บทที่๕...เรียนรู้วันฮันนีมูน (๒)
บนเตียงกว้างที่มีหมอนคั่นกลางถูกโยนทิ้งลงบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาคมค่อยลืมขึ้นปรับแสงอยู่ครู่หนึ่งก่อนลุกนั่งแล้วบิดกายไล่ความขี้เกียจ หันมองหญิงสาวที่นอนข้างกันก็ไม่เห็นเธอเสียแล้ว คิ้วขมวดด้วยความสงสัย
แล้วตัดสินใจไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อฮาวายที่เตรียมมากับกางเกงสามส่วน มาเที่ยวทั้งทีก็อยากใส่อะไรสบาย ผมไม่ต้องเซตทำให้ดูเป็นธรรมชาติ หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ขณะออกจากห้อง ในใจก็เริ่มกังวลว่าหล่อนจะไปรุ่นพี่คนนั้นหรือเปล่า
ไม่ค่อยได้ยินที่สองคนนั้นคุยกันเท่าไหร่ แต่ดูจากท่าทางแล้วคงสนิทสนมกันพอสมควร ไม่อย่างนั้นพรณัชชาคงไม่วิ่งเข้าไปกอดตั้งแต่เห็นครั้งแรกหรอก พูดแล้วก็หงุดหงิดทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรู้สึกเช่นนั้น
หรือบางทีอาจจะรู้แต่ไม่อยากยอมรับความจริง
ยังไม่ทันจะได้ลงไปข้างล่างเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอยกขึ้นมาดูชื่อโทรเข้าก็ยิ่งคิ้วขมวดไปกันใหญ่ ค่อยเลื่อนกดรับทั้งที่รู้ว่ากำลังจะเจอกับประโยคอะไรบ้าง
หล่อนไม่ติดต่อเขามาซะนาน จนคิดว่าบางทีการตัดขาดไปน่าจะดีที่สุด แต่พอมาวันนี้ที่ตัวเขาเองมีพันธะหญิงสาวดันทำท่าจะกลับเข้ามา
‘ไม่เห็นบอกกันเลยว่าจะแต่งงาน ลืมกันแล้วใช่ไหม’ ดวงกลมเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอน ไม่แปลกใจที่เธอรู้เพราะข่าวก็ลงกันครึกโครม เพื่อนที่มาร่วมงานพากันอัพรูปเต็มไปหมด
“อินทำงานไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ไม่ว่างกลับไทยอยู่แล้ว” เหนื่อยกับความสัมพันธ์ที่พอจะพัฒนาก็หยุดชะงัก กำลังจะก้าวข้ามความเจ็บปวดกับรักข้างเดียวเธอก็มาฉุดรั้งเอาไว้ มันเป็นแบบนี้มานานจนเขาเหนื่อยเสียแล้ว
คงต้องตัดอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เหลือแม้แต่ใย
‘อินกลับมาไทยแล้ว มีเวลาให้ต้นตลอดเลยนะ’ เขาหยุดชะงักเมื่อรู้ว่าเพื่อนในกลุ่มอีกคนกลับมาไทย แต่ไม่ทราบว่าหล่อนจะอยู่ถาวรหรือเปล่าในเมื่อดวงกลมเป็นนางแบบอยู่ต่างประเทศ
เขาเคยสารภาพความในใจไปแล้วกลับได้คำปฏิเสธ บอกว่าอยากเดินทางตามหาความฝันก่อน ไรวินทร์จึงยอมให้หล่อนได้ทำอย่างที่ต้องการ ทว่าพอเขาจะมีคนใหม่เธอกลับเข้ามาตีตะกอนที่นอนนิ่งให้ขุ่นอีกครั้ง เป็นแบบนี้หลายรอบจนชายหนุ่มไม่อยากมีใครเพื่อมาแทนที่
หากจะมีแฟนก็เพราะรักจริงๆ
“ไว้ค่อยคุยนะ เรามาฮันนีมูน” เป็นครั้งแรกที่กดตัดสาย ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์แล้วพิงพนักด้วยอาการคิดไม่ตก ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรถึงได้กลับมาในวันที่ตนแต่งงานมีภรรยาแล้ว
ถ้าถามกรุณพลคงได้คำตอบที่ทำให้ฝ่ายหญิงดูแย่ แต่บางทีเขาก็คิดว่ามันเป็นความจริง เธอมักจะเข้ามาในช่วงเวลาที่เขากำลังตัดสินใจจะเริ่มใหม่กับใครอีกคน
ไม่ยอมเป็นแฟนแต่ก็กั๊กเอาไว้แบบนี้ ไม่แฟร์สักนิด
“คุณกิ่งครับ เห็นหมิงไหม” เดินออกมาพอดีกับเจอเกวลินเจ้าของรีสอร์ทจึงได้ถามไถ่ ได้รับรอยยิ้มล้อเลียนกลับมาเล่นเอายิ่งสงสัยกว่าเดิม
“อยู่ห้องครัวค่ะ คุณต้นไปดูเอาเองนะคะ แต่ห้ามบอกคุณหมิงนะว่ากิ่งเป็นคนบอก” เจอแบบนี้ยิ่งงงหนักกว่าเดิม ร่างหนาเดินไปทางห้องอาหารแล้วลงบันไดเพื่อไปห้องครัวของทางรีสอร์ท อาจเพราะสนิทกับเจ้าของจึงได้รับอภิสิทธิ์มากมายเช่นนี้
บิดาของเกวลินและบิดาของเขาเป็นคนในแวดวงธุรกิจและค่อนข้างสนิทกัน ทำให้พวกเขารู้จักกันไปด้วย อาจจะไม่ได้สนิทมากแต่ยามเจอหน้าก็พูดคุยทักทายตลอด
เสียงของภรรยาดังออกจากครัวทำให้ค่อยชะเง้อเข้าไปมองข้างใน พบว่าหล่อนกำลังอยู่หน้าเตาฟังการสอนจากเชฟอย่างขะมักเขม้น ใบหน้ายามตั้งใจทำเอาอดยิ้มออกมาไม่ได้ ผมยาวที่เคยปล่อยก็ถูกรวมขึ้นเป็นมวย
“ใส่หมดเลยเหรอคะ” ตอนเช้าไม่ค่อยมีคนสั่งอาหารหนัก ส่วนมากก็เป็นขนมปัง ไข่ดาวหรือแซนวิช ซึ่งทุกอย่างถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง ตอนนี้ครัวจึงไม่ค่อยวุ่นวาย มีเวลาสอนแขกสาวกิตติมศักดิ์ทำข้าวผัดสับปะรดมัดใจสามี
“ใช่ค่ะ แล้วก็ผัดให้เข้ากัน” ทำตามทุกขั้นตอนพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เป็นครั้งแรกที่เข้าครัวทำอาหารจริงจัง ส่วนมากถ้าอยู่บ้านก็เป็นลูกมือแม่ ไม่ค่อยทำกินเองสักเท่าไหร่ด้วยความชอบจำสูตรที่มันยุ่งยาก ทำเป็นอย่างมากก็ไข่เจียว ซึ่งบางครั้งก็ปรุงไม่อร่อย หรือเปิดแก๊สแรงไปไข่ก็ไหม้
เธอไม่เหมาะกับการทำอาหารจริงๆ เคยคิดว่าถ้าแต่งงานก็คงซื้อกิน แต่พอมาอยู่ในสถานะนี้อยากลองทำเองให้สามีได้ชิมบ้าง ยิ่งเห็นเขาชอบข้าวผัดสับปะรดแถมกินอย่างเอร็ดอร่อยก็อดไม่ได้ที่จะมาขอสูตรลับจากแม่ครัว
แถมบันทึกผ่านการอัดเสียงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว กลับบ้านจะลองทำเองอีกครั้งว่าเป็นอย่างไรบ้างหากไม่มีคนช่วย
การกระทำเหล่านั้นอยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอด เขายืนพิงประตูแล้วมองคนตัวเล็กที่หยิบจับเครื่องครัวด้วยความระมัดระวัง ดูก็รู้ว่าเป็นมือใหม่ไม่เคยเข้าครัว นึกเอ็นดูจนต้องหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพแสนประทับใจเอาไว้
“น่ารักมากเลยนะคะ” สะดุ้งเก็บโทรศัพท์แทบไม่ทันเมื่อมีคนมาโผล่ข้างหลัง
“อะไรนะครับ” เกวลินอมยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มพยายามเก็บอาการทั้งที่หูแดงแจ๋
“คุณหมิงมาขอเข้าครัวแต่เช้า บอกอยากทำอาหารให้คุณชิมแต่ขอปิดเป็นความลับ แต่ไม่ได้บอกกิ่งนะคะ บอกแม่ครัว เพราะฉะนั้นกิ่งบอกคุณต้นก็ไม่ผิดใช่ไหม” หนุ่มการตลาดหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“ครับ ไม่ผิดครับ” พูดจบแล้วก็หันไปมองภรรยาของตนเอง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมโดยที่เขาเองก็ไม่ทราบ มีเพียงเกวลินที่ลอบมองเงียบๆ แล้วยิ้มที่เห็นไรวินทร์มีชีวิตรักแสนสุข เห็นกันมาตั้งแต่เด็กก็อยากให้เพื่อนคนนี้ได้รับความรักอย่างจริงใจสักครั้ง
แล้วพรณัชชาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มองตาก็รู้ว่าคนทั้งสองรักกัน
จะมีก็แต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่รู้...
“อ้าว มาตั้งแต่ตอนไหน” หลังทำอาหารเสร็จร่างบางก็เดินมายังห้องอาหาร ว่าจะกลับห้องพักแต่ก็พบสามีเสียก่อน หน้าตาเลิกลักจนเขาแอบขำ
“เมื่อกี้ เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมออกมาจากครัว” แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของคนตัวเล็ก
“ฉันก็เพิ่งมาแต่ไปเข้าห้องน้ำ เอ่อ สั่งอะไรหรือยัง หิวจะแย่” นั่งลงตรงข้ามร่างสูงพลางเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว กลัวเขาจะรู้ว่าแอบตื่นเช้าเพื่อมาทำอาหารให้รับประทาน
“ยัง ว่าจะกินแค่กาแฟ” ยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ หล่อนได้ฟังอย่างนั้นก็ยิ้มแล้วทำทีเรียกบริกรที่อยู่ใกล้
“ขอสั่งข้าวผัดสับปะรดหนึ่งที่นะคะ บอกแม่ครัวว่าหมิงสั่ง” ยิ้มหวานให้คนฟังทำเอาอีกฝ่ายเกือบเคลิ้มถ้าไม่หันไปมองสายตาของร่างสูงเสียก่อน จนต้องรีบกลืนน้ำลายแล้วรับคำแล้วรีบเดินออกห่างจากโต๊ะนั้น
“ทำไมต้องบอกว่าเธอสั่ง” ทำราวไม่รู้เรื่องราว อยากแกล้งให้อีกฝ่ายจนตรอกแต่เหมือนว่าพรณัชชาจะมีพรสวรรค์ในการหลบหลีกปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าที่คิด
“ก็ฉันไปบอกว่ากับข้าวอร่อย ถ้าฉันสั่งช่วยแถมให้เยอะๆ หน่อยนะ แม่ครัวก็บอกได้ค่ะคุณหมิง จะเพิ่มให้พิเศษเลยนะคะ” ล้อเลียนเสียงเรียกรอยยิ้มจากคนตรงข้าม
“แล้วใครบอกว่าฉันอยากกินข้าวผัดสับปะรด ฉันอาจจะอยากกินอย่างอื่นก็ได้” เห็นท่าทางของหล่อนแล้วเขาก็สนุกที่ได้มอง พยายามทำตัวปกติทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ
น่ารัก...
“ก็เมื่อวานนายกินหมด ทำท่าชอบมากด้วยฉันก็แค่สั่งให้ ถามมากจังอยู่รอเฉยๆ เป็นไหม” สุดท้ายก็ทำเป็นอารมณ์เสียเพื่อจะยุติคำถาม แล้วไรวินทร์ก็ไม่ถามอะไรอีก นั่งรออาหารและไม่นานข้าวผัดก็มาเสิร์ฟตรงหน้าของคู่รัก
ใบหน้าหวานจ้องทุกการกระทำไม่ให้คลาดสายตาสักวินาที เห็นชายหนุ่มใช้ช้อนกลางตักข้าวไปจานตนเอง ขณะที่กำลังจะนำเข้าปากก็วางช้อนลงเล่นเอาคนมองถอนหายใจอย่างเสียดาย
“คอแห้ง” หยิบแก้วน้ำเปล่ามาดื่ม แล้วกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า
พอจะตักข้าวเข้าปากก็วางช้อนลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ราวต้องการกลั่นแกล้งหญิงสาวซึ่งลุ้นทุกการกระทำของสามี มือเล็กกำเข้าหากันหงุดหงิดเหลือเกินที่ไรวินท์ไม่กินข้าวสักที อยากรู้จะแย่แล้วว่าเขาชอบอาหารที่เธอทำหรือไม่
“กินสักทีสิ เดี๋ยวต้องไปดำน้ำอีกนะ” บอกเหตุผลที่ฟังเข้าท่า เห็นดังนั้นเขาจึงไม่ถ่วงเวลาเพื่อแกล้งหล่อน ตักข้าวเข้าปากก่อนจะเคี้ยวเพื่อให้ได้รสชาติอาหาร
ใบหน้าหวานจ้องเขานิ่ง เม้มปากด้วยความลุ้นอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเห็นเช่นไรกับข้าวผัดสับปะรดจานนี้ รอจนเขาเคี้ยวหมดจึงได้ถาม
“เป็นไงบ้าง อร่อยไหม” ลุ้นกับคำตอบ แต่ดูเหมือนเขาจะลีลาเหลือเกิน ไม่ยอมบอกสักทีจนเริ่มหงุดหงิดจึงได้เพิ่มเสียงดังขึ้น
“นี่ อร่อยไหมก็บอกมาสิ” เห็นท่าทางของภรรยาก็นึกสงสาร เขาจึงอมยิ้มก่อนจะพยักหน้า
“อร่อย” แต่เหมือนว่าหล่อนจะไม่เชื่อเท่าไหร่
“อร่อยจริงนะ” พยักหน้าอีกครั้งเป็นการย้ำ เห็นอย่างนั้นคนตัวเล็กที่ตื่นเช้าเพื่อลงมาทำข้าวผัดจานนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก กลัวว่ามันจะไม่อร่อยถึงแม้จะมีแม่ครัวช่วยเหลืออยู่ก็ตาม
ยิ่งไรวินทร์รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยก็สร้างความปลื้มปิติให้คนทำเป็นอย่างยิ่ง มื้อเช้ากินแค่ขนมปังแผ่นเดียวหล่อนก็มีความสุขแล้ว เดี๋ยวกลับไปบ้านคราวนี้จะต้องลงครัวเองซะแล้ว เสน่ห์ปลายจวักมัดใจสามี หนีไปไหนไม่ได้แน่
หลังรับประทานอาหารก็พากันขึ้นไปเปลี่ยนชุดเพื่อทำกิจกรรมต่อไป วันนี้มีการดำน้ำและพายเรือคายัค หญิงสาวตื่นเต้นจนออกทางสีหน้าแววตา เธอสวมเสื้อยืดสีสดใสกับกระโปรงพลิ้วสีเข้ากัน ไม่ลืมหยิบหมวกมาสวมเพราะแดดแรง ส่วนผิวก็ทาครีมกันแดดแบบเป็นมิตรกับปะการังใต้ท้องทะเล
“ไปกัน” ได้เวลาจึงพากันไปยังคณะทัวร์ของโรงแรม เห็นแขกที่มาพักก็จับกลุ่มกันเพื่อไปดำน้ำ หล่อนตื่นเต้นใหญ่พลางบอกให้เขาถ่ายรูปเอาไว้ตลอด
การมาเที่ยวครั้งนี้เหมือนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อคติที่เคยมีก็มองพรณัชชาอีกแบบ หล่อนก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีพิษภัยอะไรด้วยซ้ำ ออกจะล้นจะเกินไปบ้างในบางเรื่อง แต่รวมแล้วเป็นคนนิสัยดีใช้ได้
นั่นทำให้ความคิดเรื่องหย่าเริ่มสั่นคลอน...
“เราจะดำน้ำจุดนี้เป็นจุดแรกนะครับ” การดำน้ำครั้งนี้มีอยู่สามจุด ตรงนี้ยังไม่ลึกมากง่ายต่อการดำ มีครูคอยสอนวิธีดำน้ำเบื้องต้น แต่สำหรับไรวินทร์ที่ดำน้ำเป็นก็ไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่ เขากลับมองภรรยาของตนที่ถอดเสื้อยืดตัวใหญ่ออก
ดวงตาคมเบิกกว้างเล็กน้อยยามเห็นหล่อนอยู่ในชุดบิกินี่สีสดตัดกับผิว เธอเดินมาหาเขาแล้วฉีกยิ้มกว้างพร้อมออดอ้อนด้วยการนำตัวมาถูแขน แล้วทรวงอกหยุ่นก็ถูกแขนหนาเข้าอย่างจัง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจ
“ลงไปถ่ายรูปให้หน่อยนะ เอาแบบสวยๆ เลย ฉันจะลงไอจีให้เพื่อนอิจฉา” แทบฟังไม่รู้เรื่อง เอาแต่มองไปทางอื่นเพื่อหนีร่องอกขนาดใหญ่กว่าตัวของเจ้าหล่อน เหงื่อไหล่ทั้งที่แดดก็ไม่ได้ร้อนมาก รู้สึกว่าตนเองเป็นเอามากกับร่างกายของเธอ
“อือ เอากล้องมาสิ” คนเตรียมพร้อมที่นำกล้องทั้งถ่ายบนบกและใต้น้ำมายัดใส่มือหนาอย่างรวดเร็ว ฉีกยิ้มกว้างมีความสุขพลางถอดกระโปรงออก ทั้งตัวหล่อนจึงเป็นบิกินี่สีสดกับผิวขาวนวลเนียนเล่นเอาตาพร่า
ร่างสูงลงน้ำเพื่อไปถ่ายรูปให้ภรรยา เขาคิดว่าถ้านางเงือกมีจริงบางทีพรณัชชาอาจจะขอพรให้ตนเองมีขาเพื่อแลกกับเสียงสดใสแล้วขึ้นมาบนโลกมนุษย์ก็เป็นได้
อาจเพราะเรียนดำน้ำและเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำตอนช่วงมัธยมทำให้เขาอยู่ใต้น้ำได้นานกว่าคนอื่น ฝึกจนชินเสียแล้วถึงถ่ายรูปภรรยาได้หลากหลายอิริยาบถ ก่อนจะพากันขึ้นเรือเพื่อไปเช็คภาพ
เขาไม่ค่อยชอบที่เห็นหญิงสาวอยู่ในชุดนี้เท่าไหร่ ถึงคนที่ขึ้นมาด้วยส่วนมากจะมาเป็นคู่แต่สายตาผู้ชายไว้ใจไม่ได้ ไรวินทร์ไปขอผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างบางเอาไว้ ทำให้คนที่จ้องกล้องเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยชม
“นายถ่ายสวยดีนิ ฝีมือดีเหมือนกันนะ” ร่างสูงยักไหล่อย่างภาคภูมิใจ เขาเก่งในเรื่องนี้ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
“แน่นอน” เห็นท่าทียืดอกนั่นแล้วก็หมั่นไส้ ไม่อยากสนใจสามีก้มลงดูภาพไปเรื่อย หล่อนไม่สนใจสภาพตนเองเท่าไหร่จนคนมองต้องไปหาผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดศีรษะที่เปียกลู่ให้แห้งหมาด ไม่อยากปล่อยไว้แบบนี้
เธอเงยหน้าขึ้นมองไม่เข้าใจในการกระทำของคนตัวสูง พอได้สบตาคมก็เหมือนว่าหัวใจดันเต้นไม่เป็นจังหวะเสียอย่างนั้น
“เช็ดผมให้พอหมาด เดี๋ยวก็ไม่สบาย” อธิบายก่อนจะเช็ดผมด้วยความเบามือ เขาไม่ได้ห่วงตัวเองสักนิดทั้งที่ตอนนี้ก็แค่เอาเสื้อฮาวายคลุมกายไว้เท่านั้น ไม่ได้กลัดกระดุมเพราะร่างกายเปียก ตอนลงไปดำน้ำถ่ายรูปให้คนตัวเล็กเขาถอดเสื้อเอาไว้
พรณัชชาพยายามไม่โฟกัสหน้าท้องลอนสวยนั้น หล่อนแพ้ผู้ชายที่ไม่ได้มีกล้ามขนาดใหญ่เหมือนปูแต่ชอบแบบมีพอประมาณให้รู้ว่าออกกำลังกาย เหมือนร่างกายของไรวินทร์ที่ตรงสเปคทุกอย่างจนต้องร้องห้ามตนเองในใจ
เธอจะตกหลุมรักเขาอีกไม่ได้นะหมิง!