บทที่ 4
คาร์ร่ายืนรออยู่ตรงหน้าประตูอย่างคนที่รู้จักมรรยาท รอให้บลิสส์เดินเข้าไปในห้องนั้นเสียก่อนจึงได้เดินตามเข้าไป มันเป็นห้องที่น่าอยู่มาก หรือไม่การที่มองดูน่าอยู่ก็เพราะว่ามันมีเตียงแคบ ๆ เตียงหนึ่ง มีอ่างล้างหน้า กับติดผนังซึ่งมีเนื้อที่สําหรับใส่เสื้อผ้าไม่มากนัก ผนังด้านหนึ่งมีเตาผิงก่อด้วยศิลา แม่บ้านสาวเดินไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเตาผิงเพื่อติดไฟขึ้น
บลิสส์นั้นหนาวเย็นไปจนถึงกระดูกดําก็ว่าได้ ต้องยมือขึ้นกอดอกไว้ขณะชวนคาร์ร่าคุยอยู่
“เธอรู้ไหมว่า ตอนนี้อเมริกากําลังเป็นช่วงหน้าร้อนพอดี”
ในตอนแรกคาร์ร่าแสดงความรู้สึกแท้จริงออกมาให้เห็นแวบหนึ่ง มันเป็นสีหน้าของคนที่กําลังไม่พอใจในอะไรบางสิ่ง แต่แล้วก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวฉันจะเอาอางกับน้ำร้อนขึ้นมาให้” หล่อนบอกเรียบ ๆ “ว่าแต่คุณมีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยหรือเปล่าล่ะ”
คําถามของคาร์ร่าทําให้บลิสส์นึกถึงย่ามที่ติดตัวมา แต่ยังคงทิ้งไว้ในโรงนาของแม็คเคนน่าขึ้นมาได้ เธอยกมือขึ้นปิดปากในท่าตกใจ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ดีว่าเธอมีข้าวของติดตัวมาน้อยมากเพียงไร ทั้งนี้เพราะตอนที่หลบหนีมาจากเวลลิงตันนั้นมันเต็มไปด้วยความรีบร้อนจนคิดอะไรไม่ทัน มีเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดติดมาเพียงชุดเดียว นอกจากนั้นก็มีปึกจดหมายที่รัดไว้ด้วยริบบิ้นซึ่งล้วนเป็นจดหมายที่แม่ซึ่งอยู่ในซานฟรานซิสโกส่งมาให้
“ฉันลืมทิ้งไว้ในกองฟางนั่นเสียแล้วละ” เธอผลุนผลันออกจากห้องเพื่อไปเอาสมบัติส่วนตัวดังกล่าว แต่ เมื่อออกมาถึงห้องโถงกลาง ก็พบเข้ากับแม็คเคนน่าในเสื้อคลุมตัวหนาหนัก มือข้างหนึ่งหิ้วย่ามสัมภาระของเธอมาด้วย
“กําลังจะออกไปเอาไอ้นี่งั้นเรอะ” เขาเอ่ยถามขึ้น สําเนียงไอริชที่แฝงอยู่ทําให้น้ำเสียงของเขาน่าฟังขึ้น บลิสส์รีบเอื้อมไปคว้าถุงนั่นมาแนบอก
“ฉันไม่ควรลืมมันสนิทอย่างนี้เลย”
เจมี่ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมา เขาเพียงแต่มองหน้าบลิสส์ด้วยสายตาแปลกๆ อยู่เป็นครู่ จนเมื่อคาร์ร่ากระแอมขึ้น เขาจึงได้หันหลังและเดินออกไปจากที่นั้น
“เดี๋ยวจะเอาอ่างขึ้นมาให้” คาร์ร่าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หล่อนไม่ได้มองหน้าบลิสส์เต็มตาเมื่อเอ่ยต่อว่า “กว่าน้ำจะร้อนก็ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง”
“นั่นสิ” บลิสส์เพียงแต่สนองตอบออกไปตามมรรยาท เวลานี้เธอต้องการอยู่ตามลําพังกับความคิดของตน เองมากกว่า น่าเสียดายเหลือเกินที่อเล็กซานเดอร์ไม่เคยสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นกับเธอเช่นที่แม็คเคนน่ากําลังสร้าง อยู่ในขณะนี้ ถ้าเขาสามารถทําเช่นนั้นเธอก็คงไม่หนีมาเสียจากเขาแน่
เธอผลักประตูห้องให้ปิดลง เอาย่ามวางลงบนเตียง ยืนใช้ความคิดอยู่เป็นครู่จึงได้เปิดออกหยิบสมุดบันทึกออกมา แต่อาจจะเป็นเพราะความรีบร้อน ทำให้เธอลืมทั้งปากกาและขวดหมึกเสียสนิท
เมื่อเอาสมุดเก็บเข้าไว้ในย่ามตามเดิมแล้ว เธอจึงได้เดินลงบันไดไปชั้นล่างตั้งใจจะไปขอยืมปากกากับขวดหมึกจากคาร์ร่า แต่ตอนที่ลงมาถึงกึ่งกลางบันไดนั่นเองก็ได้ยินเสียงพูดที่ดังมาจากห้องโถงกลางด้านหน้าของตัวบ้าน
“ฉันว่าคุณปล่อยให้เขาเดินทางไปโอ๊คแลนด์แล้วก็ขึ้นเรือที่นั่นไปอเมริกาอย่างที่เขาตั้งใจไว้ยังจะดีกว่า” เสียงพูดของคาร์ร่าบอกความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ขืนยอมให้เขาไปอเมริกา ไอ้พวกนั้นจะได้ฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้น ๆ ปะไร” เจมี่ตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาก็ บอกความไม่พอใจเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันทั้งหลายมากกว่าจะเป็นตัวคาร์ร่า
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรคุณถึงต้องไปห่วงใยกับทุกข์สุขของเขาด้วยเล่า” แม่บ้านสาวถามเสียงเครียด มีความเงียบอันน่าอึดอัดเกิดขึ้น แต่ในที่สุดเจมี่ก็ตอบว่า
“อย่าลืมสิคาร์ร่า ว่าผมเป็นคนไปพบเขานอนหลับอยู่ในโรงนาของผมเองนะ ผมว่ามันมีอะไรหลายอย่างในตัวเขาที่น่าสนใจมากทีเดียว”
สัญชาตญาณบอกบลิสส์ว่า อีกไม่นานทั้งสองคนจะต้องหันมาเห็นเธอเข้า จึงแกล้งทําเป็นเดินลงบันไดต่อเข้าไปในห้องครัว ซึ่งก็พอดีกับที่คาร์ร่าเดินกระแทกเท้าเข้าไปในนั้น ท่าทางของแม่บ้านสาวยามนี้ไม่เหมาะที่บลิสส์จะร้องขอปากกากับขวดหมึกเสียแล้ว
“ฉันลงมาดูว่าเธออยากจะให้ฉันช่วยทําอะไรบ้างหรือเปล่าเท่านั้นละ” บลิสส์เอ่ยออกไป
“ฉันอยู่ที่นี่มานาน ทําอะไรต่อมิอะไรคนเดียวมาตลอด ไม่เห็นเคยต้องให้ใครช่วยเลย” คาร์ร่าตอบกลับไป ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว มันทําให้บลิสส์ถึงกับชะงักไป ไม่อาจคิดค้นหาคําพูดมาตอบโต้ได้
คาร์ร่าบ่นอะไรพึมพำก่อนจะเดินไปกระชากประตูห้องหนึ่งให้เปิดออก หายตัวเข้าไปข้างในเพียงครู่แล้วก็เดินกลับออกมาพร้อมด้วยอ่างสําหรับใส่น้ำอาบ ซึ่งทําด้วยทองแดง
“เธอจะอาบน้ำที่นี่ก็ได้นะ” เธอกระแทกอ่างลงกับพื้นครัวดังเปรี้ยง “ฉันไม่มีวันจะแบกน้ำขึ้นไปให้เธออาบข้างบนห้องนั่นหรอก”
“ก็ไม่จําเป็นอะไรนี่ ฉันแบกน้ำขึ้นไปเองก็ได้” บลิสส์เชิดหน้าตอบ “ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ไม่เคยอาบน้ำในห้องครัวของบ้านใครอยู่แล้ว”
“ก็ดีแล้วนี่” คาร์ร่ากระแทกเสียงตอบอีกครั้ง “ค่อยยังชั่วหน่อย”
“งั้นเรอะ” แม้ว่าบลิสส์จะพยายามข่มใจไว้ที่จะไม่ตอบโต้อะไรออกไป แต่มันก็ยังอดไม่ได้
“งั้นเรอะทําไม”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่อยากรู้ว่าปกติเธอชอบอาบน้ำในครัวบ้านของคุณแม็คเคนน่าอยู่บ่อย ๆ หรือเปล่าเท่านั้นละ”
คาร์ร่าจ้องหน้าเธออยู่ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาทําให้สีหน้าของหล่อนอ่อนโยนลงมาก
“เธอนี่เป็นคนแปลกจริง ๆ นะ ชอบตั้งคําถามทื่อ ๆ ใส่ใครเขาอยู่ยังงี้เสมอเรอะ”
บลิสส์นึ่งอึ้งไป แต่แล้วก็ถอนใจออกมาและเริ่มปลดกระดุมเสื้อคลุมออก
“ใช่ ฉันมันคนนิสัยไม่ดียังงี้แหละ”
คาร์ร่าพิจารณาบลิสส์อยู่เงียบ ๆ ก่อนจะรับเสื้อคลุมที่มีเศษฟางติดอยู่เดินออกจากห้องครัวไป บลิสส์ก้มลงยกอ่าง ปรากฏว่าเบากว่าที่คิดไว้มาก พอจะแบกขึ้นไปบนห้องไหว เมื่อก้าวเข้าไปในห้องปรากฏว่าเจมี่ แม็คเคนน่า กําลังเป่าไฟในเตาผิงให้ลุกโพลงขึ้นอยู่ จนเมื่อมันลุกได้ที่แล้ว เขาจึงได้ลุกขึ้นและหันมามองบลิสส์
ท่าทางยามที่เขาเคลื่อนไหวนั้นมันมีความองอาจ สง่างามอยู่ในตัวจนบลิสส์อดทิ้งไม่ได้ เจมี่ แม็คเคนน่า เป็นบุคคลผู้มีความมั่นใจในตนเองสูง และสามารถดูแลตัวเองได้อย่างดีด้วย แม้ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากร้ายแรงที่สุด บลิสส์ปล่อยให้อ่างร่วงหล่นลงจากมืออย่างจงใจ
“เอ๊ะ นี่คาร์ร่าเขาไม่ช่วยเอาน้ำขึ้นมาให้คุณอาบหรอกหรือ”
“ค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันแบกเองได้อยู่แล้ว”
เธอสังเกตเห็นสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่ตรงทรวงอก ทําให้นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองสวมไว้แต่เพียงเสื้อสีดําเนื้อบางเบา ตอนที่วิ่งหนีออกมาจากบ้านของอเล็กซานเดอร์ในเวลลิงตัน เสื้อตัวนี้ปักประดับด้วยไข่มุกกับลูกปัดอย่างสวยงาม
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจมี่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทางราวกับเขาต้องใช้ความพยายามไม่น้อยที่จะเลื่อนสายตาจากทรวงอกขึ้นมองใบหน้าที่แดง “ถามจริง ๆ เถอะว่าคุณวิ่งหนีใครมา”
ใจหนึ่งบลิสส์อยากจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้คนแปลกหน้าผู้มีใจอารีผู้นี้ฟัง อยากให้เขาได้มีส่วนร่วมรับรู้ว่า พ่อของเธอนั้นมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะให้เธอแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ เซท เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในที่สุดก็ระงับใจไว้ มีความรู้สึกว่าให้เจมี่รู้เกี่ยวกับตัวเธอน้อยเท่าไรก็จะยิ่งเป็นการดีเท่านั้น เธอสูดลมหายใจลึกเมื่อตอบเขาออกไปว่า
“ก็ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันอยากไปอเมริกา
เจมี่เลิกคิ้วสูงยกมือขึ้นเสยผมช้า ๆ
“คุณคงคิดว่าถนนทุกสายที่นั่นปูด้วยแผ่นทองสินะ”
“โอ๊ย...ฉันไม่เชื่อเรื่องไร้สาระยังงั้นหรอก” บลิสส์เชิดหน้าตอบ
“ก็ดีแล้วละ” เขาพูดห้วน ๆ ราวกับมีความหงุดหงิดผ่านเข้ามาในอารมณ์อีกครั้ง “เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่คุณว่า เป็นเรื่องเพ้อฝันของคนที่ไม่มีอะไรทํามากกว่า”
“รู้สึกว่าคุณออกจะเป็นคนที่มีอคติไม่น้อยเลยนะ คุณแม็คเคนน่า”
“อะไรนะ”
“ฟังเสียงที่คุณพูดก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคุณไม่ชอบคนอเมริกัน เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นว่าเพราะอะไร จะรู้ก็แค่ว่า คุณมีพี่สะใภ้เป็นคนอเมริกันอยู่คนหนึ่งแค่นั้นเอง แต่คุณก็ไม่ได้พูดถึงเขาในแง่ที่ดีอะไรนักนี่จริงไหม”
สีหน้าของเจมี่บอกความรําคาญกับคําพูดของเธอไม่น้อย แต่แล้วความแกร่งกร้าวก็กลับเข้ามาในอารมณ์ ทําให้สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“ผมคงไม่ได้คิดอะไรอย่างที่คุณคิดหรอกนะคุณผู้หญิง อีกประการหนึ่งผมก็รักพี่สะใภ้ผมมากด้วย ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะดีเท่าแม็กกี้ได้อีกแล้ว”
ผมรักพี่สะใภ้ผมมาก...คําพูดประโยคนั้นดูจะวนเวียนอยู่แต่ในสมองของบลิสส์ ราวมีเปลวไฟเข้ามาลนอยู่ตรงลำคอทําให้เธอถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่า ทําไมความในใจที่แท้จริงของเขาจึงทําให้เธอรานร้าวได้ถึงเพียงนี้
บลิสส์เบือนหน้าหนี้เสียจากเขา พยายามบังคับใจตนเองไว้ ไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้มามีอํานาจเหนือเธอได้อย่างเด็ดขาด
“เอ้อ...ว่าแต่คุณมีปากกากับหมึกให้ฉันขอยืมหน่อยได้ไหม”
ไม่มีคําตอบจากเจมี่ เขาเพียงแต่เดินออกจากห้องไปเฉย ๆ พร้อมกับปิดประตูตามหลังลง ทิ้งให้บลิสส์อยู่กับความคิดของตนเองเพียงลําพัง
เธอเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พิจารณาสภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงา และได้มองเห็นภาพสาวน้อยซึ่งแต่งตัวแบบไปงานบอลล์ แต่กระนั้นมันก็ยังมีเศษฟางติดอยู่บนเรือนผมที่ยุ่งเหยิงดูสกปรก ในเมื่อสารรูปของเธอเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนักที่คาร์ร่าจะแสดงอาการดูหมิ่นให้