ตอนที่ 3
“อดทนไว้นะคะ อย่าเป็นอะไรนะคะ”
เสียงของพลอยจันทร์ลอยมาเข้าหู คลับคล้ายว่าเธอกำลังบีบมือเขาแน่น เขาบีบตอบด้วยสติในเฮือกสุดท้าย จากนั้นก็ไม่รับไม่รู้อะไรอีกเลย
หญิงสาวมองตามร่างของพลเมืองดีที่ลับหายเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยแววตาวิตก ก่อนจะโผกอดร่างท้วมของบิดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เขาจะตายไหมคะคุณพ่อ”
เธอละล่ำละลักถามบิดา รู้สึกเป็นห่วงชายแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาจับใจ
“พ่อหวังว่าคุณพระคุณเจ้าจะคุ้มครองคนดีอย่างเขา”
ผู้เป็นบิดาตอบได้เพียงเท่านั้น มือใหญ่ลูบโลมลงบนศีรษะของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ทั้งที่แววตาวิตกยังจับจ้องอยู่ที่บานประตูของห้องผ่าตัดที่เพิ่งปิดลงเมื่อครู่
หลายชั่วโมงต่อมา
มือเรียวของหญิงสาวเอื้อมไปชักราวผ้าม่านให้เปิดออกจากกัน โลกภายนอกห้องสี่เหลี่ยมของโรงพยาบาลเปิดรับเธอด้วยภาพของท้องฟ้าเบื้องทิศตะวันออก ฟ้าทั้งผืนเกลื่อนไปด้วยกลุ่มเมฆสีขาวบางเบา ล่องลอยเหมือนปุยนุ่น ท่ามกลางประกายสีส้มอมแดงของดวงอาทิตย์ ที่เปล่งรัศมีเป็นลำแสงขึ้นจากขอบฟ้า
ภายหลังจากการผ่าตัด ในห้องพักของโรงพยาบาลซึ่งพลเมืองดีกำลังนอนพักเพื่อรักษาตัว เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานหลายชั่วโมง ก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นดวงตารียาวคล้ายรูปทรงของผลอัลมอนด์ หรี่รับแสงอรุณที่สาดลอดเข้ามาทางกระจกหน้าต่าง
และนาทีนั้นเอง ภาพใบหน้าสะสวยของหญิงสาวก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นอีก ในจังหวะที่เธอเหลียวกลับมามองเขา เป็นเค้าโครงหน้าซึ่งชายหนุ่มจดจำได้ติดตาว่าเธอคือหญิงสาวคนเดียวกันกับที่สติของเขาระลึกรู้ในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะสลบและถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้เขา รอยยิ้มละมุนเกลื่อนอยู่ทั่วดวงหน้าสวย
“คุณตื่นแล้ว แสบตาหรือเปล่าคะ?”
ที่ถามเพราะเห็นว่าเขาหยีตา
“เปล่าครับ ผม...”
เขาคลอนศีรษะเบาๆ คล้ายพยายามขับไล่ความสับสนงุนงง บางฉากบางตอนที่ไม่ปะติดปะต่อ เพื่อลำดับเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังจากที่เขาจะถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด
“ฉันชื่อพลอยค่ะ พลอยจันทร์”
เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสแนะนำตัวกับเขา เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนฉุกละหุกเสียจนไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน
“ผมชื่อปราบครับ”
เขาแนะนำตัวเอง น้ำเสียงเกือบจะแหบ เพราะลำคอแห้งผากมานานหลายชั่วโมง พลอยจันทร์เข้าใจว่าเขาคงกระหายน้ำมาก เธอค่อยๆ รินน้ำเปล่าลงแก้ว แล้วยื่นให้เขา
ชายหนุ่มดื่มน้ำจนหมด เขาส่งแก้วเปล่ากลับคืนให้เธอพร้อมกับสลัดศีรษะเบาๆ อีกครั้ง คล้ายพยายามทบทวนความทรงจำ
เห็นดังนั้นพลอยจันทร์จึงเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อคืนคุณถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดค่ะ คุณโดนยิงเพราะช่วยชีวิตฉันกับคุณพ่อเอาไว้ แต่ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้วนะคะ หมอบอกว่าโชคดีที่กระสุนไม่ถูกตำแหน่งสำคัญ”
หญิงสาวอธิบายไปตามที่ได้สอบถามจากแพทย์เจ้าของไข้ ชายหนุ่มนึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพที่ยังมีลมหายใจ
“คุณจะให้ฉันช่วยโทรบอกคนทางบ้านมั้ยคะ เอ่อ ฉันหมายถึงครอบครัวของคุณ พ่อแม่ของคุณ หรือจะให้โทรบอกแฟนคุณก็ได้”
ครั้นได้ยินที่พลอยจันทร์ว่า คนที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงก็ส่งยิ้มขอบคุณ แล้วเอ่ยตอบออกมา
“ไม่ต้องบอกใครเลยน่าจะดีกว่านะครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
หญิงสาวนึกสงสัย
“ก็ลุงกับป้าท่านไม่รู้ว่าผมกลับมาบ้านน่ะสิครับ ตอนนี้ท่านอาจจะกำลังคิดว่าผมยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เป็นได้ เพราะถ้าคนที่บ้านรู้ว่าผมโดนยิง กลัวจะเป็นห่วงและกังวลกันยกใหญ่จนไม่เป็นอันทำอะไร เอาไว้รอให้อาการดีขึ้นแล้วผมจะกลับบ้าน ตอนนั้นค่อยบอกน่าจะดีกว่า”
ปราบแสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และที่ไม่ได้เอ่ยถึงพ่อกับแม่ก็เพราะว่า เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ลุงกับป้าเก็บมาเลี้ยง
“ตามใจค่ะ เอ่อ… แต่แน่ใจนะคะว่าจะไม่โทรบอกแฟนคุณ?”
ที่ถามออกไปเช่นนั้น ก็เพราะพลอยจันทร์อยากรู้สถานภาพของเขา
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมมีแฟนแล้ว”
คนที่ทอดร่างเหยียดยาวอยู่บนเตียงย้อนถามเบาๆ พยายามกลั้นยิ้ม แต่สายตายังคงค้างอยู่ที่ดวงหน้าหมดจดงดงามของพลอยจันทร์
“ก็เดาเอาน่ะค่ะ”
เธอตอบไม่ตรงกับความคิดในใจ เพราะใจจริงอยากจะบอกไปว่า ‘ก็หล่อซะขนาดนี้ ถ้ารอดกรงเล็บสาวๆ มาได้ถึงตอนนี้ ก็คงจะแปลกพิลึก’
“งั้นคุณคงเดาผิด ผมยังไม่มีแฟนครับ”
เขาเน้นย้ำที่ท้ายประโยค ดวงตาคมปลาบจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าสะสวยของพลอยจันทร์ตลอดเวลา ไม่ยอมละจากพวงแก้มเปล่งปลั่งน่า