คเคนน่า” บลิสส์พูดอย่างมาดหมาย
“อย่ามาขู่ผมนะคนสวย” เขาทําเสียงเครียด “ใกล้กันแค่นี้ผมจับคุณฟาดกันได้ง่าย ๆ”
บลิสส์หวังแต่เพียงว่าความสลัวของแสงจันทร์จะช่วยไม่ให้เขาเห็นใบหน้าที่แดงซ่านขึ้น
“ขู่งั้นเรอะ คงนึกว่าฉันกลัวละสิท่า”
“ไม่เชื่อก็ลองดู เขาพิงศีรษะอยู่กับพนักเก้าอี้หลับตาลง
บลิสส์ไม่รู้จะทําอย่างไร จึงจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดอยู่ได้ แต่ขณะเดียวกันความอ่อนเพลียที่เข้าครอบงํา ทําให้เธอปิดปากหาว ตั้งใจว่าจะไม่ยอมหลับอย่างเด็ดขาด เธอจะต้องรอเวลาด้วยความอดทน ขอให้ได้ยินเสียงกรนเสียก่อนเถอะน่าแล้วจะได้รู้กัน...
บลิสส์กับนิ่งงันไปทันที ถามตัวเองอยู่ว่าถ้าเธอส่งเสียงกรีดร้องออกมา คาร์ร่าจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือเธอหรือไม่...
“นี่คุณคิดจะทําอะไรฉันน่ะ”
แต่เจมี่ไม่ตอบ เขากลับทอดร่างลงบนเตียงนอนนั้นทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่เป็นปกติ และบลิสส์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะล้มตัวนอนตาม เพราะเขากระชับมือเธอไว้มั่น แต่ถ้าเขาคิดว่าบลิสส์จะหวั่นไหวกับการกระทําเช่นนี้ สงสัยว่าเจมี่จะคิดผิดถนัด
“นี่...ปล่อยมือฉันเสียทีสิ คุณจะมาทํากับฉันอย่างที่อเล็กซานเดอร์ทําน่ะไม่ได้หรอกนะ”
“คุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ” เจมี่กลับย้อนถามแสร้งทําเป็นไม่เข้าใจในความหมายที่เธอพูด