บทที่ 5
บลิสส์เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องแคบ ๆ นั้น วางแผนรอเวลาและสงสัยอยู่ว่าตัวเองจะทําสําเร็จหรือไม่
ก่อนอื่นเธอควรจะอาบน้ำแล้วก็นอนพักผ่อนเอาแรงไว้ และเมื่อถึงตอนกลางคืนเธอก็จะหลบหนีไปเสียให้พ้นจากที่นี่ จะไม่มีใครเอาตัวเธอกลับไปส่งให้อเล็กซานเดอร์ได้อีกแล้ว
บลิสส์ต้องการจะเดินทางไปให้ถึงโอ๊คแลนด์ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยไปนานกว่านี้ ขณะนี้เธอเกือบจะถึงจุดหมายปลายทางนั้นอยู่แล้ว เงินที่ติดตัวมาน่าจะพอสําหรับการจ้างรถม้าไปส่งที่ท่าเรือ แล้วก็จะลองสอบถามดูว่ามีเรือลําไหนที่เดินทางไปอเมริกาบ้าง เธอจะสอบถามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบใครสักคนที่อยากจะจ้างครูหรือเพื่อนเดินทางไว้สักคน ซึ่งถ้าได้อย่างนั้นความฝันของเธอก็จะกลายเป็นความจริง
ขณะที่เธอครุ่นคิดหาช่องทางอยู่นั้นเอง คาร์ร่าก็เอาน้ำร้อนขึ้นมาให้ แม้ว่าสีหน้าของหล่อนจะบึ้งตึงไม่พอใจที่จะต้องรับรองแขกซึ่งไม่อยากต้อนรับ แต่กระนั้นก็ยังมีน้ำใจเอาเสื้อนอนหนา ๆ ตัวหนึ่งมาให้ด้วย พร้อมกันนั้นก็ยังมีน้ำชาหนึ่งกา จานใส่ขนมหวาน และยังฟืนที่จะใช้เติมในเตาผิงอีกด้วย
ทั้งการอาบน้ำและชากับขนมหวาน ทําให้บลิสส์คลายความไว้ตัวลงได้อย่างมาก ความพยายามที่จะต่อสู้กับความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็ว ทําให้เธอเต็มใจล้มตัวลงบนเตียงและหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน
เมื่อบลิสส์ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งนั้น ปรากฏว่าเป็นเวลาค่ำมากแล้ว บนท้องฟ้ามีเพียงดวงจันทร์ดเศร้าฉายแสงอ่อนเรือง ไฟในเตาผิงมอดลงจนเกือบจะดับอยู่แล้ว
บลิสส์ลุกขึ้นจากที่นอนรีบลงมือแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เก็บข้าวของส่วนตัวลงย่ามอย่างระมัดระวังที่จะไม่ให้เกิดเสียง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ย่องกริบไปที่ประตู เธอกลั้นลมหายใจเมื่อเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้ หมุนตามมืออย่างที่หวังไว้...
ประตูระหว่าง บลิสส์ สแตฟฝอร์ด กับอนาคตอันเรืองโรจน์ในอเมริกาถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา...
เจมี่นอนยิ้มกริ่มอยู่ในเตียงขณะเงี่ยหูฟังเสียงบลิสส์กระชากประตูห้องนอนอยู่อย่างจะบังคับให้มันเปิดออกให้ได้ และเขาก็ปล่อยให้เธอทําตามใจชอบ
ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นนั่งหัวเราะลึกอยู่ในลําคอ และส่ายหน้าอย่างอ่อนใจอยู่ไปมา เอื้อมมือไปหยิบบุหรี่เชอรูทที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาจุดสูบอย่างใจเย็น ขณะที่บลิสส์กระชากลูกบิดประตูเต็มแรง แต่ก็เปิดไม่สําเร็จ
เจมี่นั่งฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องนั้นอยู่ เงียบ ๆ แมวป่าตัวน้อยกําลังเตะประตูด้วยความโมโห ทําให้เขาถึงกับหัวเราะออกมา
“ไอ้คนเลว...” เธอกรีดร้องเสียงดังลั่น “คุณน่ะเลวที่สุดเลยได้ยินไหม คุณแม็คเคนน่า”
เจมี่ถอนหายใจหน่วงหนัก ถ้าใครไม่ได้ยินกรีดตะโกนของเจ้าหล่อนก็คงหูหนวกเต็มที ขณะเดียวกันเขาก็ออกจะแปลกใจอยู่ที่ว่า ทําไมเขาไม่ปล่อยให้เธอไปเสียเรื่องยุ่ง ๆ มันจะได้จบสิ้นลงเสียที แต่ความจริงประการหนึ่งที่ประจักษ์แก่ใจก็คือ เขาไม่อาจทนกับความคิดที่ว่าจะปล่อยบลิสส์ให้ออกไปเผชิญโลกแต่เพียงลําพัง ปล่อยให้เธอต้องเดินทางระหกระเหินกว่าจะถึงอเมริกาได้ บลิสส์ยังต้องการใครสักคนที่เป็นผู้ชาย อาจจะเป็นพ่อเป็นสามีที่จะคอยดูแลและคุ้มครองป้องกันเธออยู่
“ปล่อยฉันออกไปนะ” เธอกรีดร้องเสียงดังลั่น ทั้งทุบทั้งเตะประตูเป็นจ้าละหวั่น
แต่แล้วในเวลาต่อมา เจมี่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า บลิสส์จะไม่ยอมแพ้กับประตูที่ปิดตายนั้นอย่างแน่นอน เธอจะต้องหาทางออกจากห้องให้ได้ แม้จะต้องเอาผ้าปูที่นอนต่อกันเข้า และโหนตัวลงมาจากทางหน้าต่างก็ยอม พอคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ดับบุหรี่ลง คนที่รักอิสระอย่างบลิสส์ย่อมทําได้ทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะเสี่ยงสักแค่ไหนก็ตาม
เขารีบคว้ากางเกงกับเสื้อขึ้นมาสวม ความเงียบที่เกิดขึ้นในห้องบลิสส์ทําให้เจมี่เริ่มใจไม่ดี
“บลิสส์...” เขาร้องเรียกชื่อเธอออกไป และรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง
สายลมที่พัดผ่านเข้ามาเยือกเย็นปานน้ำแข็ง เจมี่แทบหายใจไม่ออก แต่แล้วก็ต้องสบถออกมาเมื่อมองเห็นผ้าปูที่นอนที่ถูกฉีกออกและเอามาต่อกันให้ยาวพอบิดเป็นเกลียวลงมาจากขอบหน้าต่างห้องนอนของบลิสส์
“ไอ้ห่า...” เขาอุทานออกมาอย่างเผลอตัว “ตกลงไปก็คอหักตายเท่านั้น” เขากระแทกหน้าต่างให้ปิดกลับ เข้ามาอย่างรุนแรง สอดเท้าเข้าไปในรองเท้าบูทและวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง
เจมี่ไม่สนใจที่จะคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่ป้องกันความหนาวเย็นของอากาศไว้อีกชั้น วิ่งอ้อมตัวบ้านมาหยุดอยู่ใต้หน้าต่างห้องนอนของเธอ
และมันก็เป็นความจริงเช่นที่เขาคิดไว้ ร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวห้อยโหนอยู่กับผ้าปูที่นอนลงมาจากหน้าต่างได้ครึ่งทางแล้ว และตัวเธอเองก็สวมเสื้อผ้าชุดบางเบาที่ติดตัวมา ไม่มีแม้แต่เสื้อคลุมที่จะสวมทับเพื่อป้องกันความหนาวเย็นของอากาศ
ไม่เคยมีครั้งใดที่เจมี่จะโมโหเท่าครั้งนี้ นอกจากจะโมโหแล้วเขาก็ยังตื่นตระหนก เต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าเธอจะตกลงมา เขาได้แต่ยืนนิ่งขึงจับตามองบลิสส์ที่ค่อย ๆ เลื่อนตัวลงมาตามเชือกผ้าปูที่นอนค่อนข้างเก่าที่อาจจะขาดลงมาได้ ทันทีที่เท้าเธอแตะดินเขาก็ตวัดเอวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง แรงกระชากนั้นทําให้ล้มกลิ้งลงบนดินไปด้วยกัน
บลิสส์ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ทั้งเตะทั้งข่วนคํารามลั่นด้วยความแค้นใจ ขณะเดียวกันเจมี่ก็ใช้ พละกําลังทั้งหมดที่มีอยู่บังคับให้เธอสงบลง
ในที่สุดเธอก็ได้แต่นอนหอบอยู่กับที่ เจมี่คุกเข่าตรึงแขนเธอไว้กับพื้นดิน แสงจันทร์ที่สาดส่องต้องผิวเนื้อเธอเป็นนวลใย เสื้อตัวที่สวมไว้แทบจะปิดบังทรวงอกไว้ไม่มิด และยามนี้เนินทรวงคู่นั้นก็สะท้อนขึ้นลงอยู่ด้วยแรงหอบหายใจ
ยอดทรวงที่ชูชันอยู่นั้นยวนยั่วสายตาของเขานัก เจมี่ร้อนเร่าอยู่กับความคิดบางอย่างที่ผ่านเข้ามาในสมอง แต่เพียงครู่เขาก็ผลุดลุกขึ้นยืนสูดลมหายใจหนักหน่วง ราวกับวิ่งมาจากที่ซึ่งไกลแสนไกล
“คุณบ้าไปแล้วหรือไงที่ทํายังงี้” เขาถามเสียงกร้าว แต่ขณะเดียวกันก็ยื่นมือให้เธอเกาะเพื่อพยุงตัวขึ้น
บลิสส์จ้องมองมือที่ยื่นมาให้อยู่เป็นครู่ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเธอก็เอื้อมมาจับไว้และถูกเขาดึงตัวให้ยืนขึ้น เจมี่ยังโมโหไม่หาย มองเห็นภาพบลิสส์ที่ตกลงมาคอหักตายอยู่ตรงหน้า
“ไม่ได้ยินหรือไงว่าผมถามอะไรคุณอยู่”
“ได้ยิน” บลิสส์ตอบห้วน ๆ ก้มลงหยิบย่ามที่หลุดจากไหล่ขึ้นมาถือไว้ “แต่ฉันไม่เห็นความจําเป็นที่จะต้องตอบนี่”
คําตอบกวนประสานนั้นทําให้เจมี่อยากจะอุ้มร่างเธอเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วก็โยนลงมาจากหน้าต่างเสียนัก และกับความคิดนั้นทําให้เขาฉุดแขนกระชากร่างให้เดินกลับเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้ามาถึงห้องครัว เจมี่ก็จุดตะเกียงขึ้น
“นั่งลง” เขาออกคําสั่งเสียงกร้าว และออกแปลกใจไม่น้อยที่บลิสส์ยอมทําตามคําสั่ง แม้แววในดวงตายังบอกถึงความไว้ตัวและท้าทายอย่างเต็มที่ เรือนผมสีแดงปรกอยู่กับหน้าผากยุ่งเหยิง